เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 87 ใหญ่โตมโหฬาร
ตอนที่ 87 ใหญ่โตมโหฬาร
ขณะเดินอยู่บนทางหลวงของอำเภอชิงสุ่ย จี้หยวนกลับไม่มีความคิดไปเมืองชิงสุ่ย
เขาสอบถามเส้นทางที่หมู่บ้านหว่าซานแล้ว ในห่อผ้าสีเทาที่ขยายขึ้นกว่าเดิมเป็นสองเท่ายิ่งมีขนมเปี๊ยะหลายชิ้นและขากระต่ายหมักซีอิ๊วที่ติงซิงมอบให้ สำหรับจี้หยวนนั้นไม่มีความจำเป็นต้องไปอำเภอชิงสุ่ยแล้ว จึงเร่งเดินทางบนทางหลวงเพียงอย่างเดียว
จำต้องบอกว่าแม้จี้หยวนมีความคิดลดความยุ่งยากจริงๆ แต่ความเป็นจริงเส้นทางที่ติงซิงตามมาแต่แรกเริ่มก็ผิดแล้ว ดังนั้นต่อมาติงซิงที่ไม่เชื่อเรื่องลี้ลับวิ่งไปจนถึงอำเภอชิงสุ่ยแล้วก็ยังคงไม่เจอเงาร่างของจี้หยวน
…
ภายในสำนักศึกษาหนิงอัน พวกเด็กๆ กำลังท่องบทประพันธ์ในตำรา
“มองปัจจุบันเรียนรู้จากอดีต เรียนและฟังให้มาก เรียนแล้วต้องหมั่นฝึกฝน ยืนหยัดแน่วแน่…สุภาพบุรุษยืนตรงสง่างาม พูดด้วยจิตใจเมตตา…”
เด็กกลุ่มนี้มีทั้งเด็กโตและเด็กเล็ก เด็กที่สุดยังอายุไม่ถึงสิบปีเต็ม ส่วนโตที่สุดกลับมีอายุสิบสี่สิบห้าปีแล้ว สง่าเหมือนกับผู้ใหญ่คนหนึ่ง แต่ละคนต่างก็แกว่งศีรษะท่องบนเรียนกันอย่างตั้งใจ
“ข้อสอบในวันนี้แตกต่างจากครั้งก่อนๆ ข้าจะเปลี่ยนหัวข้อ…”
การสอบครั้งนี้ไม่ใช่ความคิดชั่ววูบ ความคิดแรกเริ่มมาจากการสนทนากับจี้หยวนที่เรือนสันติในวันหนึ่ง หัวข้อที่ถกกันคือ ‘บทฝึกความดีงาม’ เล่มหนึ่งที่อิ๋นจ้าวเซียนนำมา อันเป็นตำราที่สอนให้ผู้คนเกรงกลัวขุนนาง รู้กฎหมาย และปฏิบัติตามกฎหมาย
ทิศทางของตำรานี้ถูกต้อง แต่เนื้อหาเกี่ยวกับการรู้กฎหมายสุดท้ายแล้วกลับด้อยกว่าเนื้อหาเกี่ยวกับการเกรงกลัวขุนนาง ในท้ายที่สุดแนวคิดหลักของการประจบสอพลอคนรวยและผู้มีอำนาจก็แจ่มแจ้งแดงแจ๋อยู่บ้าง
ตอนนั้นจี้หยวนสนิทสนมกับอิ๋นจ้าวเซียนแล้ว รู้จักนิสัยของอีกฝ่ายเช่นกัน จึงวางใจถามอาจารย์อิ๋นด้วยน้ำเสียงเย้ยหยันว่าคิดอย่างไรกับตำราเล่มนี้ ถามเขาว่าเหตุใดตำราแบบนี้ถึงเป็นหนึ่งใน ‘ตำราหกเล่มที่ต้องเรียน’ ต่อให้ไม่เปลี่ยน เหตุใดไม่มีใครแก้ไข ไม่คิดหรือว่าไม่กล้ากันแน่
อิ๋นจ้าวเซียนในขณะนั้นไม่เพียงชะงักไป ยังดึงความรู้สึกอึดอัดใจที่มีต่อตำราเล่มนี้เมื่อก่อนหน้านี้ออกมาอย่างชัดเจน ทำให้อาจารย์อิ๋นคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับความละเอียดอ่อนระหว่างชนชั้นขุนนางและประชาชนจากมุมมองของคนทั่วไปเป็นครั้งแรก และหารือเรื่องนี้กับจี้หยวนผู้ ‘ผิดครรลองคลองธรรม’ อยู่นานค่อนวัน
เมื่อหวนคิดถึงเรื่องพวกนี้ อาจารย์อิ๋นยิ้มพลางมองพวกเด็กๆ ที่จี้หยวนเรียกว่าเป็น ‘เมล็ดพันธุ์ของประเทศชาติ’ อีกครั้ง
