เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 61 รออยู่หน้าป่า
ตอนที่ 61 รออยู่หน้าป่า
เดิมจี้หยวนคิดจากไปตอนฟ้ายังไม่สว่าง สาเหตุที่อยู่ต่ออีกหน่อย สิ่งสำคัญคือกลัวผู้ดูแลศาลหลักเมืองอำเภอซุ่ยหย่วนมาหา เรื่องการถามทางกลับเป็นเรื่องรองแล้ว แต่จนฟ้าสางยังไม่เห็นทูตศาลมืดอำเภอนี้มา จี้หยวนครุ่นคิดครู่หนึ่งก็ไม่คิดอยู่ต่ออีก
เรื่องครั้งนี้ต่างจากตอนอยู่อำเภอหนิงอัน ตอนนั้นถึงแม้ในอำเภอลือว่าเขาจี้หยวนคือยอดบุคคลแค่ไหน นั่นก็เป็นการซุบซิบนินทาส่วนตัว ไม่เกี่ยวข้องกับชีวิตของชาวบ้านนัก คำนินทาผ่านไป ออกไปกินข้าวอะไรปกติล้วนพบเจอได้ ทำให้ผู้คนรู้สึกว่าสุดท้ายก็เป็นคนธรรมดา
ครั้งนี้ลงมือกับปีศาจโดยตรงจึงเกี่ยวข้องมากหน่อย ดูจากการตอบสนองของคนในหมู่บ้านก็รู้แล้ว
ส่วนปีศาจงูนั่นต่อให้ไม่ตายก็ต้องบาดเจ็บสาหัสแน่ กอปรกับเจ้าหน้าที่หลักเมืองอำเภอซุ่ยหย่วนทุกกรมย่อมมีการป้องกัน น่าจะไม่ใช่เรื่องใหญ่
ลากพ่อค้าสองสามคนมาถามว่าไปจังหวัดชุนฮุ่ยอย่างไรโดยละเอียดเหมาะสมที่สุด ควรหยุดพักที่ไหนเลี้ยวเข้าทางไหน เมื่อถามจบจี้หยวนอ้างว่าจะกลับเรือนเล็กหน้าหมู่บ้านไปหลับต่อ ความจริงหลังจากเข้ามาในเรือนแล้วใช้วิชาบังตาแอบเผ่นหนี
รอถึงกลางวันหัวหน้าหมู่บ้านมาเชิญจี้หยวนกินอาหารเที่ยงด้วยตัวเองอย่างกระตือรือร้น แต่พบว่าไม่มีคนอยู่นานแล้ว ถามชาวบ้านใกล้เคียงล้วนตอบว่าไม่เคย
จี้หยวนผู้เป็นตัวต้นเรื่องออกจากหมู่บ้านไปครู่ใหญ่แล้ว
ตามคำแนะนำของพวกพ่อค้า ถ้าย้อนกลับอำเภอซุ่นเป่าไม่สู้ผิดแล้วเดินตามทิศทางตอนนี้ไป หลังจากผ่านเต๋อหย่วน เชียนโจว ถังซู่สามอำเภอค่อยตามทางเข้าอำเภอเก้าสายผ่านเขาคทา เลียบแม่น้ำสายหนึ่งที่ชื่อว่าแม่น้ำราบรื่นจนบรรจบแม่น้ำวสันต์ ค่อยตามแม่น้ำวสันต์ไปจนถึงจังหวัดชุนฮุ่ย
แน่นอนว่าระหว่างทางยังมีรายละเอียดเล็กน้อยและป้ายบอกทางบางส่วน ต้องอ้อมจุดไร้ผู้คนบางแห่ง ฟังแล้วซับซ้อนอยู่บ้างก็จริง แต่จี้หยวนคิดว่าเมื่อลงมือจริงคงไม่ลำบากนัก ด้วยสถานที่เวิ้งว้างร้างผู้คนกับลำธารขอแค่เขารับรู้ทิศทางไม่ผิดแล้วเดินตรงไปก็พอ ส่วนสองสามอำเภอระหว่างทางขอแค่ไม่เลี้ยวผิดทางก็หาเส้นทางเหมาะสมได้ โดยเฉพาะทางเข้าอำเภอเก้าสาย ด้วยนับว่าเป็นจุดชุมทาง ผู้คนในอำเภอรวมตัวหนาแน่นมาก คิดจะผิดพลาดคงยาก
