เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 85 เห็นข้าเป็นคนตายหรือ
ตอนที่ 85 เห็นข้าเป็นคนตายหรือ
หลังจากจี้หยวนนั่งลงข้างกองไฟ ระหว่างสนทนากันก็แนะนำตัวเองเล็กน้อย บอกชื่อแซ่และบ้านเกิดเมืองนอนเรียบร้อย
จี้หยวนไม่กล้าบอกว่าตลอดทางมานี้ตัวเองวิ่งอบ่างบ้าคลั่ง อ้างว่าแยกทางกับกลุ่มพ่อค้าที่เดินทางมาด้วยกันเพราะมีจุดหมายแตกต่างกัน และตัวเขาเองก็หลงทางโดยไม่ทันระวัง
วิชาบังตาทำให้ดวงตาของจี้หยวนดูเหมือนค่อนข้างเป็นปกติ ไม่อย่างนั้นตัวเองที่ตาบอดกึ่งหนึ่งวิ่งท่ามกลางป่าเขามาไกลขนาดนี้คงน่ากลัวน่าดู
พวกนักล่าสัตว์ไม่ค่อยสนใจว่าเหตุใดจี้หยวนถึงหลงทาง แต่ไถ่ถามสถานการณ์ที่จังหวัดชุนฮุ่ยแทน
“ท่านเคยนั่งเรือประดับหอของจังหวัดชุนฮุ่ยหรือไม่ พวกข้าไปมาสองครั้งแล้วก็ยังไม่เคยนั่ง วสันต์พันวันที่ร้านสวนดอกไม้นั่นอีก ได้ยินมาว่าเป็นสูตรหมักสุราของฮ่องเต้ รสชาติดีเหมือนกับสุราจากแดนเซียนทีเดียว!”
“ใช่ๆ ท่านดุภาพและมีมารยาทเช่นนี้ จะต้องเคยนั่งเรือประดับหอและเคยดื่มวสันต์พันวันกระมัง”
จี้หยวนฟังแล้วหัวเราะออกมา
“เกรงว่าทุกท่านจะเข้าใจผิดแล้ว ฮ่องเต้จะหมักสุราด้วยตัวเองได้อย่างไร เพียงแต่เพราะปีนั้นสุรานี้ได้อยู่ในพิธีมงคลสมรสของพระองค์ จึงพระราชทานชื่อสุราและป้ายที่ระลึกให้”
“เป็นเช่นนี้นี่เอง!”
“ก็จริงนะ ฮ่องเต้ที่ไหนจะหมักสุราให้คนอื่นดื่มกัน!”
จี้หยวนรอพวกเขาพูดจบจึงค่อยพูดต่อ
“เรือประดับหอนี้ข้าคนแซ่จี้ไม่เคยนั่ง แต่กลับเคยลิ้มรสวสันต์พันวัน รสชาติของมันสมชื่ออย่างแท้จริง ชุ่มฉ่ำราวกับฤดูใบไม้ผลิวนเวียนระหว่างลิ้น”
ไม่ใช่ว่าเขาไม่คิดแบ่งสุราที่เหลืออยู่ครึ่งกาให้ทั้งสี่คนชิม แต่กลางป่าเขาแบบนี้ คนแปลกหน้าแบ่งสุราให้คนอื่น ในฐานะที่เป็นนักล่าสัตว์ผู้มีความระแวดระวัง ไม่ว่าดื่มหรือไม่ดื่มก็ไม่ดีทั้งนั้น กว่าจะเข้ากันได้ไม่ใช่เรื่องง่าย อย่าทำให้อีกฝ่ายอึดอัดใจจะดีกว่า
หลายคนแบ่งบันความปรารถนาที่มีต่อวสันต์พันวันและความรุ่งเรืองของจังหวัดชุนฮุ่ย และพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ปัจจุบันของจังหวัดชุนฮุ่ยเล็กน้อย
ในฐานที่เป็นนักล่าสัตว์ในหมู่บ้าน ต่อให้มีสินค้าส่วนมาก็ไปขายในอำเภอ มีแต่สินค้าชั้นดีจำนวนมากจริงๆ ถึงจะไปที่จังหวัดสักครั้งหรือสองครั้ง
