เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 7 ตาบอดครึ่งหนึ่ง
ตอนที่ 7 ตาบอดครึ่งหนึ่ง
ขอร้อง พวกเจ้าอย่าโง่เลย! อย่าไปนะ!
จี้หยวนร้อนใจดุจไฟเผาอยู่หลังรูปปั้นเทพ ถ้าพ่อค้าเร่พวกนี้เกิดเรื่อง สุดท้ายก็ถึงคราวเขาแล้ว!
เขาอยากจะร้องคำรามด้วยซ้ำ ได้แค่ฟังเสียงฝีเท้าห่างออกไปกระทั่งไม่ได้ยิน
ภายใต้การดิ้นรนในใจอย่างเด่นชัดเช่นนี้ หนังตาจี้หยวนกระตุกรุนแรง มุมปากสั่นสะท้านไม่หยุด นิ้วก้อยข้างขวาถึงกับขยับเล็กน้อย
จี้หยวนรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยนี้ทันใด นี่ทำให้เขาซึ่งเดิมจิตใจย่ำแย่กระปรี้กระเปร่าทันที
เขารู้สึกตัวทีละนิด พบว่าภายใต้การดิ้นรนของจิตใจอย่างรุนแรง ‘อาการผีอำ’ นี้คลายลงทีละน้อยแล้ว นิ้วมือทั้งสองข้างบางนิ้วพอแยกได้ แม้ว่าขอบเขตไม่ใหญ่ แต่เป็นความก้าวหน้าอย่างมากจริงๆ
นี่ทำให้จี้หยวนดีใจแทบคลั่ง พ่อค้าเร่สี่คนที่ถูกพาออกไปฉากจบน่าเป็นห่วงแน่ แต่ถ้าตนขยับตัวและร่วมมือกับพ่อค้าเร่พวกนี้ได้ ไม่แน่ว่าอาจยังมีทางรอด
จางซื่อหลินจุดคบเพลิงแค่สองอันจากทั้งหมดตรงทางเข้าอารามเทพภูเขา จากนั้นค่อยส่งให้พวกหวังตง ลมหนาวกลางคืนพัดเปลวไฟจนส่ายสั่น
“ระวังหน่อย คุ้มครองคุณชายลู่ดีๆ”
“ไม่มีปัญหาพี่ซื่อหลิน!”
“พี่จิน ท่านระวังด้วย!”
“วางใจเถอะซื่อหลิน ข้าคอยดูอยู่!”
จินซุ่นฝูรับคบเพลิงมา พากันรับปากจางซื่อหลินพร้อมคนอื่น ถึงอย่างไรก็เป็นพ่อค้าเร่ นับเป็นนักเดินเขาครึ่งหนึ่ง ไม่มีทางกลัวหนทางแค่นี้
จางซื่อหลินคิดมอบคบเพลิงซึ่งจุดอันที่สองให้บัณฑิตลู่ ถึงอย่างไรอีกฝ่ายก็เป็นคนนำทาง แต่บัณฑิตลู่กลับไม่ยอมรับ
“ไม่ล่ะๆ ข้ากลัวคบเพลิงลามชุดคลุมข้าอยู่บ้าง ให้น้องเสี่ยวตงถือก็พอ!”
“ใช่ๆๆ มอบให้ข้าเถอะ แหะๆๆ…”
หวังตงยิ้มพลางเดินมาชิงคบเพลิง
“เด็กอย่างเจ้านี่!”