บนถนนใหญ่ทางตะวันออกเฉียงเหนือ จี้หยวนควบคุมความเร็วคล้ายคนทั่วไปวิ่งเหยาะๆ ความจริงดูเหมือนก้าวย่าง แต่ฝีเท้าซึ่งมองไม่ชัด ก้าวกว้างกว่าคนทั่วไปนัก ทั้งฝ่าเท้ายังใกล้พื้นมากจนรวดเร็วไม่น้อย ไม่มีความรู้สึกเหมือนกระโดดหรือวิ่งตะบึง กลับเหมือนเดินผ่อนคลายด้วยความเร็วปกติ
ก้าวเดินด้วยสภาพเช่นนี้มาประมาณหนึ่งถึงห้าหมี่ จี้หยวนคำนวณระยะทางของตนได้ง่ายขึ้น น่าจะไม่เผลอเดินเลยอีก ทั้งแบ่งพลังกายกับชื่นชมทิวทัศน์งามระหว่างทางได้ดีขึ้นด้วย
ผ่านเนินดินแห่งหนึ่ง ตรงหน้ามีป่าผืนเล็ก แต่มองไกลออกไปร่มเงาแถบนั้นคล้ายหนาทึบเกินไปอยู่บ้าง รู้สึกเหมือนมืดสนิททั้งแถบ
จี้หยวนขยี้ตามองโดยละเอียด
‘เยี่ยม… รอเราอยู่ตรงนี้เลย…’
ป่าเบื้องหน้าพอเรียกว่าเป็นเขตเชื่อมต่อของอำเภอซุ่ยหย่วนกับอำเภอเต๋อหย่วน ภายใต้ร่มเงาเทพหลักเมืองอำเภอซุ่ยหย่วนกับสองเจ้ากรมลงทัณฑ์ปูนบำเหน็จยืนอยู่ตรงนั้น ยังมีทูตดึงวิญญาณสองสามคนกางร่มดำขนาดใหญ่ โซ่คล้องวิญญาณในมือมัดวิญญาณงูยักษ์ตัวหนึ่ง
แน่นอนว่าจี้หยวนไม่เคยเจอเทพหลักเมืองอำเภอซุ่ยหย่วน แต่โดยทั่วไปกายพรตเทพหลักเมืองสูงใหญ่กว่าขุนนางบริวารไม่น้อย แสงเทพสะดุดตา มีส่วนแยกแยะได้มาก
เห็นวิญญาณปีศาจงูนั้นถูกมัดกอปรกับท่าทางอึ้งงัน เกรงว่าคงลำบากไม่น้อย ท่าทางนี้ชอบกลอยู่บ้าง!
“อึก…”
จี้หยวนกลืนน้ำลายเร่งฝีเท้าเล็กน้อย กัดฟันมุ่งหน้าไปยังป่าผืนเล็ก
ห่างออกไปพวกเทพหลักเมืองอำเภอซุ่ยหย่วนเห็นจี้หยวนแล้ว แต่ละคนมองอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ด้วยท่าทางเคร่งขรึม
มากน้อยอย่างไรจี้หยวนยังรู้ตัวอยู่บ้าง เมื่อคืนสถานการณ์เร่งด่วน ใช่ว่ากล้าไม่เห็นศาลมืดอำเภอหนึ่งอยู่ในสายตาจริงๆ
ดังนั้นเมื่อเข้าใกล้ป่าเล็กแต่ยังไม่ถึงระยะเหมาะสมก็ใช้มือซ้ายกุมมือขวา สองมือประสาน จากนั้นฝีเท้าโคจรท่าร่างย่นระยะห่างเล็กน้อย
“ข้าน้อยจี้หยวน คารวะใต้เท้าหลักเมืองอำเภอซุ่ยหย่วนและใต้เท้าทุกกรม เมื่อคืนสถานการณ์เร่งด่วน ข้าน้อยไม่มีแรงตามล่า ถึงขอความช่วยเหลือจากศาลมืดซุ่ยหย่วน เป็นจริงดังคาด ปีศาจงูถูกสังหารแล้ว ขอบคุณใต้เท้าหลักเมืองกับบริวารศาลมืดทุกท่านที่เก็บกวาดแทนข้าคนแซ่จี้!”
