เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 527 เส้นรอบวงสำหรับอะไร
ตอนที่ 527 เส้นรอบวงสำหรับอะไร
……….
บิดามารดาของอาเจ๋ออยู่ในหลุมศพเดียวกัน ส่วนท่านปู่เขาครองหลุมศพเพียงลำพัง หลุมศพอื่นส่วนใหญ่ก็เป็นเช่นนั้น เครื่องเซ่นไหว้ไม่ได้มากมายเท่าไหร่ ทุกเนินดินล้วนมี อาเจ๋อปักธูปเทียนลงตรงหน้าหลุมศพทั้งหมดโดยมีจิ้นซิ่วช่วยเหลือ จากนั้นกราบไหว้ที่หน้าเนินดินทุกแห่งเสียรอบหนึ่ง
“ท่านอาฉาง ท่านน้าฉาง ข้าเจ๋อมาเยี่ยมพวกท่านแทนอาหลง…”
“ท่านลุงใหญ่เฉียว ข้ามาเยี่ยมพวกท่านแทนอานี…”
“ท่านอาหลี่ ท่านย่าหลี่…ข้ามาเยี่ยมพวกท่านแทนอากู่…”
…
อาเจ๋อกราบไหว้ทุกหลุมศพ โขกศีรษะสองสามครั้งทุกหลุมศพ สุดท้ายกลับมาที่หน้าหลุมศพของบิดามารดาและท่านปู่ของตนเองอีกครั้ง
“อาเจ๋อ ข้าเคยเรียนวิชาเชิญเทพส่งวิญญาณ ข้าช่วยเจ้าส่งปราณเครื่องเส้นสู่ศาลมืดเอง”
จิ้นซิ่วพูดไปพลาง สำแดงพลังใช้วิชาไปพลาง แสงเลือนรางหลายสายวนเวียนที่หน้าหลุมศพ อาเจ๋อกับจี้หยวนล้วนมองเห็นเพลิงกำยานลอยวนบนเนินดินหลายสิบแห่งด้วย
เชิญเทพและส่งเทพนับเป็นวิชาที่สืบทอดกันค่อนข้างแพร่หลาย และไม่จำกัดอยู่แค่มรรคเซียน ยิ่งไม่จำกัดอยู่เพียงกับ ‘เทพ’ นับว่ามีวิธีการใช้ที่กว้างขวางเป็นอย่างยิ่ง ‘เทพ’ ที่นี่ไม่ได้หมายถึงจิตวิญญาณเทพเท่านั้น ยังหมายถึงเรื่องราวปาฏิหาริย์บางอย่าง นับเป็นวิชาสื่อสารประเภทหนึ่ง ในมรรคเทพเรียกว่า ‘การเชิญมรรคและการส่งมรรค’
แน่นอนว่าไม่มีการเปรียบเทียบระหว่างการเชิญเทพและการคุมเทพในวิชาประเภทนี้ เพียงแต่รวมกลุ่มอยู่ด้วยกัน ตะโกนเรียกชื่อเชิญเขาออกมา จะได้ผลหรือไม่ มีผลลัพธ์มากน้อยแค่ไหนขึ้นอยู่กับว่าผู้อื่นคิดอย่างไร ทว่าใช้อยู่ที่นี่นับว่าสะดวกทีเดียว
“อาเจ๋อเจ้าดูสิ เพลิงกำยานไม่ได้ซ่านสลายไปทันที บ่งบอกว่ามีคนรับอยู่ที่ศาลมืด เจ้าวางใจเถอะ!”
