เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 63 คำว่าวาสนาอัศจรรย์จริง
ตอนที่ 63 คำว่าวาสนาอัศจรรย์จริง
วันนี้เป็นวันที่สี่เดือนห้าพอดี
ไม่นานจี้หยวนรู้สึกว่าเส้นแสงเหนือศีรษะจางลง เมฆฝนแถบใหญ่ลอยมาแล้ว
โครมครืน…
เสียงอสนีบาตดุดันดังขึ้นอีกครั้ง สายฟ้าแลบสาดส่องพื้นดินซึ่งค่อนข้างมืดสลัวภายใต้พยับเมฆราวกับกล้องรัวชัตเตอร์ก่อนเสียงอสนีมาเยือน
วู้ม… วู้ม…
บนทุ่งรกร้างด้านนอก ฝนมาไม่ถึงลมมาก่อน ต้นไม้เศษฝุ่นม้วนพัด แต่ยังดีว่าถ้ำผนังหินที่จี้หยวนอยู่ค่อนข้างพิเศษ ผนังหินสองด้านต้านลมได้มาก กอปรกับด้านบนมีมุมลาดเอียง ถึงแม้เห็นชัดว่ากระแสลมปั่นป่วนห่างไปสองสามจั้ง แต่สถานการณ์ภายในถ้ำหินกลับค่อนข้างเงียบสงบ
“ดูท่าว่าฝนครานี้คงตกหนัก!”
จี้หยวนยิ้มน้อยๆ ยื่นมือคว้าเข้าไปในห่อผ้า วินาทีต่อมารอยยิ้มกลับค้างแข็ง
เขาคว้าห่อผ้ามาเปิดดูทั้งพลิกไปพลิกมา ในที่สุดก็เจอพุทราสดสี่ผลอยู่ตรงมุม นอกจากนี้ก็ไม่มีแล้ว
‘เราถึงกับกินพุทราหมดแล้วหรือ’
เขาเกาหนังศีรษะที่คันอยู่บ้าง ครั้งนี้จี้หยวนรู้สึกว่าตนอาจอยู่ที่นี่นานไป สุดท้ายท้องหิวก็เป็นปัญหาจริงๆ
“โธ่เอ๊ย… ผลพุทรานี้ได้มาไม่ง่าย นำมาคลายหิวได้ ทีแรกคิดจะกินน้อยหน่อย คิดไม่ถึงหนอคิดไม่ถึง เพิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่เอง…”
เพิ่งทอดถอนใจเสร็จ จี้หยวนพลันขยับใบหู ได้ยินเสียงซึ่งต่างจากเสียงลมเล็กน้อย
จี้หยวนมองไปทางซ้ายตามเสียง เลือนรางมองไม่ชัด แต่พิสูจน์ว่าตนไม่ได้ฟังผิด มีคนเข้ามาใกล้จริงๆ
‘สถานที่แบบนี้มีคนมาด้วยหรือ คล้ายว่าเลี้ยวมาจากทางหลวง!’
ผ่านไปไม่นานเสียงของผู้มาเยือนชัดเจนจนได้ยินแล้ว มองเห็นว่ามีทั้งหมดสามคน ลากรถม้าคันหนึ่ง จูงม้ามาสองตัว รีบมุ่งมาทางเนินดินผนังหิน
“ข้างหน้าคือผามังกรหมอบ เร็วๆๆ ฉวยโอกาสตอนฝนยังไม่ตกลงมา รีบเข้าไปหลบเร็ว!”
“เร็วเข้า จู้จื่อ อวี้เหลียน พวกเจ้าลงมาจากรถ แบบนี้รถจะได้เคลื่อนตัวเร็วขึ้น”
…
เสียงตะโกนกับเสียงหวดแส้ดังต่อเนื่อง ฟังแล้วเหมือนมาหลบฝนโดยเฉพาะ
จี้หยวนได้ยินคำพูดของพวกเขา ตรวจสอบถ้ำผนังหินทรงถั่วลันเตาที่ตนอยู่อีกครั้ง
“ผามังกรหมอบ? เหมือนตรงไหน?”