จี้หยวนคิดเองว่าประโยคนี้กล่าวอย่างจริงใจและมีมารยาท ทั้งยังพูดถึงความจริงเมื่อคืนด้วย
สีหน้าเทพหลักเมืองอำเภอซุ่ยหย่วนกับสองเจ้ากรมเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนมากทันทีดังคาด
“ที่แท้ก็เป็นท่านจี้ ภายในเขตอำเภอมีปีศาจปรากฏตัวก่อกวน เกือบปล่อยให้มันบรรลุเป้าหมาย ขอบคุณท่านจี้ที่ยึดมั่นคุณธรรมลงมือ ตอนนี้ปีศาจงูถูกสังหารแล้ว วิญญาณอยู่ที่นี่ ท่านจี้โปรดดู!”
เจ้าหน้าที่หลักเมืองอำเภอซุ่ยหย่วนทุกกรมประสานมือมาทางจี้หยวนเล็กน้อยตามมารยาทเช่นกัน สายตาส่วนมากจ้องมองดวงตาจี้หยวน คล้ายว่าดวงตาทั้งสองบอดสนิท
ดังคำกล่าวว่าผู้อื่นเคารพข้าหนึ่งฉื่อข้าเคารพผู้อื่นหนึ่งจั้ง หน้าตากับมารยาทควรมอบให้กันและกัน ตั้งแต่อดีตจนปัจจุบันล้วนเป็นเช่นนี้
คำพูดของจี้หยวนเรียกว่าไว้หน้ามากพอแล้ว ทั้งมอบบันไดลงอย่างสบายแก่ศาลมืดอำเภอซุ่ยหย่วนด้วย ยิ่งโกหกโดยใช้คำว่า ‘ไม่มีแรงตามล่าจึงขอความช่วยเหลือจากศาลมืด’ ยิ่งทำให้บันไดลงนี้ผ่อนคลายขึ้น แม้แต่เจ้ากรมลงทัณฑ์ยังรู้สึกถึงความจริงใจเต็มเปี่ยมทันที
“ไม่ผิด ท่านจี้โปรดดูว่าใช่เจ้าเดรัจฉานนี้หรือไม่”
เจ้ากรมปูนบำเหน็จสะบัดมือ ยมทูตดำสองสามคนจับวิญญาณงูตัวนั้นเงยหน้าเล็กน้อยทันที
“เป็นปีศาจตัวนี้ วันนี้ฟ้ายังไม่สว่าง อาศัยวิชาบังตาลวงพ่อค้าต่างถิ่น ข้าคนแซ่จี้คาดว่ามันคงเลื่อนขั้นถึงระดับสำคัญแล้ว คิดดึงพลังหยางมาช่วยประสานหยินหยางของตน”
“หึ ท่านจี้กล่าวถูกต้องยิ่ง น่าเสียดายว่าปีศาจตัวนี้ไม่แหกตามอง มาเจอกระบี่ของท่านจี้”
ขณะกล่าวเจ้ากรมลงทัณฑ์คว้าโซ่คล้องวิญญาณเส้นหนึ่ง ลากวิญญาณปีศาจงูเข้ามาใกล้พลางชี้ส่วนหางของมัน วิญญาณตรงนั้นว่างเปล่า เป็นตำแหน่งที่จี้หยวนซัดกระบี่
“ท่านจี้วิชาอัศจรรย์ล้ำเลิศ ทูตลาดตระเวนบอกว่าตอนนั้นหางงูถูกเจตเพลิงลามไม่หยุดจนน่าอัศจรรย์ ไม่ได้เห็นความสง่างามของกระบี่นี้นับว่าน่าเสียดายจริง!”
จี้หยวนจ้องมองสภาพของวิญญาณปีศาจงู ความเข้าใจที่มีต่อเพลิงปวงชนมีความรู้ลึกซึ้งยิ่งกว่าเดิม แต่ก็เป็นเพราะปีศาจงูตัวนี้มรรควิถีตื้นเขิน ถ้าร้ายกาจอีกหน่อยอย่าว่าแต่ไม่เห็นวิชานี้อยู่ในสายตาเลย แม้แต่จี้หยวนคงไม่กล้าสู้ด้วย
แต่ถูกเจ้ากรมลงทัณฑ์พูดถึงคำว่าวิชาอัศจรรย์ ในใจจี้หยวนกระตือรือร้นขึ้นมา
“ใต้เท้าชมเกินไปแล้ว ข้าคนแซ่จี้เป็นแค่ชาวบ้านกลางป่าเขา การฝึกปราณยังตื้นเขิน ไม่มีวิชาอัศจรรย์ล้ำเลิศอะไร แค่ใช้วิชาควบคุมเพลิงปวงชน สำแดงอานุภาพกระบี่ซึ่งหยั่งรู้จากเจตกระบี่วิชายุทธ์ของปุถุชนจึงโชคดีทำร้ายปีศาจงูได้!”