สนทนากันไปเรื่อยๆ เนื้อไก่และเนื้อกระต่ายก็สุกดี นักล่าสัตว์คนหนึ่งหยิบมีดเล็กตัดขากระต่ายยื่นให้จี้หยวน หลังจากเริ่มกินแล้ว บรรยากาศของทั้งสองฝ่ายก็ยิ่งกลมเกลียวขึ้นไม่น้อย
ตอนนี้จี้หยวนถือโอกาสสอบถามเรื่องราวของชายหนุ่มที่ชื่อฟางฉิว ผู้ที่เอ่ยปากรั้งเขาไว้คนนั้น
“น้องฟาง ข้าว่าใต้ตาเจ้าบวมและออกสีดำ ช่วงนี้ไม่ได้พักผ่อนให้เพียงพอใช่หรือไม่”
ความจริงแล้วพวกนักล่าสัตว์เหนื่อยล้าอยู่บ้าง นอนกลางป่าไหนเลยจะหลับสบายได้ จี้หยวนก็แค่ถือโอกาสแสดงความเห็นเท่านั้น
“เฮ้อ ท่านพูดถูกต้องแล้ว ช่วงนี้รู้สึกว่านอนไม่ค่อยหลับ หลับทีไรก็ฝันร้ายตลอด เป็นแบบนี้มาเกือบเดือนกว่าแล้ว แม่ข้ากังวลว่าข้าจะไปยุ่งเกี่ยวกับของสกปรกเข้า จึงไปขอสร้อยประคำมาจากวัด ปรากฏว่าข้าทำหายเสียอย่างนั้น”
“เขาต้องไม่มีภรรยาแน่!”
มีนักล่าสัตว์หยอกเย้า
“ไปๆๆ เจ้ามีภรรยาแล้วอย่างไร”
“ก็ไม่อย่างไรหรอก ฮ่าๆๆ!”
นักล่าสัตว์หลายคนอารมณ์ดีมาก ระหว่างหัวเราะก็หยอกล้อกันไปด้วย ชายที่เย้าฟางฉิวเมื่อครู่บอกว่าจะช่วยเขาหาภรรยาด้วย
ตอนนี้จี้หยวนถึงรู้ว่าชายที่ชื่อฟางฉิวผู้นี้เพิ่งอายุยี่สิบปีต้นๆ แต่กลับดูเหมือนอายุสามสิบปีอย่างไรอย่างนั้น
“บอกคนแซ่จี้ได้หรือไม่ว่าเห็นอะไรในฝันร้าย แม้คนแซ่จี้จะไม่แตกฉานในการแก้ฝันร้าย แต่กลับสนใจมันมากมาโดยตลอด”
จี้หยวนรอพวกเขาเถียงกันเสร็จแล้วค่อยถามเรื่องของฟางฉิวต่อ ฝ่ายหลังไม่คิดจริงจังเท่าไร
“ฝันร้ายก็เหมือนๆ กันนั่นแหละ ถ้าไม่ใช่อสูรกายก็เป็นผี ข้าตกใจตื่นขึ้นมาพบว่าเหงื่อเย็นๆ แตกทั้งตัว แม้แต่ตอนกลางวันก็เป็นแบบนั้น”
“อ้อ เป็นแบบนี้นี่เอง…สิ่งที่อยู่ในความฝันในแต่ละครั้งไม่เหมือนกันหรือ”
เมื่อได้ยินจี้หยวนถามแบบนี้ ฟางฉิวก็หวนรำลึกอย่างละเอียดครั้งหนึ่ง
“ส่วนใหญ่ข้าลืมแล้ว แต่คล้ายกับมีบ้างครั้งที่เห็นดวงตาสีเขียวเต็มไปด้วยเส้นเลือดคู่หนึ่ง…”
จี้หยวนมุ่นคิ้วแล้ว สังเกตว่าตอนฟางฉิวพูดถึงเรื่องนี้ บนแขนที่อยู่นอกเสื้อเกิดขนลุกขึ้นมา
“น้องฟางเคยไปสักการะศาลหลักเมืองหรือไม่”
“ศาลหลักเมือง? อำเภอชิงสุ่ยของพวกข้าเล็กมาก ไม่มีศาลหลักเมือง มีเพียงศาลเจ้าที่และวัดภูผาหมอบ ข้าเคยไปสักการะพระวิทยาราชที่วัดภูผาหมอบแล้ว”
ไม่มีศาลหลักเมือง!