“ข้าได้ยินว่ามีต้นอู๋ถงที่ทะเลตะวันออก ยืนต้นอยู่กลางทะเลสามหมื่นฉื่อ อีกทั้งเป็นที่อยู่ของหงส์ ขอบเขตของทะเลมีเกาะมากมาย หงส์ทั้งหมดอาศัยอยู่ที่นั่น ไกลออกไปมีภูเขาทักษิณ บนภูเขาทักษิณมีนกกระสา ซึ่งเป็นราชาของหมู่นกบนภูเขาทักษิณ…”
อิ๋นจ้าวเซียนเปิดเรื่องแบบนี้ทำให้เด็กๆ มองหน้ากันไม่น้อย มีความรู้สึกตื่นเต้นเหมือนได้ฟังตำนานมหัศจรรย์
“หงส์หาตัวจับยากและชอบท่องเที่ยว นกกระสาเข้ามาเป็นราชาของหมู่นกแทน กินปลาและกุ้ง รวมถึงผลไม้ทั้งหมด ดูถูกฝูงนกมาเป็นเวลานาน ถือตัวว่าเป็นหงส์ตัวน้อย เพลิดเพลินกับเหยียบรังจิกขนนกอื่น…”
เมื่ออิ๋นจ้าวเซียนใช้วิธีเล่าเรื่องมหัศจรรย์บรรยายหัวข้อของตัวเอง พวกเด็กๆ ก็ตั้งใจฟังกันมากกว่าเดิม
ทันทีที่อิ๋นจ้าวเซียนเล่าเรื่องทั้งหมดจบแล้ว เขามองเด็กๆ ด้วยรอยยิ้ม
“พวกเจ้าคิดว่าฝูงนกกระสาและฝูงนกอยู่ร่วมกันได้หรือไม่ หากแทนตัวเองเป็นนกกระสาจะแก้ไขปัญหาอย่างไร”
ต้องรู้ว่าก่อนหน้านี้ตอนอิ๋นจ้าวเซียนถามคำถาม ก็เพียงถามตามปกติว่ามีใครอยากตอบหรือไม่ แต่ไม่เคยมีเด็กคนไหนยินยอม อิ๋นชิงก็เช่นเดียวกัน
ตอนนี้ถึงจะยังคงมีคนกล้าเอ่ยปากตามตรงไม่เท่าไร ทว่านี่เป็นเพียงพฤติกรรมตามความเคยชิน อิ๋นจ้าวเซียนรู้สึกได้ถึงความกระตือรือร้นที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ผ่านการแสดงออกทางสายตาและความผ่อนคลายของเด็กๆ
“เอาล่ะ อิ๋นชิง เจ้ามาตอบก่อน!”
“ขอรับอาจารย์!”
อิ๋นชิงลุกขึ้นยืน ตอบตามวิจารณญาณของตัวเอง แสดงความเห็นอกเห็นใจต่อหมู่นก และตำหนินกกระสา
จากนั้นอิ๋นจ้าวเซียนเรียกนักเรียนที่มีความสามารถในการแสดงออกอีกหลายคน เพราะนักเรียนที่ตอบคำถามก่อนหน้านี้ไม่ว่ามีความคิดเห็นอย่างไรล้วนไม่ถูกติเตียน ทุกคนจึงลุกขึ้นตอบคำถามอย่างมั่นใจ
การถกประเด็นผ่านไปค่อนวัน ฝ่ายอิ๋นจ้าวเซียนพอใจกับบรรยากาศห้องเรียนมาก
‘การเรียนให้สนุกที่ท่านจี้ว่า ใช้ได้ผลจริงๆ ด้วย!’
พอทุกคนตอบคำถามได้ประมาณหนึ่งแล้ว อิ๋นจ้าวเซียนกลับไปนั่งที่หน้าโต๊ะอาจารย์ กล่าวกับนักเรียนหลายสิบคนตรงหน้า
“หวังว่าทุกคนจะเขียนคำตอบในวันนี้ลงไปทั้งหมด หากไม่แน่ใจคำศัพท์หรือมีตัวอักษรที่ไม่รู้จัก ก็ให้ถามคนข้างๆ หรือมาถามข้าได้โดยตรง ข้าจะใช้สิ่งนี้เป็นบทวิจารณ์บทประพันธ์”
เด็กๆ ที่เดิมทีตื่นเต้นมากได้ยินคำว่า ‘บทวิจารณ์บทประพันธ์’ ก็พลันเป็นกังวลขึ้นมาในทันที อิ๋นจ้าวเซียนเห็นดังนั้นกลับยิ้มและส่ายหน้า ดวงตากลับตั้งใจและแน่วแน่กับตำราไม่น้อย
‘การให้ความรู้แก่ประชาชนก็เหมือนการทำคุณูปการแก่ประเทศ!’