จางซื่อหลินหัวเราะด่าประโยคหนึ่ง วางคบเพลิงซึ่งยังไม่จุดที่เหลือใส่ในตะกร้าซึ่งหลิวฉวนแบกอยู่ หลังจากกำชับพวกเขาให้ระวังถนนหนทางอีกครั้ง คนทั้งขบวนจึงออกเดินทางไปขุดโสมราชันภูเขา
ภายในอารามเทพภูเขา จี้หยวนหน้าเบี้ยวมือเท้ากระตุก แน่นอนว่าไม่ได้เป็นโรค แต่กำลังดิ้นรนคิดชิงสิทธิ์ครองร่างกายอย่างรุนแรง
พ่อค้าเร่แปดคนที่เหลือตรงประตูทางเข้ามองส่งจนแสงไฟห่างออกไปจึงกลับเข้ามาในอารามเทพภูเขา ความรู้สึกบนหน้าเปี่ยมแววเฝ้ารอและยินดี
ต่อให้ไม่ใช่โสมราชันภูเขา โสมโตเต็มวัยต้นหนึ่งมีค่าเป็นเงินไม่น้อย ถึงอย่างไรคนมีเงินก็เสียดายชีวิต ย่อมยอมจ่ายเงินซื้อวัตถุดิบยาชั้นดี
“หัวหน้าจาง ขอทานคนนี้เป็นอะไรไป”
มีคนเพิ่งนั่งข้างกองไฟ เมื่อเห็นท่าทางประหลาดของจี้หยวน เขาร้องเสียงหลงอย่างอดไม่ได้
จางซื่อหลินรีบก้าวเดินไป พ่อค้าเร่คนอื่นพากันล้อมเข้ามา พวกเขาเห็นท่าทางดิ้นรนของจี้หยวนแล้วรู้สึกหวาดกลัวอยู่บ้าง
“บนตัวเขาเหงื่อออกเยอะเชียว…”
“ใช่ลมบ้าหมูหรือไม่”
“นำท่อนไม้มา ง้างปากเขาออก อย่าให้เขากัดลิ้นตัวเองขาด!”
จางซื่อหลินคุกเข่าตรึงร่างที่กระตุกของขอทาน ส่งเสียงตะโกนบอกคนอื่น
ทันใดนั้นมีคนหาท่อนไม้ที่เหมาะสมออกมาจากกองฟืน
“ข้าง้างปากเขาออก เจ้ายัดเข้าไปทันที!”
“อื้ม… อึกอื้อ…”
จี้หยวนต่อต้านโดยสัญชาตญาณ ตนไม่ได้เป็นลมบ้าหมู ท่อนไม้นี้สกปรกแค่ไหนก็ไม่รู้!
“ช่วยข้ากดเขาไว้!”
ไม่นานท่อนไม้หนึ่งก็คาปากซึ่งกระตุกอยู่ของจี้หยวน ยังดีที่ขวางแล้วเขางับทัน
พวกพ่อค้าเร่มองดูครู่หนึ่ง ก่อนกลับไปอยู่ข้างกองไฟช้าๆ
มีคนถอนหายใจ
“คืนนี้เจ้าขอทานน่าจะไม่รอดแล้ว ถ้าเป็นอย่างนี้พวกเราถือโอกาสช่วยเขาขุดหลุมฝังเลยเถอะ”
“ใช่แล้ว ภายหน้าพวกเรายังต้องพักที่อารามเทพภูเขา อย่าปล่อยให้มีร่างไร้วิญญาณอยู่ที่นี่เลย”
พวกเจ้าแม่ง!
รู้อยู่ว่าพวกเขาหวังดี แต่จี้หยวนฟังแล้วเส้นเลือดปูดอย่างบอกไม่ถูก
เมื่อกลุ่มคนก่อนหน้านี้จากไปประมาณสิบกว่านาที
โฮก…
เสียงคำรามน่ากลัวหนึ่งพลันดังมาแต่ไกล ทุกคนในอารามเทพภูเขาตกใจจนตัวสั่นตามจิตใต้สำนึก
กรุกกรู๊…
พึ่บพั่บๆๆๆ…
ต้นไม้บนเขาโดยรอบมีนกนับไม่ถ้วนถูกทำให้ตกใจจนแตกฮือ รอบอารามเทพภูเขามีเสียงนกร้องเตลิด
ขณะเดียวกันลมเย็นลอดผ่านประตูอาราม พัดกองไฟในอารามจนส่ายสั่นไม่หยุด
“หัวหน้าจาง!”
“ซื่อหลิน! เสียงอะไร”
“สัตว์ป่าหรือ”
จางซื่อหลินหน้าซีดเผือดอยู่บ้าง มองรัตติกาลนอกอารามแล้วตัวหดตามสัญชาตญาณ
“พยัคฆ์คำรามสะเทือนป่าเขา… เป็นเสือแน่!”
เฮือก…
เสียงสูดหายใจพลันดังขึ้นโดยรอบ
“พวกเสี่ยวตงกับพี่จินเล่า!?”
