เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 523 คนตายไม่อาจฟื้นคืน
ตอนที่ 523 คนตายไม่อาจฟื้นคืน
……….
ภูเขาสูงใหญ่เช่นนี้ ทะลวงชั้นเมฆบนฟ้าสูง ดูเหมือนเสายักษ์ค้ำฟ้า ส่วนบนชั้นเมฆมีอะไร ต่อให้เป็นอาเจ๋อก็นึกออกทันที
ด้วยรับปราณวิญญาณอบอุ่นจากจิ้นฉางตง เมื่อสบายตัวอาเจ๋อจึงยืนมั่นคงเองได้ ความกระปรี้กระเปร่าฟื้นคืนกลับมามาก ตื่นเต้นเพราะภาพตรงหน้ายิ่งกว่า
“นั่นคือแดนเซียนหรือ…”
ได้ยินเสียงหลงปนอึ้งงันของอาเจ๋อ จิ้นฉางตงคล้ายหวนนึกถึงตัวเองเมื่อปีนั้น
“แดนเซียนหรือ ทั้งกล่าวถูกและไม่ถูก”
แน่นอนว่าอาเจ๋อไม่เข้าใจ มองจิ้นฉางตงอย่างสงสัย แต่ฝ่ายหลังไม่มีความคิดบอกเขาโดยละเอียด ผู้ฝึกปราณเขาเก้ายอดสองคนพาอาเจ๋อลอยขึ้นฟ้าสูงไปเช่นนี้
หลังจากผ่านชั้นเมฆหนาทึบบนฟ้าสูง สุดท้ายอาเจ๋อเพิ่งเห็นเขาค้ำฟ้าอย่างแท้จริง หรือกล่าวคือเขาเก้ายอด แสงเคลื่อนตรงขอบฟ้า ปักษาเซียนอ้อมเขา เสียงเซียนเลือนราง ทุกอย่างล้วนบอกเขาว่าตนออกจากโลกมนุษย์แล้ว
“เก้ายอดเด่นเหนือเมฆ แสงเหลือบคลุมฟ้ากว้าง ลวงตาราวท่องฝัน บรรลุเซียนฉับพลัน”
จิ้นฉางตงพึมพำเบาๆ พาอาเจ๋อซึ่งสีหน้าสับสนลอยไปทางยอดเขามรรคสวรรค์ซึ่งห่างไกล ท่ามกลางความเลือนรางเช่นนี้ อาเจ๋อได้สติกลับมาทีละน้อย มองทุกอย่างบนฟ้าจนลายตา
บนยอดเขาเซียนมาเยือน ในห้องรับแขกสวนหมอกเมฆจี้หยวนถือพู่กันเขียนตำราโดยไม่วอกแวก โดยรอบแสงสีทองแปรเปลี่ยนไม่หยุด ราวกับทุกตัวอักษรประสานฟ้าดินด้วยรูปแบบนี้ ส่วนรูปจำลองมหึมากลางความว่างเปล่ากลับเหลือบสายตา มองเมฆขาวลอยตรงขอบฟ้ามาแต่ไกล เห็นทั้งสามคนที่อยู่บนนั้น ทั้งมองเด็กหนุ่มคนนั้น
ตัวจี้หยวนกำลังแปรตำรา มีอักษรจิ๋วร่วมแรงตั้งกระบวนเป็นอักษรทอง ทั้งอยู่บนสถานที่พิเศษอย่างยอดเขาเซียนมาเยือนแห่งเขาเก้ายอด กอปรกับตัวเขาเองไม่ธรรมดา ดังนั้นบางเวลาเขามีความรู้สึกเหมือนอยู่ท่ามกลาง ‘มรรค’ ความรู้สึกเช่นนี้ไม่ได้มาจากร่างกายจี้หยวน แต่กลับมาจากรูปจำลอง
เมื่ออยู่กลางสภาวะลึกลับยากพบเจอเช่นนี้ ตอนนี้สายตารูปจำลองจี้หยวนมองอาเจ๋อ สิ่งที่เห็นกระจ่างกว่าการมองปราณโดยทั่วไปมาก ถึงขั้นเห็นสิ่งลึกซึ้งยิ่งกว่าระดับหนึ่ง รู้สึกเหมือนชะตาอัศจรรย์