อาเจ๋อได้ยินแล้วเผยสีหน้าปีติ เขามองจี้หยวนเช่นกัน ฝ่ายหลังพยักหน้าถือเป็นการบอกว่าคำพูดของจิ้นซิ่วถูกต้องแล้ว
“ดียิ่งนัก ท่านพ่อท่านแม่กับท่านปู่ยังอยู่จริงหรือ ข้าพอจะมองเห็นพวกเขาได้หรือไม่”
“ได้แน่นอน ท่านจี้อยู่ที่นี่ทั้งคนนะ ก็แค่ไม่มีสัญลักษณ์ของอาจารย์เท่านั้น แต่พวกเขาไม่กล้าขวางเช่นกัน”
จิ้นซิ่วป้อยอจี้หยวนเล็กน้อย ตอนหันไปเหลือบมองเห็นเพียงจี้หยวนส่ายหน้าพร้อมรอยยิ้ม พลันทำให้นางรู้สึกสุขใจ การป้อยอครั้งนี้ได้ผลแล้ว
พวกอาเจ๋อเรียกหมู่บ้านนี้ว่าหมู่บ้านเมี่ยวต้ง สองร้อยกว่าปีก่อนหน้านี้ทั้งหมู่บ้านถูกทหารชั่วปล้นสะดมเผาทำลาย แม้แต่พื้นที่เพาะปลูกรอบข้างก็รกร้างเช่นกัน ไม่เพียงแค่หมู่บ้านเมี่ยวต้งเท่านั้น สถานการณ์ของหมู่บ้านสองแห่งที่อยู่ใกล้เคียงก็คล้ายคลึงกัน สถานที่ที่ค่อนข้างห่างไกลออกไปกลายเป็นดินแดนแห่งความตายโดยสิ้นเชิง
ครั้งนี้จี้หยวนไม่จำเป็นต้องเหาะเหิน เพียงพาอาเจ๋อกับจิ้นซิ่วเดินทางอยู่บนพื้นดิน ใช้วิธีเดินย่ำเท้าอย่างมั่นคง ยังสะดวกต่อการสำรวจโลกกลางถ้ำนี้ด้วย
คนทั่วไปกำลังเท้าไม่มาก จี้หยวนไม่อาจให้ทุกคนเดินช้า กลับสำแดงวิชาอย่างแนบเนียนทำให้ทั้งสามคนเดินเร็วราวกับบินโดยไม่รู้ตัว
ผ่านหมู่บ้านสองแห่งนอกเหนือจากนี้ก็เงียบเหงาไร้เสียงเช่นกัน กลิ่นเหม็นเน่าเคล้าศพสายนั้นเวียนวนไม่จางไป จากนั้นเดินอยู่ระหว่างทางเปล่าเปลี่ยวยาวเหยียด เหมือนกับว่าบ้านเกิดของอาเจ๋อไม่มีคนเป็นอยู่เลยแม้แต่คนเดียว นอกจากนกกับสัตว์เดินเท้า คล้ายกับมีพวกจี้หยวนเป็นคนเป็นเพียงกลุ่มเดียว
ความรู้สึกนี้น่าหดหู่ใจมาก อย่างน้อยก็น่าหดหู่ใจมากสำหรับอาเจ๋อและจิ้นซิ่ว ฝ่ายแรกเจือความเจ็บปวดใจ ฝ่ายหลังกลับสะท้านใจเพราะได้เห็นภาพภาพโศกนาฏกรรมของหมู่บ้านทั้งหลาย ดังนั้นทั้งคู่ต่างก็ได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจ นี่ทำให้สองคนที่ตอนอยู่บนท้องฟ้าก่อนหน้านี้ตื่นเต้นตื่นตาค่อนข้างซึมเซาในตอนนี้
“ไม่ว่าอยู่ที่ใด หวนนึกถึงประวัติศาสตร์ ข้อพิพาทเป็นสิ่งที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ บ้างทะเลาะกันและต่อสู้ บ้างต่อสู้กันแล้วส่งผลกระทบร้ายแรงในภายหลัง บุญคุณความแค้นต่อเนื่องกันไปไม่ขาดตอน ตราบใดที่ทุกคนไม่ใช่นักบุญ ทุกอย่างนี้ไม่มีทางหายไป แม้ต่อสู้กันไม่ได้ ทว่าความแค้นยังคงอยู่ในใจ ดังนั้นทำได้เพียงพยายามหลีกเลี่ยงทุกอย่างนี้ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้เท่านั้น
จี้หยวนมองไปทางจิ้นซิ่ว
“เจ้าฝึกปราณอยู่บนเขากันตลอด เห็นควาโหดร้ายบนโลกน้อยนนัก แต่เจ้าลองคิดดูให้ดีๆ ต้องมีบางอย่างซ่อนอยู่ในมรรควิชาของอาจารย์แน่นอน เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าแตกฉาน ภายหลังมีโอกาสก็ออกมาเที่ยวเล่นมากหน่อยเถอะ”
“เจ้าค่ะ!”