ไม่มีใครกล้าพูดต่อ
จางซื่อหลินกำหมัดมองนอกอาราม
“เสียงเสืออยู่ไกลมาก พวกเสี่ยวตง… คงไม่เป็นไร ใช่ พวกเขานำคบเพลิงไปด้วย ทุกคนเตรียมตัวเผื่อไว้ คืนนี้ห้ามนอนแล้ว!”
เสียงเสือคำรามนี้ทำให้จี้หยวนตกใจจนตัวสั่นเช่นกัน
แต่หลังจากตัวสั่น จี้หยวนถึงพบว่าตนขยับตัวได้แล้ว!
เวลานี้มือขวาของเขาเริ่มกำได้ แม้ว่าไม่ค่อยคล่องแต่กลับควบคุมได้ตามใจ เขาไม่ได้บุ่มบ่ามลุกขึ้นมา แต่สังเกตความรู้สึกซึ่งได้มาอย่างยากลำบากนี้โดยละเอียด
ต่อจากนั้นจี้หยวนลืมตาขึ้นช้าๆ ถ้าเขาเห็นดวงตาของตัวเองจะพบว่าตอนนี้สีนัยน์ตาตนค่อนข้างจาง เป็นสีเทาอ่อนโปร่งแสง
รู้สึกว่าเส้นแสงริบหรี่อยู่บ้าง มืดสลัวจนยากเห็นชัดเจน หากว่าไม่เห็นอะไรเลย จี้หยวนคงคิดว่าตอนนี้ตนเป็นคนตาบอดแล้ว
เขาขยับศีรษะเล็กน้อย มองไปทางกองไฟ ในใจสะดุดกึก
ในสายตาตนกองไฟดูเลือนรางนัก แสงไฟเหมือนคั่นด้วยฝ้าชั้นหนึ่ง เส้นแสงที่ลอดผ่านนัยน์ตามีจำกัด
การมองเห็นของตนคงไม่ได้มีข้อบกพร่องธรรมดากระมัง…
‘อย่างน้อยก็ไม่บอดสนิท…’
จี้หยวนจำต้องปลอบตัวเองเช่นนี้ในใจ
แต่แค่ลืมตาครู่หนึ่ง ดวงตาก็ปวดอยู่บ้าง ไม่ถือว่ายากจะรับ แต่กลับไม่สบายยิ่ง
“หัวหน้าจาง ขอทานนั่นตื่นแล้ว!”
แม้ตอนนี้พ่อค้าเร่ที่เหลือล้วนประหม่ายิ่ง แต่ยังมีคนเห็นความผิดปกติของจี้หยวน เสียงนี้ดึงดูดทุกคนจนมองไปทางขอทานคนนั้น เห็นเขาขยับอยู่ดังคาด ทั้งหันมองมาทางนี้ด้วย
ทว่าตอนนี้แม้แต่จางซื่อหลินก็ไม่มีเวลามาสนใจขอทานซึ่งไม่ใช่ญาติไม่ใช่มิตรคนนี้แล้วเช่นเดียวกัน ทุกคนล้วนหาพวกมีดพร้ากระบองสั้นออกมาจากตะกร้าไผ่แล้วกุมไว้ในมือแน่น ทั้งยังจับตามองทางประตูอารามด้วยสีหน้าตึงเครียด
ยามนี้จี้หยวนไม่มีเวลาคิดเล็กคิดน้อยเรื่องการมองเห็นของตนแล้ว ตอนนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือชีวิตของตน เขาลองนั่งขึ้นมา แต่ต้องใช้สองแขนค้ำจึงยันตัวได้ครึ่งหนึ่ง ทว่ารู้สึกมึนงงและไร้กำลังอย่างรุนแรง
จี้หยวนล้มลงทั้งศีรษะส่วนหลังโขกพื้นดังป้าบ
“ซี้ด… โอ๊ย…”
คราวนี้แหละเจ็บนักเชียว ทำเอาจี้หยวนอดแยกเขี้ยวไม่ได้
เขาพบว่าแม้ตนขยับได้ แต่เหมือนเพิ่งฟื้นจากการป่วยหนัก ออกแรงไม่ได้ พวกพ่อค้าเร่ไม่มีใครสนใจตน
จี้หยวนไม่เอ่ยปากขอความช่วยเหลือจากพวกเขา เขาใช้มือขวาจับฐานของรูปปั้นที่อยู่ด้านข้าง ยากลำบากนักกว่าจะนั่งขึ้นมาได้