เซียนหมากข้ามมิติ - ตอนที่ 88 มหัศจรรย์ขนาดนั้นจริง
ตอนที่ 88 มหัศจรรย์ขนาดนั้นจริง
จี้หยวนมองซ้ายมองขวา เห็นว่าไม่มีตรงไหนไม่เหมาะสม จึงเร่งความเร็วไปข้างหน้าหลายก้าวในทันที จากนั้นกระโจนตัวขึ้น คล้ายกับผีเสื้อบินไปยังท้องฟ้าเหนือป่าทึบ แล้วค่อยตกลงบนต้นไม้อย่างแผ่วเบาราวกับใบไม้ร่วง
เขานั่งบนกิ่งไม้หนาของต้นไม้ใหญ่อย่างนั้น ระหว่างที่กำลังสงสัยก็ยื่นมือออกไปอีกครั้ง มองตัวหมากที่ปรากฏขึ้นเพราะอิ๋นจ้าวเซียนอย่างละเอียด
ตอนนี้จี้หยวนมีตัวหมากทั้งหมดสามตัว หมากดำกึ่งลวงกึ่งจริง หมากดำลวงทั้งตัว สุดท้ายเป็นหมากไร้สีของอิ๋นจ้าวเซียน แต่จู่ๆ กลับกลายเป็นแข็งด้านขึ้นบ้าง
โดยเฉพาะความรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อครู่นี้ จี้หยวนคล้ายรู้สึกได้ถึงความคิดของเพื่อนคนนี้ แม้จะไม่มีวิชาลึกลับหรือแสงเหนือจริงแต่อย่างใด แต่กลับมีอานุภาพซ่อนเร้นบางอย่าง
เรื่องนี้อาจจะเป็นการเข้าใจถึงความคิดสำหรับอิ๋นจ้าวเซียน กลับกันภายในศาลมืดหลักเมืออำเภอหนิงอันสะท้อนออกมาค่อนข้างตรงไปตรงมา ส่วนจี้หยวนกลับรู้สึกได้โดยตรงมากยิ่งกว่า
หากต้องการบรรยาย นั่นก็คือการกระตุ้นจิตวิญญาณซื่อตรงของปัญญาชนที่ได้รับการอบรมสั่งสอน
การเปลี่ยนสีของตัวหมากอาจจะเกี่ยวข้องกับจี้หยวนอยู่บ้าง แต่เปลี่ยนเป็นแข็งด้านจะต้องเป็นเพราะตัวอิ๋นจ้าวเซียนเอง โดยเฉพาะความรู้สึกเมื่อครู่นี้ยิ่งทำให้เขาแน่ใจในเรื่องนี้เข้าไปอีก
สำหรับความรู้สึกเกี่ยวกับตัวหมาก จี้หยวนมั่นใจและแน่ใจเล็กๆ แต่เรื่องพวกนี้เขาไม่มีความคิดลึกซึ้งในตอนนี้ จึงโปรยยิ้มให้ตัวหมากครั้งหนึ่ง
“มีเพื่อนเช่นนี้ ช่างโชคดียิ่งนัก!”
เมื่อพูดพึมพำกับตัวเองแล้ว จี้หยวนถึงค่อยพบกว่าน้ำเสียงของตนเองสุภาพถึงเพียงนั้น ความเคยชินกลายเป็นนิสัยอย่างแท้จริง
เพราะเกี่ยวข้องกับสหายอย่างอิ๋นจ้าวเซียน ในฐานะที่จี้หยวนเป็นคนมองหมากก็เข้าใจในความคิด เขาไม่ไปไหนแล้ว ฝึกปราณอยู่บนต้นไม้สูงสองจั้งนั่นแหละ
เคล็ดวิชาฝึกปราณบนโลกนี้แตกต่างกับในนิยายขายดีที่เคย่านเมื่อชาติก่อนพวกนั้นอย่างมาก
ความแตกต่างระกว่างเคล็ดวิชาฝึกปราณขั้นพื้นฐานที่ว่าและเคล็ดวิชาฝึกปราณอย่างลึกซึ้งก็คือการใช้ธาตุทั้งห้าเพื่อเปลี่ยนเป็นหยินหยาง รวมถึงการกลั่นกรองพลัง ไม่มีรายละเอียดว่าการฝึกเล็กมีกี่ระดับขั้น และการฝึกใหญ่มีกี่ระดับขั้น