ผ่านไปอีกครู่หนึ่ง ในที่สุดขบวนลากรถม้าก็มาอยู่ใกล้ผามังกรหมอบที่กล่าวถึง
พวกเขาย่อมพบว่าอีกด้านหนึ่งของถ้ำหินมีคนหนุนห่อผ้ามองพวกเขาอยู่ ผู้อาวุโสคนหนึ่งในขบวนซึ่งน่าจะอายุเกินครึ่งร้อยประสานมือให้จี้หยวนเล็กน้อย จี้หยวนไม่อยากลุกขึ้นจริงๆ เขาจึงถือตำราคารวะตอบ
ทั้งสองฝ่ายไม่ได้เอ่ยวาจา จี้หยวนมองพวกเขารีบเทียมรถม้าใกล้ปากถ้ำหิน ชายฉกรรจ์สองคนในนั้นหยิบไม้ปลายแหลมกับค้อนไม้ลงจากรถม้าอย่างคล่องแคล่วว่องไว เริ่มตอกหลักผูกม้าลงด้านข้าง
ยุ่งง่วนอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดรถม้ากับม้าสามตัวก็ลงหลักอยู่ข้างถ้ำหิน พวกเขาผ่อนคลายลง ด้านนอกคนที่ลงจากรถพากันเข้ามานั่งในถ้ำหิน
รวมแล้วมีทั้งหมดเจ็ดคน นอกจากผู้อาวุโสที่ประสานมือมาทางจี้หยวนคนนั้นยังมีชายหนุ่มอีกสองคน ที่เหลือคือหญิงมีอายุคนหนึ่งกับเด็กสาววัยสิบหกสิบเจ็ดคนหนึ่ง รวมถึงเด็กชายตัวน้อยอีกสองคนด้วย เด็กชายอายุน้อยสุดคนนั้นเด็กกว่าอิ๋นชิงเล็กน้อย เด็กชายซึ่งโตกว่าหน่อยท่าทางคงอายุสิบสามสิบสี่
สายตาจี้หยวนกวาดมองม้าสามตัว ทั้งมองคนที่หลบอยู่ตรงผนังหินพวกนี้ ไม่ได้สนใจอะไรเป็นพิเศษ เขาอ่านตำราต่ออีกครั้ง
โครมครืน…
เสียงอสนีบาตดังขึ้นอีกครั้ง หลังผ่านไปประมาณสิบกว่าลมหายใจ ฝนกระหน่ำลงมาบนพื้นดังซ่า เห็นชัดว่าข้างนอกเปลี่ยนเป็นยิ่งอลหม่าน แต่กลับมีความรู้สึกว่าฟ้าดินเงียบสงบลงกะทันหัน
“ไอ้หยา เกือบไม่ทันจริงๆ เส้นทางนี้ด้านหน้าไม่มีหมู่บ้านด้านหลังไม่มีโรงเตี๊ยม โชคดีว่าอยู่ไม่ไกลจากผามังกรหมอบแห่งนี้!”
ผู้อาวุโสในขบวนกล่าวอย่างรวดเร็ว พวกเขาเจ็ดคนนั่งพูดคุยอยู่ตรงนั้น
“ท่านอาจง ฝนครานี้เมื่อไหร่จะหยุดหรือ”
“ฝนอสนีกระหน่ำกะทันหันเช่นนี้ทุกปีเวลานี้มีมาก มาไวไปไว คาดว่าอย่างมากหนึ่งชั่วยามก็หยุดแล้ว”
“ท่านลุงใหญ่ๆ ตรงนั้นมีคนนอนอยู่ด้วย ไม่ขยับเขยื้อนสักนิด บนพื้นดินสกปรกขนาดนี้ยังนอนลงอีก เขาใช่ขอทานหรือไม่”
มีเด็กชายตัวน้อยชี้จี้หยวนพลางกล่าวประโยคหนึ่ง
“เจ้าเด็กน้อย อย่าชี้นิ้วใส่คนอื่น ล้วนเป็นคนเดินทางมาหลบฝนเท่านั้น!”
ผู้อาวุโสแซ่จงตำหนิด้วยเสียงเข้มงวดประโยคหนึ่ง
แต่คำพูดของเด็กชายตัวน้อยทำให้จี้หยวนมองลักษณะท่าทางของตนเอง อย่างน้อยเสื้อผ้ายังเรียบร้อย ถ้าเทียบกับความสกปรกของตนก่อนหน้านี้ น่าจะไม่ถือว่าเกินไป… กระมัง ทำไมหนีไม่พ้นคราบขอทานเล่า
“หึๆๆ… ถูกคนหาว่าเป็นขอทานอีกแล้ว!”
จี้หยวนหัวเราะเหมือนคนบ้าอยู่บ้าง สิ่งสำคัญคือนึกถึงตนยามเตร็ดเตร่ ทั้งคิดเชื่อมโยงถึงฉากเด็ดเรื่องถังป๋อหู่ซึ่งแสดงโดยโจวซิงฉือเมื่อชาติก่อน กล่าวได้ว่า ‘ความรู้สึกวันนี้ต่างออกไป!’