จิ้นซิ่วรีบคารวะจี้หยวนครั้งหนึ่ง อาเจ๋อเห็นจี้หยวนเป็นเหมือนกับผู้อาวุโสคนหนึ่ง นางในฐานะที่เป็นศิษย์เขาเก้ายอดกลับไม่กล้า ด้วยนางรู้อยู่ลึกๆ ว่าจี้หยวนเป็นผู้สูงส่งระดับใด ได้ฟังคำชี้แนะจากผู้สูงส่งเช่นนี้ นางไม่อาจลืมมารยาทอย่างแน่นอน
ราวกับว่าเพิ่งตื่นจากภวังค์จากคำพูดของจี้หยวนก่อนหน้านี้ อาเจ๋อไม่หยุดฝีเท้า มองไปทางจี้หยวนแล้วกล่าว
“ท่านจี้ ท่านบอกว่าการต่อสู้ไม่มีทางหายไป ทำได้เพียงพยายามหลบเลี่ยง เช่นนั้นจะหลบเลี่ยงได้อย่างไรหรือ”
“ถามได้ดี!”
จี้หยวนไพล่หลังด้วยมือข้างเดียว มือขวาแกว่งไกวอยู่ข้างหน้า ในสายตาของอาเจ๋อกับจิ้นซิ่ว จี้หยวนแกว่งแขวนในแนวนอนกลับไปมาจนเกิดเส้นหลายสาย และแกว่งแขวนในเนวตั้งกลับไปมาจนเกิดเส้นหลายสายเช่นกัน สุดท้ายตาข่ายกะพริบแสงผืนหนึ่งปรากฏขึ้นตรงหน้าจี้หยวน จากนั้นเคลื่อนไปข้างหน้าตามฝีเท้าของทั้งสามคน
“นี่คืออะไรหรือ”
“กระดานหมาก”
อาเจ๋อกับจิ้นซิ่วสบตากัน ต่างฝ่ายต่างมองกันด้วยความฉงน
“กระดานหมาก?”
จี้หยวนมองกระดานหมากข้างหน้า หรี่ตาพลางกล่าว
“ข้าขอถามพวกเจ้า กุญแจสำคัญในการรักษากระดานหมากคืออะไร”
อาเจ๋อมุ่นคิ้ว จิ้นซิ่วครุ่นคิดอย่างหนักเช่นกัน และแม้ฝ่ายหลังเป็นผู้ฝึกเซียน ทว่าหัวใจกลับเต้นเร็วขึ้นรางๆ นี่เหมือนกับผู้สูงส่งถ่ายทอดมรรคเป็นอย่างยิ่ง หากได้รับคำชี้แนะอะไรจากท่านจี้ นั่นเป็นประโยชน์มหาศาลแน่นอน
“ตัวหมาก กระดานหมาก?”
“คนลงหมาก ไปจนถึงฝีมือหมากของทั้งสองฝ่าย?”