การบรรลุระดับขั้นในการฝึกปราณฝึกเซียนที่แท้จริงเป็นสภาวะที่ลึกซึ้งเป็นอย่างยิ่งอย่างหนึ่ง แม้กระทั่งอธิบายเป็นคำพูดได้ยากมาก มีคนบรรลุระดับขั้นทะลวงไปข้างในได้ในทันที และมีคนที่แม้เวลาผ่านไปเนิ่นนานก็ยังคงไม่ก้าวหน้าไปไหน
ผู้ฝึกปราณบางคนเชื่อว่าควรใช้พละกำลังเพื่อเอาชนะความเฉลียวฉลาด และบางคนเชื่อว่าด่านเคาะใจสำคัญมาก แต่สิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำมากที่สุดคือการขัดเกลาพลังและทำให้จุดส่องสว่างซ้ำแล้วซ้ำเล่า พร้อมกันนั้นก็ฝึกฝนวิชาทุกแขนง
บางครั้งการบรรลุระดับขั้นก็เกิดขึ้นเอง บางครั้งกลับแปลกประหลาดอยู่บ้าง สำนักขึ้นชื่อหรือจวนเซียนทุกแห่งก็มีวิธีพูดและการกระทำที่เป็นมาตรฐานแตกต่างกัน
การฝึกปราณของพืช สัตว์ และภูตหรือปีศาจต่างๆ ยิ่งยากกว่า การสั่งสมมรรควิถีลำบากกว่าคนฝึกเซียนมาก ฝึกฝนกลายร่างเป็นมนุษย์ได้ก็เป็นบททดสอบที่ทารุณอย่างยิ่ง มักจะไม่สามารถพึ่งพาและพบกับความทุกข์ยากของการขัดเกลาจิตใจ รวมถึงร่างกาย หลายตนพึ่งพาการฝึกมรรควิถีอย่างดุเดือดเพื่อความอยู่รอด เมื่อเทียบกับมรรคเซียนแบบดั้งเดิมแล้ว บางแห่งคล้ายการฝึกวิชายุทธ์ของมนุษย์มากว่ายิ่งกว่า
และภูตหรือปีศาจยากกำจัดนิสัยก่อนเกิดสติปัญญา แม้ว่าส่วนมากจะมีความคิดบริสุทธิ์ แต่ก็ง่ายนักที่จะกลายเป็นความชั่วร้ายและมีความเลวทรามเกี่ยวพันตัวอย่างหาใดเปรียบ เพราะเมื่อปีศาจรู้สึกว่าอาศัยการเข่นฆ่าสิ่งอื่นเพื่อให้เกิดสติปัญญาได้ โดยเฉพาะเมื่อมีสติปัญญาและความสามารถช่วยให้บรรลุเป้าหมายได้มากมาย ถลำลึกขึ้นเรื่อยๆ เหมือนติดยา การฆ่าหรือกินไม่ใช่สัญชาตญาณของหมาป่ากินเนื้อ แกะกินหญ้าอีกต่อไป ทั้งทำร้ายคนอื่น ทั้งทำร้ายตัวเอง คนที่พบเจอมัน รวมถึงภูตอื่นๆ ต่างก็รังเกียจและหวาดกลัว
ตรงกันข้าม ระดับขั้นวิชายุทธ์ในโลกมนุษย์เหมือนกับที่จี้หยวนจำได้เมื่อชาติก่อน เชื่อมต่อเส้นปราณ รวบรวมลมปราณล้วนเป็นการทลายประตูและเป็นมาตรฐาน เพื่อทำลายข้อจำกัดทางร่างกาย
ส่วนจี้หยวนไม่มีอะไรต้องกังวล คนที่ไม่มีเงินล้านจะไปคิดหากำไรพันล้านไปทำไม ขอเพียงตัวเองสบายใจก็เป็นมรรคเซียนที่ดีที่สุดแล้ว
แต่ไม่อยากคิดมากไม่ได้หมายความว่าจี้หยวนจิตใจไม่สูงส่ง กลับกัน จนถึงตอนนี้แล้วเขาแน่ใจถึง ‘อิสระเสรี’ ที่เขาโหยหาอยู่ในใจว่ามีความสำคัญเพียงใด