น่าเสียดายว่าความจริงไม่เป็นอย่างที่ผู้อาวุโสแซ่จงกล่าว ฝนตกติดต่อกันหนึ่งชั่วยามครึ่งกว่าจะอ่อนกำลังลงทีละน้อย ฝนกระหน่ำเปลี่ยนเป็นโปรยปราย มีแนวโน้มว่าจะหยุด ทุกคนในถ้ำหินนอกจากจี้หยวน ส่วนใหญ่ง่วงเหงาหาวนอน
“อ๊ะ มีคนตากฝนมาทางนี้!”
ตรงมุมถ้ำหินที่เงียบสงบมาครู่หนึ่ง เสียงเด็กชายตัวน้อยเอะอะขึ้นมา
“โอ๊ย เดินช้าขนาดนี้ เปียกหมดแล้วกระมัง!”
มีคนกล่าวเสริม
จี้หยวนขมวดคิ้ว วางตำราเงยหน้ามองไปกลางสายฝนชั่วคราว ในความพร่าเลือนมีผู้อาวุโสสวมชุดยาวคอกลม เสื้อนอกสาบตรงคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามาใกล้ผาหินนี้ช้าๆ
คนผู้นี้จี้หยวนไม่เพียงเห็นอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง จี้หยวนยังไม่ได้ยินเสียงน้ำฝนหยดลงมาจากตัวเขาด้วย แต่เมื่ออีกฝ่ายใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ก็เห็นชัดว่าเสื้อผ้าบนตัวเขาเปียกหมดแล้ว
จี้หยวนมองอีกเจ็ดคนตรงมุมทแยงถ้ำหินตามจิตใต้สำนึก หวังว่าคงไม่ใช่สถานการณ์ย่ำแย่อะไร
ผู้มาเยือนดูเหมือนอารมณ์ดี เดินเล่นกลางฝนจนถึงริมถ้ำหิน เขาพลันอึ้งงันครู่หนึ่ง จ้องมองจี้หยวน คล้ายเพิ่งพบว่าเขาอยู่ตรงนั้น ส่วนจี้หยวนถือตำราลุกขึ้นนั่งแล้ว
สายตาสองฝ่ายบรรจบกัน ผ่านไปสองลมหายใจ ผู้มาเยือนกลางสายฝนยิ้มเล็กน้อย ยืนประสานมือให้จี้หยวนกลางสายฝน จี้หยวนซึ่งผ่อนคลายลงบ้างยิ้มพลางคารวะตอบ
ผู้อยู่กลางสายฝนก้าวเดินมา เข้าสู่พื้นที่หลบฝนติดผนังหิน ทั้งเดินมาถึงหน้าถ้ำหิน ผงกศีรษะยิ้มให้อีกเจ็ดคนที่มีแววตาสงสัย จากนั้นค่อยเดินตรงไปอยู่ข้างกายจี้หยวน
คนยังมาไม่ถึงเสียงถึงก่อน
“ท่านสง่างามนัก!”
สายตาคนอื่นสังเกตตัวจี้หยวนโดยละเอียดมาก่อนแล้ว เศษฝุ่นบนเสื้อผ้า เส้นผมสกปรกมอมแมม แสดงให้เห็นว่าจี้หยวนนอนอยู่ที่นี่มานานแล้ว
จี้หยวนสังเกตผู้มาเยือนโดยละเอียดเช่นกัน ตัวไม่เตี้ยไม่สูงร่างสง่า ขนคิ้วใต้กวานเหนือศีรษะเรียวยาว แววตากระจ่างอิ่มเอิบ ไม่เหมือนเจ็ดแปดสิบแต่ใบหน้าเกินหกสิบ ฟังแล้วไม่รู้ว่าอีกฝ่ายเอ่ยชมหรือหยอกล้อ จี้หยวนยิ้มพลางตอบรับ
“หึๆ… แค่หยุดพักที่นี่ครู่หนึ่งเท่านั้น พูดถึงความสง่างาม ย่อมเทียบความอิสระเสรีในการเดินเล่นกลางสายฝนของท่านไม่ได้”
ขณะกล่าวสายตาจี้หยวนยังมองหยดน้ำที่ร่วงลงจากชุดอีกฝ่าย เขาได้ยินเสียงฝีเท้ากับเสียงหยดลงพื้น น้ำบนเสื้อผ้าไม่เหมือนของปลอม