เขาหยิบพู่กันมา เขียนตัวอักษรขนาดใหญ่เป็นการเปิดบทวิจารณ์บนกระดาษที่อยู่บนโต๊ะอย่างเป็นระเบียบ ‘วาทหมู่ปักษา คำตอบของเด็กๆ’
…
เวลาเดียวกันนั้น ศาลมืดหลักเมืองอำเภอหนิงอัน
ผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นบู๊สองคนของศาลมืดอำเภอหนิงอันที่ดูแลควบคุมนักโทษและบาปบุญคุณโทษกำลังอ่านวิจารณ์เรื่องราวในเล่มบทความ รวมถึงสถานการณ์ทั่วไปของแต่ละแผนก สิ่งที่ผู้ลาดตระเวนทิวาราตรีรายงานมา มีใครกำลังจะเสียชีวิตในอำเภอ เกิดการเปลี่ยนแปลงทางด้านจำนวนคนที่ต้องให้ความสนใจหรือไม่ มีความยากลำบากและข้อกำหนดใดบ้างในการทำงานระหว่างแผนกต่างๆ เหตุการณ์วุ่นวายอื่นๆ ล้วนต้องให้ผู้พิพากษาพลเรือนที่คอยดูแลทุกเรื่องราวช่วยเทพหลักเมืองแยกแยะก่อน
เมื่อตรวจเล่มบทความกองหนาเสร็จแล้ว ผู้พิพากษาพลเรือนสะบัดพู่กัน ตัวหนังสือในเล่มบทความส่วนใหญ่หายไป ทั้งหมดรวบรวมไว้บนหนังสือไม่กี่เล่ม
“ยกไปๆ ตั้งต่อไปด้วย!”
มีเรื่องเข้ามาให้จัดการไม่จบไม่สิ้น นิสัยของผู้พิพากษาฝ่ายบู๊ก็ค่อนข้างรีบร้อน เมื่อตะโกนขึ้นมาแล้วย่อมสร้างรอยยิ้มให้ผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นที่กำลังอ่านวิจารณ์อย่างละเอียดอยู่ข้างๆ
“ขอรับๆ ท่านผู้พิพากษาอย่าได้ร้อนใจไป กำลังมายกแล้วขอรับ!”
มือปราบผีที่อยู่ข้างๆ ก็ยุ่งมาก เก็บกวาดเล่มบทความแล้วยังต้องมีคนคอยจำแนกเล่มบทความไปยังแผนกต่างๆ อยู่ตลอด แล้วค่อยส่งไปให้เจ้ากรมั้งหลายอ่านวิจารณ์อีกครั้ง เวลาส่วนใหญ่ล้วนใช้ไปกับการเดินทาง
เล่มบทความพวกนี้ถูกลบตัวหนังสือไปบ้าง เหลือก็แต่ข้อความที่สำคัญ ยิ่งดีงามหรือชั่วช้าจะมีน้ำหนักมาก เมื่อยกแล้วเปลืองแรง นับว่าเป็นงานหนักอยู่เหมือนกัน
มือปราบผีสองคนรีบร้อนวิ่งไปถึงโถงรวมบันทึก ยังไม่ทันได้เข้าไปก็ชนกับมือปราบผีหลายคนที่เร่งฝีเท้าถลันออกมาแล้ว
“เกิดอะไรขึ้น พวกเจ้ารีบร้อนอะไรกัน”
“เกิดปัญหากับเล่มบทความ! เกิดเรื่องแปลก! ยกอย่างไรก็ยกไม่ได้! พวกข้าต้องไปหาใต้เท้าผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋น แล้วยังต้องไปหาใต้เท้าศาลมงคลสุขด้วย!”
มือปราบผีหลายคนเบี่ยงหลบกัน ก่อนจะเร่งฝีเท้าวิ่งไปยังกรมต่างๆ ทันที
หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ณ กรมคุณงามความดี เจ้ากรมทั้งหลายล้วนรวมตัวกันอยู่ที่นี่ บนโต๊ะของผู้พิพากษาฝ่ายบุ๋นวางไว้ด้วยบันทึกคุณงามความดีและบันทึกอายุขัยที่กำลังส่องแสงเลือนราง
เหนือเล่มหนังสือมีกลิ่นอายคลุมเครือเวียนวน แม้จะจางมาก แต่กลับลึกลับมหัศจรรย์ บางตัวอักษรบนนั้นเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ ส่วนมงคลสุขและคุณงามความดีขยายใหญ่ขึ้น
เจ้ากรมศาลมืดทุกคนล้วนมองชื่อของคนที่อยู่บนหน้ากระดาษ
“อาจารย์อิ๋น!”
…
จี้หยวนกำลังเดินอยู่บนถนนหลวงซึ่งอยู่ห่างออกไปทางใต้ของอำเภอชิงสุ่ยหนึ่งร้อยลี้พลันมีความรู้สึกบางอย่าง ก่อนจะเห็นหมากตัวหนึ่งปรากฏที่ปลายนิ้ว
ฉับพลันนั้นจี้หยวนเหมือนมองเห็นมือเรียวยาวคู่หนึ่งประคองกระดาษ ถือพู่กันผ่านตัวหมากลวง หนังสือบนกระดาษเซวี่ยนจื่อก็คือบทความ
ตอนนั้นเอง ปลายนิ้วจี้หยวนชาหนึบ พบว่าหน้าตาของหมากลวงตาเปลี่ยนเป็นแข็งและด้านขึ้นไม่น้อย
“อาจารย์อิ๋น!”