ในเวลานี้ ตัวหมากทั้งสามตัวดูเหมือนจะถูกกดลงบนกระดานหมากรุกที่ว่างเปล่าต่อหน้าจี้หยวน ปรากฏเป็นลักษณะของตัวหอักษร 品 เมื่อคิดใคร่ครวญก็มีปราณวิญญาณค่อยๆ รวมตัวกัน
ดึงปราณที่เกิดจากฟ้าดิน เติมปราณวิญญาณเข้าไปในร่างกาย ไฟจากเตาโอสถเขตแดนลุกโชน ฟ้าดินในกายยิ่งเจิดจรัสเหมือนดวงดาว มีกระแสแสงตกลงสู่เตาหลอมโอสถเสมอ ก่อนปราณที่ซ่อนอยู่ในจุดตันเถียนจะปั่นป่วน
บนทางหลวงเกิดหมอกขึ้นโดยไม่รู้ตัว ราตรีมาเยือน แสงสว่างเลือนหาย ดวงอาทิตย์ตกดิน ดวงจันทร์ขึ้นสู่ท้องฟ้า
…
รถม้าสามคันกำลังเคลื่อนตัวอย่างเชื่องช้าอยู่บนถนนหลวง พวกพลขับไม่ได้บังคับม้าอยู่บนรถ แต่จูงม้าก้าวไปข้างหน้าอยู่ข้างหน้ารถ เป็นเพราะหมอกลงหนา ไม่สะดวกบังคับม้าวิ่งเลยจริงๆ
บนรถม้าคันสุดท้าย คุณชายในชุดสีขาวคนหนึ่งกำลังนั่งอ่านหนังสือ เนื่องจากรถม้าเคลื่อนที่ช้ามาก จึงไม่นับว่าโคลงเคลง ข้ารับใช้ข้างๆ ก็พิงผนังรถเหม่อลอยด้วยความเบื่อหน่าย
“เหตุใดรถคันนี้ถึงช้าเช่นนี้…”
หลังจากบ่นไปคำหนึ่ง ข้ารับใช้เปิดม่านรถแล้วยื่นหน้าตะโกนคุยกับพลขับข้างหน้า
“พลขับ เร็วกว่านี้ไม่ได้แล้วหรือ หลังจากพ้นอำเภอชิงสุ่ยแล้วก็ช้าอยู่ตลอดเลย!”
พลขับหันมามองเขา บนใบหน้ามีรอยยิ้มฝืนๆ แยกเขี้ยวกล่าวว่า
“เจ้าพูดอะไรของเจ้า คิดว่าข้าไม่อยากไปเร็วๆ หรือ ดูหมอกนี่สิ อย่าคิดว่าตอนนี้เหมือนไม่มีอะไร อีกเดี๋ยวยิ่งไปข้างหน้า หมอกก็จะยิ่งลงหนา ต้องออกจากหมอกนี้ก่อนถึงจะเร่งความเร็วได้!”
ข้ารับใช้ยื่นหน้ามองซ้ายมองขวาและรอบๆ มองผ่านหมอกไปได้ไกลแค่สิบจั้ง ไม่นับว่าไกล ไม่นับว่ามองไม่ชัด ทำให้เกิดความสงสัยอยู่บ้าง
“หรือพวกเจ้าอยากให้ล่าช้าสักสองสามวันเพื่อให้ได้เงินมากขึ้น”
ค่าจ้างรถม้าหลายคันนี้จ่ายเป็นรายวัน อย่างไรเสียคุณชายก็ไม่ได้บอกเวลาชัดเจน อยากหยุดเที่ยวเล่นก็เที่ยว อยากเลี้ยวไปเที่ยวไหนก็ไป ความเป็นจริงแล้วพลขับต่างหากที่เสียเปรียบ
ฟังคำบ่นของข้ารับใช้แล้ว พลขับไม่พอใจอยู่บ้างอย่างเห็นได้ชัด แต่กลับไม่กล้าทำอะไรบุ่มบ่าม ทำได้เพียงอธิบายอย่างอดทน
“น้องชาย ก่อนหน้านี้ที่อำเภอชิงสุ่ยก็ใช่ว่าไม่ได้ยิน ออกจากอำเภอชิงสุ่ยมุ่งหน้ามาทางใต้นี้ ท้องฟ้ามืดครึ้มอยู่หลายวันแล้ว หมอกไม่กระจางหายไป ตอนนี้ยังดี พอตกกลางคืนแล้วหมอกจะยิ่งหนากว่านี้ ในอดีตพ่อค้าล้วนเดินทางอย่างระมัดระวัง รีบร้อนมีแต่จะหลงทางได้ง่าย!”
“เอาล่ะๆ พวกเจ้าเร่งความเร็วให้ได้มากที่สุดแล้วกัน!”
“เออๆ…ก็ต้องเป็นแบบนั้นแหละ!”