“วิชาควบคุมเพลิง? วิชากระบี่ฝึกยุทธ์ปุถุชน?”
พวกเจ้าหน้าที่ศาลมืดอำเภอซุ่ยหย่วนรวมถึงเทพหลักเมืองอำเภอซุ่ยหย่วนต่างประหลาดใจเล็กน้อย พวกเขาไม่ได้สงสัยว่าวิชายุทธ์ปุถุชนกำจัดปีศาจได้หรือไม่ ความจริงพวกวิชายุทธ์สูงส่ง เลือดลมเปี่ยมท้น ผีร้ายทั่วไปยากกล้ำกราย ต่อให้เป็นปีศาจ ขอแค่ไม่เจอปีศาจซึ่งฝึกสำเร็จก็ใช่ว่าสังหารไม่ได้ สิ่งที่พวกเขาแปลกใจคือผลลัพธ์
“ถูกต้อง ดังคำกล่าวว่าเพลิงชนลุกโชนไม่ดับมอด อานุภาพกระบี่ที่ข้าคนแซ่จี้หยั่งรู้ถือกำเนิดจากตำราของอัจฉริยะวิชายุทธ์คนหนึ่ง เรียกว่าทักษะเข้าขั้น วิชาของปุถุชนไม่อาจดูหมิ่นเช่นกัน!”
นี่คือความในใจของจี้หยวน เขาประเมินเทียบเจตกระบี่สูงมาตลอด ถึงขั้นเหนือกว่าม้วนไม้ไผ่ฝึกเซียนสองเล่มที่ได้รับมาตอนแรกอยู่บ้าง จึงคาดหวังกับตำราวิชากระบี่ของจั่วขวงถูอย่างเต็มเปี่ยม
เทพหลักเมืองกับเจ้ากรมสองคนเงียบไปครู่หนึ่ง สุดท้ายก็ยังไม่เชื่อทั้งหมด
“ทักษะคุมเพลิงของท่านจี้ยอดเยี่ยม น่าชื่นชม!”
“ในเมื่อจบเรื่องแล้ว พวกเราคงไม่ขวางการเดินทางของท่านจี้ วันหน้าหากผ่านทางมาซุ่ยหย่วนอีกครั้ง มีอะไรต้องการความช่วยเหลือ แค่บอกกล่าวก็พอ!”
เทพหลักเมืองกล่าวประโยคนี้จบ บริวารทุกกรมประสานมือเล็กน้อยตามเขาอีกครั้ง ดูท่าว่าคงเตรียมตัวกลับไปแล้ว ในเมื่อมีความสุขกันทุกฝ่าย อยู่ต่อก็ไม่มีความหมายอะไร
‘อย่าเพิ่ง! ตอนนี้เรามีเรื่องให้พวกเจ้าช่วย!’
หนังหน้าสองชาติของจี้หยวนไม่เคยบาง ตอนนี้ไม่อาจสนใจเรื่องยางอายอะไรแล้ว เขารีบเอ่ยปากรั้ง
“ใต้เท้าหลักเมืองกับใต้เท้าทุกกรมอย่าเพิ่งไป ข้าน้อยมีคำขอไร้เหตุผลอย่างหนึ่งจริงๆ เอ่อ ไม่ทราบว่าศาลมืดอำเภอท่านมีตำราหรือเคล็ดวิชามรรคเซียนอะไรหรือไม่ หากไม่ผิดข้อห้ามอะไร ข้าน้อยพินิจได้หรือไม่”
กล่าวประโยคนี้จบแล้วเหมือนนึกอะไรได้ จี้หยวนรีบกล่าวเสริมประโยคหนึ่ง
“เล็กใหญ่ไม่เกี่ยง ตำราเคล็ดวิชาอะไรก็ได้!”
จี้หยวนพูดจบแล้วค้อมตัวคารวะอย่างจริงใจอีกครั้ง ไม่สนว่าซ้ำพวกวิชาเลี่ยงวารีหรือไม่ ได้มาก่อนค่อยว่ากัน หน้าตาอะไรช่างมันเถอะ!