จี้หยวนรู้สึกเหมือนโดนถากถางอยู่บ้าง ด้วยแม้ว่าตอนนี้เขาถูกคนมากมายเรียกว่าเซียน ทั้งเข้าใจความอัศจรรย์ของการทำนายชะตา แต่เขาคนแซ่จี้ไม่ใช่ผู้ภักดีต่อทฤษฎีโชคชะตา ถึงขั้นว่าผู้ฝึกปราณโดยส่วนใหญ่ล้วนไม่ใช่
ในเมื่อไปตามคำสั่งเซียนเจ้าสำนัก จิ้นฉางตงย่อมพาอาเจ๋อไปพบเจ้าสำนักเขาเก้ายอด เขามองเด็กหนุ่มซึ่งเคลิ้มตามทิวทัศน์จวนเซียนพลางกล่าว
“จวงเจ๋อ ตอนนี้ข้าคนแซ่จิ้นพาเจ้าไปพบเซียนเจ้าสำนักเขาเก้ายอด เจ้าต้องสำรวมจิตจดจ่อ พยายามนิ่งสงบและถ่อมตัว”
แม้ว่ากล่าวเตือนเช่นนี้ แต่สถานการณ์ปัจจุบันอาเจ๋อคงเหิมเกริมไม่ออก
เมฆขาวโรยตัวลงบนยอดเขามรรคสวรรค์อย่างเนิบช้า ยามโรยตัวลงอาเจ๋อมองแสงสีหมุนวนบนยอดเขาอย่างเหม่อลอย ปราณวิญญาณล้อมรอบยอดเขาด้วยลักษณะซึ่งมองเห็นได้ด้วยตาเปล่า กลายเป็นวงแสงพร่าเลือนสายหนึ่ง
“ยอดเขามรรคสวรรค์เพิ่งปิดฉากงานชุมนุมมรรคเซียน มรรคซ่อนเร้นจากการถกมรรคของผู้ฝึกเซียนดึงดูดแสงวิญญาณ ดังนั้นเลยงดงามเป็นพิเศษ”
นี่คือคำพูดของผู้ฝึกปราณแซ่หลี่ข้างกายจิ้นฉางตง แต่ยามกล่าวสิ่งที่เขามองกลับเป็นยอดเขาเซียนมาเยือน
หลังจากนั้นครู่หนึ่งเมฆโรยตัวลงนอกเรือนรับรองเจ้าสำนักบนยอดเขามรรคสวรรค์ จิ้นฉางตงกับศิษย์พี่พาอาเจ๋อเดินเข้าไปในลานทีละก้าว เมื่อเข้าใกล้ประตูเปิดออกเอง
“พาเขาเข้ามาเถอะ”
ดังนั้นทั้งสามคนเลยก้าวเข้าเรือนโดยไม่หยุดเท้า
อาเจ๋อรู้สึกว่าตัวเองใจเต้นเร็วมาก เขารู้ว่าตนกำลังจะเจอผู้นำแดนเซียนแล้ว มองเข้าไปในเรือนอย่างระวังด้วยความรู้สึกกระวนกระวายและคาดหวัง มีชายเครายาวสวมชุดคลุมสีน้ำตาล ศีรษะประดับกวานเล็กงดงามคนหนึ่งกำลังมองเขา
“คารวะเซียนเจ้าสำนัก! ศิษย์พาคนจากโลกชั้นล่างมาแล้ว”
จิ้นฉางตงกับศิษย์พี่แซ่หลี่คารวะพร้อมกัน อาเจ๋ออึ้งงันเล็กน้อย ก่อนประสานมือตาม
“หึๆ เฉลียวฉลาดนัก”
เจ้าสำนักจ้าวยิ้มเล็กน้อย พยักหน้ากับทั้งสาม เขาไม่พูดถึงเรื่องจิ้นฉางตงพาคนขึ้นเขามาโดยพลการ ไม่ตำหนิไม่เอ่ยชม แค่มองอาเจ๋อเงียบๆ
เซียนข่มอารมณ์ได้ แต่เด็กหนุ่มอย่างอาเจ๋อทำไม่ได้ เขาเงียบครู่หนึ่งก่อนกำมือรวบรวมความกล้า คุกเข่าลงตรงหน้าเจ้าสำนักเขาเก้ายอด
“ขอร้องท่านเซียนช่วยพ่อแม่ข้ากับท่านปู่ ขอร้องท่านเซียนช่วยคนของหมู่บ้านพวกเรา ท่านเซียนโปรดเมตตา ช่วยพวกเขาด้วยเถอะ!”