จี้หยวนยิ้ม
“พวกเจ้าพูดถูกต้องทั้งหมด แต่ที่สำคัญที่สุด…ก็คือกฎของหมากกระดานนี้! ใช้พื้นฐานนี้แล้วถึงจะพัฒนาทางหมากที่หลากหลายได้”
จี้หยวนมองฟ้าดินของถ้ำสวรรค์นี้
“ไม่มีกฎเกณฑ์ ไม่มีมาตรฐาน ปราชญ์เข้าใจธรรมชาติของมนุษย์และตั้งกฎเกณฑ์ขึ้นเพื่อควบคุมพวกเขา ผู้มีอำนาจใช้หลักการของปราชญ์ปรับแต่งให้เป็นกฎหมายและข้อบังคับ ใช้ความรุนแรงและการข่มขู่เพื่อปกครองประชาชน แม้ว่าจะทำเพื่อประโยชน์เป็นหลัก แต่ก็ยังถือว่าปกป้องประชาชน กฎเกณฑ์นี้ไม่เพียงแต่ใช้กับมนุษยชาติเท่านั้น แต่ยังใช้กับทุกสิ่ง แม้แต่ในโลกนี้ด้วย”
จี้หยวนพูดพลางยื่นมือแตะความว่างเปล่าตรงหน้า เกิดเป็น ‘ตำแหน่งดาว’ มากมายบนกระดานหมาก จากนั้นทางหมากก็ปรากฏขึ้นเล็กน้อย ก่อนที่กระดานหมากทั้งหมดค่อยๆ จางหายไป และแสงเรืองรองก็หายไปต่อหน้าต่อตาเช่นกัน
อาเจ๋อมองอย่างงุนงง พลันถามขึ้นว่า
“แต่พวกเรามีอาณาจักรและมีกฎเกณฑ์เช่นกัน เหตุใดคนในหมู่บ้านยังถูกฆ่า เหตุใดยังมีอาณาจักรอื่นมาโจมตีพวกเรา”
ตอนตอบคำถามคนทั้งสอง พวกเขาก้าวผ่านหนทางยาวเหยียดโดยไม่รู้ตัว เมื่ออาเจ๋อกับจิ้นซิ่วรู้สึกตัว ถนนใต้เท้าไม่ใช่หญ้ารกชัฏกันดารอีกต่อไป ตรงที่ไกลยิ่งมีทุ่งนาเขียวชอุ่มให้เห็น ตอนนี้จี้หยวนผ่อนฝีเท้าลงแล้ว
เดินไปอีกประมาณหนึ่งเค่อ ในที่สุดสามคนก็พบคนเป็นเสียที นั่นเป็นชาวนาแก่ชราที่กำลังยุ่งอยู่กับการปักต้นกล้าในทุ่งนา สวมเสื้อผ้าเก่าใส่หมวกฟาง จอบพาดอยู่บนไหล่ ก้มตัวยื่นมือปักต้นกล้าในทุ่งนาไปเรื่อยๆ จนสุดทาง
จี้หยวนรู้สึกได้ว่าอาเจ๋อได้เห็นคนเป็นแล้วผ่อนคลายขึ้นอย่างชัดเจน
ชาวนาชราทางนั้นยืดตัวตรง เห็นสามคนที่เดินเข้าแต่งกายดี ไม่เหมือนคนทำงานลำบากหาเช้ากินค่ำ เขาไม่ได้กล่าวทักทาย เพียงอดคิดไม่ได้ว่าเหตุใดคนท่าทางร่ำรวยสามคนนี้ถึงมาได้ ไม่กลัวถูกปล้นในยุคที่ไม่สงบสุขนี้หรือ
เขาไม่พูดอะไร กลับเป็นจี้หยวนที่หยุดฝีเท้าแล้วเอ่ยปาก
“ผู้อาวุโสท่านนี้ ข้างหน้าน่าจะเป็นเมืองเป่ยหลิ่งแล้วกระมัง”
“อ้อๆ ใช่ๆๆ ผ่านเขาอุดรไปก็ถึงเมืองแล้ว แต่ยุคสมัยนี้ไม่สงบสุข จะข้ามเขาอุดรนั้น ทั้งสามคนต้องไปรอที่เมืองใกล้เคียงก่อนพักหนึ่ง ไปกับคนหมู่มากย่อมดีกว่า”
ชายชราหรี่ตามองทางข้างหลังพวกจี้หยวน ไม่เห็นว่ามีรถม้ามาด้วย จากนั้นมองไปข้างหน้า หนทางยืดยาวออกไปไกล
“เอ่อ ทั้งสามท่านมาจากที่ใดหรือ”
อาเจ๋อตอบด้วยความตื่นเต้นเล็กๆ ทันที
“พวกข้ามาจากทางใต้ของภูเขา ทางนั้นมีหมู่บ้านอยู่สองสามแห่ง บ้านข้าอยู่ที่หมู่บ้านเมี่ยวต้ง ท่านลุงเคยได้ยินหรือไม่ ท่านเคยเห็นหรือเคยได้ยินว่าคนทางนั้นหนีตายบ้างหรือไม่”
ในน้ำเสียงของอาเจ๋อเจือความคาดหวังอย่างชัดเจน ก่อนหน้านี้พี่จิ้นซิ่วบอกเขาว่าพบเจอภัยพิบัติทางทหารแล้ว ใช่ว่ามีเพียงแค่พวกเขาห้าคนที่หนีรอด พวกเขาหนีรอดได้ คนอื่นก็หนีรอดได้เช่นกัน อาจจะมีคนหนีรอดไปได้ก็เป็นได้ หากไม่เข้าเขาค้ำฟ้าก็หนีไปที่อื่นแล้ว
“ทางใต้ของภูเขา?”