หัวคิ้วของจี้หยวนขมวดเข้าหากันอีก อำเภอเล็กหลายอำเภอไม่มีศาลหลักเมืองจริงๆ เหตุผลส่วนใหญ่เป็นเพราะไม่มีบุคคลที่ยิ่งใหญ่จนทำให้จดจำได้ ไม่มีการฝังสมาชิกในราชวงศ์ และในหมู่บ้านไม่มีใครเป็นหัวหอกทำหน้าที่เป็นผู้อาวุโสอันเป็นรากฐานในการสร้างศาลหลักเมือง
ขอบเขตศาลมืดของเทพหลักเมืองน้อยมาก อำเภอที่ไม่มีเทพหลักเมืองแบบนี้ส่วนใหญ่มีเทพหลักเมืองจังหวัดจัดการดูแล เดิมทีจังหวัดก็มีประชากรหนาแน่น มีธุระให้จัดการมากมาย และเป็นไปได้ว่าอำเภอเล็กๆ ก็ครองพื้นที่ครึ่งหนึ่งของจังหวัด ลาดตระเวนหลายวันได้รอบหนึ่งถือว่าดีแล้ว ต้องใช้พลังในการดูแลอย่างไรแค่คิดก็รู้แล้ว
ส่วนวัดพระที่ว่าความจริงยิ่งน่าเป็นห่วง ไม่ใช่ว่าพุทธองค์ไร้พลัง แต่วัดที่มีพุทธองค์สถิตอยู่จริงช่างน้อยนัก
โลกนี้ไม่มีสวรรค์หรือเทพลี้ลับ และไม่มีพระพุทธเจ้า พระพุทธรูปในวัดส่วนใหญ่เหมือนเป็นรูปปั้นของพระวิทยาราชที่สืบทอดกันกว้างขวางมาก และเป็นผลิตผลที่คล้ายกับมรรคเทพ เผชิญปัญหาแบบเดียวกันได้เหมือนมรรคเทพทั่วไป แม้กระทั่งร้ายแรงยิ่งกว่า เพราะวัดไม่มีขอบเขต กระจายอยู่ทั่วทุกสารทิศ พระวิทยาราชต่อให้มีอวตารมากมายเท่าไหร่ก็ไม่พอ
คุยกันนมนานก็ไม่ได้ข้อสรุปอะไร จี้หยวนทำได้แค่ปล่อยวางเรื่องนี้ไปก่อน
จนกระทั่งม่านราตรีโรยตัวจนถึงกลางดึกสงัด จี้หยวนที่นอนอยู่ข้างกองไฟลืมตา มองนักล่าสัตว์เฝ้ายามกลางคืนที่กำลังสัปหงก แล้วมองฟางฉิวที่เหงื่อแตกเต็มหน้าอยู่ข้างๆ ก่อนจะยื่นมือไปโคจรวิชารวมปราณวิญญาณแล้วกดลงเบาๆ บนหน้าผากของฟางฉิว ไม่นานนักสีหน้าของฝ่ายหลังก็ราบเรียบเป็นปกติ
‘น่าเสียดายที่เราเข้าฝันไม่ได้’
…
วันรุ่งขึ้น จี้หยวนตามนักล่าสัตว์ไปตรวจสอบกับดักหลายที่ แม้จะจับกวางแม่น้ำได้ตัวเดียว แต่ก็ยังดีกว่าไม่ได้อะไรเลย
เมื่อเก็บข้าวของทุกอย่างเรียบร้อย หลายคนถึงนำจี้หยวนเดินมุ่งหน้ากลับบ้าน ตอนใกล้เที่ยงวันก็มองเห็นทางแยกตรงหมู่บ้านพวกเขาแล้ว
กล่าวอย่างจริงจังหมู่บ้านนี้ยังคงอยู่กลางภูเขา มองไปไกลๆ เห็นแค่เส้นทางเชื่อมไปข้างนอกเท่านั้น รอบข้างไม่เหมือนว่ามีที่นา ไม่รู้เหมือนกันว่าชาวบ้านเป็นนักล่าสัตว์กันหมด หรือว่าที่นาอยู่อีกด้านหนึ่งกันแน่
หลายคนยืนนิ่งอยู่ตรงทางแยก ฟางฉิวบอกทางให้จี้หยวนคร่าวๆ อย่างไรเสียก่อนหน้านี้จี้หยวนก็รีบร้อนไปอำเภอชิงสุ่ย
“ท่านจี้ เดินตามทางนี้ไปทางตะวันออกห้าลี้ก็จะเห็นทางหลวง จากนั้นก็เดินตามทางหลวงไปทางใต้ ก่อนฟ้ามืดต้องเห็นอำเภอชิงสุ่ยแน่นอน”
“อืม ขอบคุณทุกท่านที่ดูแล แต่ข้าคนแซ่จี้อยากเข้าไปซื้อข้าวกลางวันจากชาวบ้านสักมื้อ ไม่ทราบว่าสะดวกหรือไม่”
ตอนนี้จี้หยวนย่อมไม่มีทางจากไปแบบนี้
“ไหนเลยจะไม่สะดวก ไปกินข้าวที่บ้านข้าแล้วกัน!”