ด้านหนึ่งอาเจ๋อเอ่ยตะโกน ด้านหนึ่งยังคิดโขกศีรษะ ความรู้สึกกดดันระเบิดออกมา น้ำตาไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ความรู้สึกเศร้าอาดูรผสานคาดหวังเอ่อท้นออกมาทางคำพูด
ไม่ว่าอาเจ๋อออกแรงโขกศีรษะอย่างไร ศีรษะกลับไม่แตะถึงพื้น คล้ายมีสิ่งของอ่อนนุ่มกั้นระหว่างพื้นชั้นหนึ่งอยู่ตลอด พยายามเนิ่นนานจนรู้สึกว่าโขกศีรษะไม่ได้แล้ว อาเจ๋อค่อยเงยหน้าขึ้นมา แต่ยังคุกเข่าเหมือนเดิม
เจ้าสำนักจ้าวมองจิ้นฉางตง ฝ่ายหลังเอ่ยปากอธิบายเหตุการณ์ก่อนหน้านี้ทันที
“เด็กคนนี้ชื่อจวงเจ๋อ เดินทางกลางป่าลำพัง บาดแผลเต็มตัวยังมุ่งหน้าต่อ ความยึดมั่นในใจล้ำลึก ไม่กลัวความเป็นตาย”
“อืม”
เจ้าสำนักจ้าวลูบเครา เดินเข้ามาใกล้อาเจ๋ออย่างเชื่องช้า ก่อนสะบัดแขนเสื้อเบาๆ อาเจ๋อถูกพลังไร้รูปร่างหนึ่งสายประคองจนลุกขึ้นมา เห็นใบหน้าเปี่ยมน้ำตาของเด็กหนุ่มคนนี้ เจ้าสำนักจ้าวเอ่ยถามเสียงเบา
“เด็กน้อย ครอบครัวเจ้ากับคนในหมู่บ้านป่วยกันหมดหรือ”
“ไม่ใช่ ไม่ใช่! หมู่บ้านถูกพวกทหารชั่วบุกรุก ฮือๆ ครอบครัวของข้าถูกฆ่าตายหมด ท่านปู่ซ่อนพวกเราไว้ในช่องศาลเก่า ทำให้พวกเรารอดมาได้ ฮือๆ…”
เจ้าสำนักจ้าวพยักหน้า กวาดสายตามองห่างออกไป คล้ายเห็นหมู่บ้านเล็กประสบภัยสงครามผ่านหมอกหนาทบเป็นชั้น
“ถ้าอย่างนั้นเหตุใดเจ้าไม่ให้ข้าช่วยย่าของเจ้าด้วยเล่า”
อาเจ๋ออึ้งงันครู่หนึ่ง เมื่อก่อนเขาไม่เคยคิดถึงขั้นนี้
“พะ เพราะท่านย่าเสียชีวิตตอนข้ายังเด็ก นะ นางเสียชีวิตไปนานมากแล้ว…”
เจ้าสำนักจ้าวขานรับว่าอืม สายตามองไปทางยอดเขาเซียนมาเยือน ไม่เอ่ยวาจาครู่หนึ่ง เมื่ออาเจ๋อกระวนกระวายนานเข้าค่อยเอ่ยปากอีกครั้ง
“ความจริงในใจเจ้าแบ่งแยกความเป็นตายออก แต่กลับไม่ยอมรับฉากโศกกะทันหัน ความเป็นตายคือหนึ่งในมรรคเร้นลับที่สุดบนโลกนี้ แม้แต่ผู้ฝึกเซียนอย่างพวกเรายังตามหาวิธีหลุดพ้น หากคนเราตายจากย่อมไม่อาจหวนกลับ ต่อให้กลับมายังใช่เขาคนนั้นอยู่หรือ”
คำพูดพวกนี้อาเจ๋อบ้างเข้าใจบ้างไม่เข้าใจ แต่เขาฟังออกว่าเทพเซียนท่านนี้กำลังบอกว่าบิดามารดาเขากับท่านปู่ไม่อาจฟื้นคืนอยู่รางๆ
“ไม่ ไม่มีทาง พวกท่านคือเทพเซียนบนสวรรค์ เทพเซียนทำได้ทุกอย่าง เทพเซียนมีโอสถเซียนทำให้กระดูกขาวเป็นเนื้อหนัง เทพเซียนทำให้คนเป็นอมตะ พวกท่านย่อมช่วยชีวิตพ่อแม่ข้ากับท่านปู่ได้แน่ ขอร้องพวกท่านล่ะๆ ขอเพียงช่วยชีวิตพวกเขาได้ ข้ายอมทำทุกอย่าง นำชีวิตของข้าไปแลกก็ได้!”