ผู้มาเยือนต้องไม่ธรรมดาแน่ แต่กลับไม่มั่นใจว่าเป็นเทพปีศาจหรือเซียน ในใจจี้หยวนไม่ได้ผ่อนคลายเบิกบานเหมือนภายนอก
แต่ท่าทางผ่อนคลายของผู้มาเยือนกลับไม่เสแสร้ง ก้าวเดินเนิบช้ามาถึงข้างกายจี้หยวนพลางเหลือบมองตำราในมือเขา ดวงตาคล้ายเบิกกว้างเล็กน้อย
“คัมภีร์นอกรีต? ตำรารวมตั้งกี่ปีมาแล้ว! คงไม่ถือสาหากข้านั่งด้านข้างกระมัง”
“เชิญท่านตามสบาย”
ต่อให้ถือสา สถานการณ์นี้กล่าวออกมาก็คงไม่เหมาะ
ชายชราคนนั้นนั่งห่างจากจี้หยวนไปหนึ่งฉื่อ น้ำฝนบนตัวซึมออกมาจากพื้นที่นั่ง ไหลมาจนถึงจี้หยวน แต่เรื่องนี้จี้หยวนไม่มีปัญหาอะไร เห็นเขาไม่คิดพูดคุยชั่วคราว แน่นอนว่าตนไม่มีทางเป็นฝ่ายชวนคุยก่อน หยิบตำราขึ้นมาแสร้งอ่านต่อ จิตวิญญาณกว่าครึ่งจับตามองคนข้างกาย
คนหนึ่งอ่านตำราโดยใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว คนหนึ่งมองน้ำฝนนอกถ้ำหินเงียบไปครู่หนึ่ง
“ท่านลุงใหญ่ พวกเขากำลังทำอะไรหรือ”
“ชู่ว… อย่าพูดส่งเดช! ทุกคนเก็บของ ฝนหยุดแล้วพวกเราค่อยไป…”
ผู้อาวุโสแซ่จงคนนั้นกดเสียงลงจนค่อนข้างต่ำ คล้ายว่าสังเกตเห็นความผิดปกติอะไรบางอย่างแล้ว ขณะกล่าวยังส่งสายตาให้ชายหนุ่มร่างกำยำสองคนไปถอนหลักผูกม้า
คนแก่มักพูดว่าลมปีศาจฝนมารเจอยักษ์ภูเขาภูตผีได้ง่าย ทุ่งรกร้างนอกชานเมืองนี้ ผู้มาเยือนนั่นไม่เหมือนคนทั่วไป ตอนนี้ดูท่าว่าผู้อยู่ก่อนก็ไม่ธรรมดา
ใช่แล้ว ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ นอกจากเด็กอายุน้อยสุดซึ่งใคร่รู้ คนอื่นสิ่งที่เกิดขึ้นเร็วและเด่นชัดที่สุดกลับเป็นความหวาดกลัว สติปัญญาของชาวบ้านธรรมดาไม่อาจถูกต้องทั้งหมด แต่หลีกเลี่ยงภัยอันตรายได้ไม่น้อยจริงๆ การตอบสนองเช่นนี้ผู้ไม่มีประสบการณ์หลายคนอาจยากจินตนาการ ถ้าเปลี่ยนเป็นจี้หยวนเมื่อชาติก่อน ย่อมมีคนไม่น้อยด่าว่าเขาโง่ยกใหญ่แน่
ภายในถ้ำหินเปลี่ยนเป็นเงียบสงบอย่างมาก ได้ยินแค่เสียงฝนด้านนอกเบาลงทีละน้อย รอจนผ่านไปราวหนึ่งเค่อ น้ำฝนทยอยหยุดลง ทั้งเจ็ดคนซึ่งอยู่อีกฝั่งของถ้ำหินรีบจูงม้าลากรถจากไปภายใต้การนำทางของผู้อาวุโส
ตอนนี้แน่นอนว่าจี้หยวนหวังว่าเจ็ดคนนั้นจะรีบจากไป แต่เมื่อเห็นพวกเขาจากไปอย่างเด็ดเดี่ยวเช่นนี้ จี้หยวนก็อดทอดถอนใจไม่ได้
คำว่า ‘วาสนา’ อัศจรรย์จริง บางคนต้องใช้เวลาทั้งชีวิต กระทั่งตายยังไม่เจอความอัศจรรย์ที่ตามหา บางคนพบอย่างประหลาด แต่กลับอกสั่นขวัญแขวน บางทีความรู้สึกนึกเสียใจคงหมักบ่มภายหลังกระมัง