“จริงด้วย ท่านจี้จะไปที่บ้านข้าก็ได้นะ!”
“รบกวนอะไรกัน เดินทางมาด้วยกันนะ เนื้อกวางแม่น้ำตัวเหมาะสมพอดีไม่ใช่หรือ!”
“ไปๆๆ เช่นนั้นพวกเรารีบกลับไปเถอะ!”
“เอาล่ะ เช่นนั้นข้าคนแซ่จี้ขอรบกวนแล้ว!”
“ไม่ต้องเกรงใจ นานๆ ทีจะเจอคนมีมารยาท มีความรู้นะเนี่ย!”
นักล่าสัตว์หลายคนกระตือรือร้นมาก นำทางจี้หยวนเข้าหมู่บ้านไป
เมื่อเข้าหมู่บ้านไปแล้ว จี้หยวนพยายามสังเกตโดยรอบ
ขนาดของหมู่บ้านนี้ใหญ่กว่าที่จี้หยวนจินตนาการไว้ หลายมุมล้วนมีบ้านคนกระจายอยู่ ได้ยินมาว่ามีประชากรอยู่สองร้อยกว่าครัวเรือน
อาจจะเป็นเพราะขอบเขตกว้างและกระจายกันเกินไปจึงไม่ได้มีการล้อมกำแพงหมู่บ้าน แต่ทุกครอบครัวมีรั้วหรือกำแพงดิน ทั้งสี่คนล่าสัตว์กลับมาก็มีหลายคนออกมาดูความคึกคัก สอบถามได้ความว่าจี้หยวนเป็นปัญญาชนแล้ว ต่างก็ทักทายเขาด้วยไมตรีจิต
มื้อกลางวันเป็นครอบครัวของนักล่าสัตว์นามติงซิงตระเตรียม ความคึกคักลากยาวไปจนถึงตอนบ่าย พอตกเย็นก็กลายเป็นงานเลี้ยง ทั้งสี่คนกินอาหารอยู่ในลานบ้านของนักล่าสัตว์คนนั้น อาหารจานหลักก็คือเนื้อกวางแม่น้ำ
ภายใต้บรรยากาศสนุกสนาน จี้หยวนนำวสันต์พันวันเก่าที่ซ่อนไว้อย่างดีออกมา ทุกคนดื่มกันคนละถ้วยจนหมดไปมากกว่าครึ่ง กระทั่งดื่มหมดแล้วถึงเสียดาย จากนั้นก็ดื่มสุราท้องถิ่นของหมู่บ้าน หลายคนที่ได้ดื่มวสันต์พันวันแล้วรู้สึกมีหน้ามีตาขึ้นเป็นเท่าตัว หลังจากนี้มีเรื่องให้คุยโม้มากขึ้นแล้ว
ตอนที่ทุกคนกินอิ่มดื่มพอและแยกย้ายกันไป ท้องฟ้าเริ่มมืดลงแล้ว หลายคนเชิญให้จี้หยวนพักแรมชั่วคราว ฝ่ายจี้หยวนเองย่อมไปบ้านฟางฉิวที่แม่ลูกพึ่งพาอาศัยกันเพียงสองคน
จี้หยวนตามสองแม่ลูกเดินอยู่บนทางเดินมืดๆ ในหมู่บ้าน รั้งท้ายสังเกตพวกเขาอย่างละเอียด แสงสีแดงนอกไฟชีวิตของฟางฉิวกลบปราณสีดำชั้นหนึ่งแล้ว แม้ไฟชีวิตของผู้เป็นแม่จะอ่อนกำลังอยู่บ้าง แต่กลับไม่ได้มีกลิ่นอายของหายนะอะไร
เมี๊ยว…
เสียงแมวร้องแหลมเสียงหนึ่งดังขึ้นข้างๆ จี้หยวนหันไปมอง หลังคาเรือนตรงนั้นมีแมวดำนอนอยู่ตัวหนึ่ง ไม่มีปราณปีศาจ เป็นแค่สัตว์ทั่วๆ ไป