อาเจ๋อคิดโขกศีรษะอีกครั้ง ทว่าครานี้แม้แต่คุกเข่ายังทำไม่ได้ เจ้าสำนักจ้าวส่ายหัวพลางมองเขา ก่อนตบบ่าของเขาเบาๆ ส่งเสียงมรรคเลือนราง
“เด็กน้อย คนตายไม่อาจฟื้นคืน ขอแสดงความเสียใจด้วย”
เสียงเทพเซียนท่านนี้เบามาก แต่เหมือนสายฟ้าฟาดกลางใจอาเจ๋อ ทั้งตัวเขาแข็งทื่ออยู่จุดเดิม คิดถกเถียงแต่รู้สึกหมดแรง เขามาถึงแดนสวรรค์ สถานที่ซึ่งทุกคนอยากมา แต่กลับไม่เห็นความหวัง
อาเจ๋อทำอะไรไม่ถูก ยืนอึ้งงันอยู่จุดเดิม เจ้าสำนักจ้าวแตะหน้าผากเขาเบาๆ ฝ่ายแรกตัวอ่อนยวบช้าๆ ล้มลงกลางอ้อมกอดของจิ้นฉางตง
“ข้าปกป้องจิตวิญญาณของเขาแล้ว พาเขาไปพักผ่อนก่อนเถอะ”
“ขอรับ!”
จิ้นฉางตงกับผู้ฝึกปราณแซ่หลี่คนนั้นคารวะเจ้าสำนัก ก่อนอุ้มอาเจ๋อออกจากเรือนรับรองเจ้าสำนักช้าๆ เจ้าสำนักจ้าวอวี้มองยอดเขาเซียนมาเยือนอีกครั้ง เขารู้สึกว่าก่อนหน้านี้จี้หยวนจับตามองที่นี่เช่นกัน
…
อาเจ๋อซึ่งผล็อยหลับกำลังฝัน ความฝันเดียวกับหลายวันที่ผ่านมา ฝันร้ายแบบเดียวกัน ในฝันอาเจ๋อกลับไปเมื่อสองสามเดือนก่อนอย่างพิศวงมึนงง
พวกพ้องสามคนอยู่หน้าโต๊ะเก่าตัวเล็กตรงห้องเก็บฟืนของบ้านอาเจ๋อ ล้อมวงแข่งกันว่าหนอนบุ้งที่จับมาของใครใหญ่กว่า จากนั้นค่อยใช้วิธีน่าสนุกสำหรับพวกเขา แต่ร้ายกาจน่ากลัวสำหรับหนอนบุ้งมากระตุ้นมัน
เวลานี้ข้างนอกพลันเปลี่ยนเป็นเอะอะ ทำให้พวกอาเจ๋อสงสัยอยู่บ้าง
‘พี่อาเจ๋อ ข้าได้ยินว่าข้างนอกมีคนโวยวาย’
‘อืม ไม่รู้ว่าเอะอะอะไรกัน’
เมื่อพวกเขาคิดออกไปดู
ประตูถูกเปิดจากด้านนอกดังปึง อาเจ๋อเห็นท่านปู่ของตนเข้ามาด้วยสีหน้าลนลาน เขาไม่เคยเห็นท่านปู่แสดงออกเช่นนี้
‘เร็วเข้า พวกเจ้ารีบตามข้ามา!’