อาณาเขตนี้ใกล้เทือกเขาค้ำฟ้า แม้ไม่นับว่าเป็นที่เดียวกับเขาค้ำฟ้า สถานที่ที่ชาวบ้านอาศัยอยู่ถูกคั่นไว้ด้วยภูเขามากมายอีกต่างหาก คนชนบทกระจัดกระจายอยู่ในสถานที่เหล่านี้ พื้นที่กว้างประชากรน้อยเป็นภาพสะท้อนที่แท้จริงของที่นี่ ทว่าชื่อสถานที่และถนนบางแห่งเป็นที่คุ้นเคยของคนท้องถิ่น ชาวนาชรามองไปยังทิศใต้ตามสัญชาตญาณ จากนั้นมองท้องฟ้าแจ่มใสในวันนี้ เหมือนกับนึกอะไรขึ้นได้จึงตัวสั่นสะท้าน สีหน้าไม่ค่อยสู้ดีนัก
พูดดังนั้นแล้วก็ก้มหน้าทำนาต่อไป อีกทั้งเร่งความเร็วขึ้นไม่น้อย ห่างออกจากริมถนน ร่างเหมือนกับถูกฝังอยู่กับพืชผลในทุ่งนา
“ท่านลุง…”
อาเจ๋อยังอยากพูดอีก ทว่าจี้หยวนส่ายหน้าให้เขา
“ผู้อาวุโสกำลังยุ่ง พวกเราบอกลาเถอะ!”
จี้หยวนคารวะเล็นกน้อยก่อนเร่งฝีเท้าพาทั้งสองคนมุ่งหน้าไปยังภูเขาอุดร
ชาวนาชราที่ทำเป็นไม่ได้ยินเสียงฝีเท้า เอาแต่ยุ่งอยู่กับการปักต้นกล้ายืดตัวตรง ทว่ามองไม่เห็นพวกจี้หยวนสามคนจากทางข้างหน้าและข้างหลัง เมื่อทอดสายตามองไปไกลถึงเห็นว่ามีจุดเล็กๆ อยู่บนถนนมุ่งหน้าขึ้นเหนือลิบๆ
เขาชะงักไปเล็กน้อย ตัวสั่นอยู่สองสามครั้ง เพียงรู้สึกว่ามีลมเย็นพัดมาถูกตัวอย่างต่อเนื่อง
“ไอ้หยา วันนี้ต้องกลับเร็วหน่อยแล้ว!”
คนทางใต้ของภูเขาตายหมดนานแล้ว จู่ๆ จะมีคนทางใต้ของภูเขาโผล่มาตั้งสามคนได้อย่างไร เห็นผีตอนกลางวันแสกๆ จริงๆ แล้ว
เกิดความคิดน่ากลัวแบบนี้แล้ว ชาวนาชราปักต้นกล้าอีกเล็กน้อยแล้วกวาดสายตามองไปทั่วๆ จากนั้นเขาเดินไปที่สันทุ่ง สวมรองเท้าฟาง หยิบจอบแล้วจากไปอย่างรวดเร็ว
“ท่านจี้ ผู้อาวุโสคนนั้นเหมือนจะกลัวพวกเราทีเดียวนะ”
มรรควิถีของจิ้นซิ่วค่อนข้างน้อย ยังไม่อาจมองเห็นปราณ แต่ก็มองออกว่าท่าทางของชาวนาชราต่อพวกเขาเปลี่ยนไป
“อืม เขาเข้าใจว่าพวกเราเป็นผี ย่อมหลีกเลี่ยงพวกเราทันที”
จี้หยวนกล่าวกับอาเจ๋ออีก
“อาเจ๋อ หลังจากนี้คุยกับใครหลีกเลี่ยงความยุ่งยากหน่อย หากต้องพูดถึงเรื่องทางใต้ของภูเขาจริง ก็บอกว่ารอดตายจากเคราะห์ร้ายมาได้ก็แล้วกัน”
“อืม ข้าจะจำไว้”