ตระกูลฟางเป็นแค่ครอบครัวธรรมดาๆ ในหมู่บ้าน เทียบกับครอบครัวอื่นไม่นับว่าโทรม มีเรือนหลักสองห้อง เรือนข้างหนึ่งห้องและห้องเก็บฟืน ส่วนจี้หยวนพักอยู่ที่เรือนข้าง
กลางดึกสงัด
เมี๊ยว…
เมี๊ยว…
เมี๊ยว…
…
เสียงแมวร้องดังอยู่เรื่อยๆ จี้หยวนที่เดิมทีหลับสนิทมากพลันลืมตา ลุกขึ้นนั่งแล้วมองผ่านหน้าต่างที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่งไปทางเรือนหลัก
บนหลังคาเรือนมีแมวป่า แมวบ้านนั่งอยู่อย่างน้อยสิบกว่าตัว ล้วนเป็นสัตว์ทั่วไปแท้ๆ แต่จี้หยวนมองแล้วรู้สึกขนลุกอยู่บ้าง เขากลั้นความเจ็บปวดและลืมตาขึ้นเจ็ดส่วน มองเห็นภายในหน้าต่างของเรือนที่ฟางฉิวพักอยู่ไม่รู้ว่าตลบอบอวลไปด้วยสีเขียวขมุกขมัวตั้งแต่เมื่อไหร่
‘นั่นมันบ้าอะไรวะ!’
จี้หยวนค่อยๆ ลุกขึ้นนั่ง เหยียดนิ้วกลางออกแตะน้ำมันตะเกียงหยดหนึ่งจากตะเกียงน้ำมันในห้อง จากนั้นเติมพลังสู่น้ำมันที่ปลายนิ้ว แล้วค่อยงอนิ้วกลางติดกับนิ้วโป้ง ก่อนจะดีดไปทางเรือนหลักตระกูลฟางครั้งหนึ่ง
หวือ…
หยดน้ำมันลอยเข้าไปในเรือนหลักอย่างไร้เสียง แล้วเข้าไปในตะเกียงน้ำมันกลางเรือน
บูม…
น้ำมันตะเกียงอย่างน้อยยี่สิบหยดซึ่งกระเด็นออกจากตะเกียงน้ำมันพลันหายไปด้วยการเคลื่อนไหวอันเชื่องช้าแปลกประหลาด จากนั้นค่อนลอยไปรอบๆ เรือน
เมื่อเห็นว่าการผสมผสานระหว่างวิชายุทธ์และวิชาคุมวารีได้ผล จี้หยวนหรี่ตาลง เปิดตะบันไฟและเป่าลมเบาๆ สะเก็ดไฟเล็กจ้อยสว่างขึ้นพร้อมกันอยู่ในแขนเสื้อ
ตอนที่มือซ้ายของจี้หยวนยื่นออกมาจากแขนเสื้ออีกครั้ง บนมือคลำขี้เถ้าสีดำที่เกิดจากสะเก็ดไฟ เพียงแต่วิชาบังตาทำให้มองไม่เห็นสีไฟแล้ว
ใช้สี่วิชานี้เป็น ย่อมทำให้ขั้นตอนทั้งหมดดูน่าอัศจรรย์
“ฟู่…”
พอเป่าเบาๆ ครั้งหนึ่ง เถ้าถ่านหินสีดำกำมือหนึ่งซ่อนประกายไฟลอยออกมาจากเรือนข้าง กระจายตัวสู่เรือนหลักตระกูลฟางหลังจากสามลมหายใจให้หลัง
จี้หยวนหรี่ตา ไฟในเตาโอสถเขตแดนพลันลุกโชน สีขาวเทาในดวงตาทั้งสองข้างคล้ายเกิดประกายไฟในวินาทีนี้
พรึ่บ…
เรือนหลักตระกูลฟางลุกเป็นไฟในทันที
“อ๊าก…”
เสียงกรีดร้องแหลมชวนขนหัวลุกดังขึ้น ไอสีเขียวเข้มพัวพันกับแสงไฟไหลออกทางหน้าต่างและหนีไปแล้ว
“เฮอะ! ดูถูกกันเกินไปแล้ว เห็นข้าคนแซ่จี้เป็นคนตายหรือไร”