‘ท่านปู่จวงเกิดอะไรขึ้น’
ชายชราจับมือเด็กอายุน้อยสุด จากนั้นค่อยเรียกอาเจ๋อกับอาหลงว่าตามมาอย่างรีบร้อน เมื่อมาถึงข้างนอกพวกอาเจ๋อเพิ่งพบว่าหลายคนกำลังวิ่ง บ้างไปข้างหน้าบ้างไปข้างหลัง เอะอะอลหม่านอย่างมาก
ชายชราไม่ได้ลากเด็กสามคนไปนอกหมู่บ้าน แต่วิ่งเข้ามุมเปลี่ยวตลอด กระทั่งวิ่งมาถึงด้านหลังโถงอารามเล็กในหมู่บ้าน ออกแรงงัดพวกแผ่นไม้ซึ่งถูกหญ้าแห้งปกคลุม เผยให้เห็นช่องศาลเบื้องล่าง
หลายปีก่อนศาลเจ้าที่ของหมู่บ้านไม่มีอาคาร กราบไหว้บูชาตรงช่องนี้ ต่อมาค่อยสร้างศาล แต่กลับไม่ถมช่องว่างแห่งนี้ เดิมคิดทำเป็นสถานที่เก็บของของคนเฝ้าศาล แต่สถานที่เล็กเกินไป ต่อมายังไม่ได้ใช้งาน สร้างบ้านดินเป็นคลังศาลโดยเฉพาะ คนจำเรื่องนี้ได้น้อยลงเรื่อยๆ ส่วนคนเฝ้าศาลคือจวงเหมียนปู่ของอาเจ๋อนั่นเอง
‘เร็วๆ พวกเจ้ารีบเข้าไป รีบเข้าไป!’
ชายชราออกแรงดันเด็กสามคนเข้าไปข้างใน ช่องนี้ไม่ใหญ่ ถึงอย่างไรหลายปีก่อนรูปปั้นเจ้าที่ยังเล็กมาก พื้นที่ว่างในช่องศาลอัดได้ไม่กี่คน
ยามเด็กสามคนสงสัยและตื่นตระหนก ชายชราปลดถุงสองใบตรงไหล่ออก
‘อาเจ๋อ เอ้า ประหยัดหน่อย ข้างนอกมีเสียงอะไรล้วนอย่าส่งเสียง! ข้าจะออกไปอีกรอบ!’
ช่องศาลถูกชายชราปิดจากด้านนอก กลบด้วยหญ้าแห้งอย่างดี ด้านในตกสู่ความมืดอย่างสมบูรณ์
พวกอาเจ๋ออยู่ท่ามกลางความหวาดกลัวและกังวล หลังจากนั้นประมาณครึ่งเค่อ ชายชรากลับมาอีกครั้ง ทั้งยังพาเด็กหนุ่มอีกสองคนมา ส่งเข้าช่องศาลเช่นกัน เหลือบมองพื้นที่ว่าง กล่าวกำชับก่อนจากไปอีกครั้ง แต่คราวนี้ไม่กลับมาอีก
ภายในช่องศาลเวลาส่วนใหญ่เงียบสงบ ได้ยินเสียงเอะอะเป็นครั้งคราว ทั้งได้ยินเสียงหวีดร้องขอชีวิตรางๆ พวกอาเจ๋อไม่กล้าออกมา รอท่ามกลางความมืดเงียบสงบเหมือนตายจนครบสามวัน หลังจากออกมาสิ่งที่เห็นคือภาพชวนประหวั่นยากลืมเลือนชั่วชีวิต…
“ไม่!!!”
ท่ามกลางเสียงหวีดร้องอาเจ๋อเหงื่อเต็มตัวตกใจตื่น จากนั้นค่อยเห็นสภาพแวดล้อมแปลกตา หอบหายใจหนักสีหน้ามึนงง
“ฮู่… ฮู่… ฮู่…”
……….