อีกฝ่ายมีความไม่พอใจเต็มใบหน้า ทว่าพลขับกลับทำได้เพียงหัวเราะกลบเกลื่อน
“เว่ยถง อย่าทำให้พลขับลำบากใจเลย สภาพอากาศแบบนี้ไม่ใช่ว่าใครจะทำตามใจชอบได้หรอกนะ ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า”
“อือ…ทราบแล้วขอรับคุณชาย”
ทางนี้สงบลงแล้ว บนรถม้าอีกคันมีการสนทนากับพลขับข้างหน้าเหมือนกัน แต่น้ำเสียงของสาวใช้ดีกว่าข้ารับใช้ในรถม้าที่อยู่ตรงกลางมากทีเดียว
“พลขับ มีหมอกลงแถบอำเภอชิงสุ่ยอยู่บ่อยๆ หรือ”
พลขับอายุเลยครึ่งร้อยหันกลับมา สาวใช้ของตระกูลใหญ่แตกต่างกับสตรีในครอบครัวชาวนา มักจะอ่อนหวาน แต่ก็แข็งแรงได้ไม่เท่าลูกหลานตัวเอง เขามองข้างหลังผ้าม่านรถม้า คุณหนูผู้นั้นเหมือนจะหันหน้าไปข้างนอก ตั้งอกตั้งใจฟังตลอด
“แม้จะไม่ใช่คนอำเภอชิงสุ่ย แต่ก็เดินทางบนถนนเส้นนี้อยู่เรื่อยๆ ไม่ค่อยมีหมอกให้เห็นเท่าไหร่ และหมอกลงติดต่อกันสิบกว่าวันเช่นนี้ก็เป็นครั้งแรกด้วย”
พลขับเหมือนกับนึกอะไรได้ พูดต่ออีก
“ฟังจากคนอำเภอชิงสุ่ย ตอนหมอกลงหลายวันไม่ยอมจางในตอนแรก มีคนเฒ่าคนแก่คิดว่าเกิดสิ่งชั่วร้ายอะไร แต่พ่อค้าที่เดินทางมาถึงล้วนไม่เป็นไร ยังมีคนไม่น้อยบอกว่าผ่านตรงที่หมอกลงหนาที่สุดแล้วทำให้สดชื่นเจ่มใส สบายตัวจากภายในสู่ภายนอก ดังนั้น…”
พลขับดึงความสนใจ
“ดังนั้นอะไรหรือ”
สาวใช้เสียงดังขึ้นเล็กน้อย และเนื่องจากรถม้าสามคันอยู่ใกล้กันถึงเพียงนี้ ความจริงแล้วตอนนี้คนในรถม้าคันข้างหน้าสุดก็ได้ยินแล้ว
“ฮ่าๆๆ ดังนั้นมีคนแก่บอกว่ามีผู้วิเศษหรือเซียนฝึกวิชาอยู่ที่นี่ คนที่ผ่านหมอกจึงล้วนเป็นผู้มีบุญอย่างไรเล่า!”
“พลขับ เจ้าพูดมั่วอะไรกัน เซียนฝึกวิชาอยู่บนยอดเขาสูงในถ้ำเทพเซียนกันหมดไม่ใช่หรือ ไหนเลยจะมาหลบลี้อยู่ในที่ทุรกันดารแบบนี้!”
เว่ยถง ข้ารับใช้คนนั้นที่อยู่ข้างหน้าแสดงออกว่าไม่เห็นด้วยอีกครั้ง
พลขับชราก็ไม่พอใจอยู่บ้าง จึงอธิบายว่า
“มักจะได้ยินว่าเซียนก็มาเที่ยวเล่นบนโลกมนุษย์เหมือนกัน มีบางคนแปลงกายเป็นมนุษย์เสียด้วย และข้าก็ไม่ได้บอกว่าเป็นเซียนแน่ๆ เสียหน่อย…”
เมื่อถูกเว่ยถงขัดจังหวะ พลขับชราก็หมดความสนใจจะพูดจา รถม้าสามคันจึงเดินหน้าต่อไปอย่างเชื่องช้า
หลังจากนั้นประมาณหนึ่งเค่อ หมอกลงหนาขึ้นจริงๆ พลขับวัยกลางคนที่อยู่ข้างหน้าหันไปมองม่านหน้าต่างรถ มองเห็นข้ารับใช้คนนั้นกำลังยื่นหน้าออกมามอง อ้าปากแต่ไม่ได้พูดอะไร กลายเป็นว่าตอนนี้พิสูจน์แล้วว่าเมื่อครู่นี้เขาไม่ได้พูดโกหก
พลขับรถม้าทั้งสามคันและคนบนรถม้าในตอนนี้ล้วนสูดหายใจเข้าลึก รู้สึกว่าลมปราณและเส้นลมปราณคล่องเสมอ ไม่ใช่แค่ความไม่พอใจจากการตีฝีปากเมื่อครู่นี้หายไป แม้แต่ความเหนื่อยล้าจากการเดินทางก็คลายไปไม่น้อยเลย
“มหัศจรรย์ขนาดนั้นจริงๆ…”
คุณชายที่อยู่ในรถม้าข้างหน้า และคนที่อยู่ในรถม้าข้างหลังล้วนพูดกับตัวเองด้วยความประหลาดใจอยู่บ้าง