เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 12 เสียงกีต้าร์ผ่านพิณผีผา (ตอนปลาย)
บทที่ 12 เสียงกีต้าร์ผ่านพิณผีผา (ตอนปลาย)
“จงวิ่งต่อไปอย่างภาคภูมิใจ!”
“ถ้าไม่ล้มลง เราจะรู้จักวิธีลุกขึ้นมาได้อย่างไร!
“ดื่มด่ำกับหัวใจที่แผดเผา ดีกว่าปล่อยให้มันตายช้า ๆ”
“เพื่อตัวของเราเอง!”
ในท่อนสุดท้ายนั้น จินฟานและซูชือก้มหน้าเล็กน้อยก่อนจะร้องด้วยเสียงที่หนักแน่น
“เราจะไม่ยอมแพ้ จนร่างนี้แหลกสลาย!”
เราจะไม่ยอมแพ้ จนร่างนี้แหลกสลาย!
ทุกคนร้องท่อนสุดท้ายพร้อม ๆ กัน และเสียงปรบมือก็ดังขึ้นเป็นสัญญาณถึงการแสดงที่จบลง
ทุกคนต่างมีอารมณ์ร่วมอย่างตื่นเต้นเห็นได้ชัด
ผู้บริหารที่นั่งอยู่แถวหน้า ต่างปรบมือให้และยิ้มแย้มอย่างพึงพอใจเช่นกัน
“เด็กใหม่ปีนี้ดูพึ่งพาได้จริง ๆ”
เชียนจุนปรบมือให้พร้อมยิ้มที่ประดับบนใบหน้าขณะกระซิบเบา ๆ กับอาจารย์หลี่เคอหมิง
“แน่นอน”
อาจารย์หลี่เคอหมิงปรบมือให้อย่างขะมักเขม้น เขากล่าวชื่นชมซูเย่ในใจ นอกจากจะมีความรู้แล้ว ยังสามารถเล่นพิณผีผาได้ดีขนาดนี้อีก ช่างเป็นคนที่มีความสามารถรอบด้านจริง ๆ
“ตึ๊งงง–“
เมื่อโน้ตตัวสุดท้ายค่อย ๆ แผ่วเบาลงไป ซูเย่ก็ค่อย ๆ ผ่อนลมหายใจลง
เสียงหนึ่งดังขึ้นในห้วงความคิดของเขา
ดิ้ง!
คะแนนปลุกใจ : แต้มศีลธรรม +2
ในช่วงเวลานี้เป็นวินาทีที่ทำให้ซูเย่ได้เข้าใจว่า
การใช้พลังปลุกใจผู้คนตามปกตินั้นเหนื่อยและต้องใช้สมาธิเป็นอย่างมาก แต่เมื่อได้ลองใช้พร้อม ๆ สองคน นั่นก็ทำให้ชายหนุ่มรู้สึกเหนื่อยยิ่งกว่าปกติอย่างเห็นได้ชัด
“ดูเหมือนว่านอกจากการรักษาโรคและช่วยชีวิตผู้คนแล้ว.. การช่วยให้ผู้คนพัฒนาตนเอง ก็นับเป็นศีลธรรมอันดีด้วยสินะ.. “
ซูเย่ยิ้มบาง ๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนและโค้งคำนับให้ผู้ชมพร้อม ๆ กับจินฟานและซูชือ
ทันทีที่พวกเขาลงจากเวที จินฟานและซูชือต่างโผเข้าหาซูเย่ด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื้นตันใจ
“เสี่ยวเย่! นายนี่มันเจ๋งไปเลย บอกมานะว่าจริง ๆ แล้วนายแอบซ่อนอะไรไว้อีก!”
“เยอะเกินจะนับ”
ซูเย่ยักไหล่
จินฟานเข้ามากอดคอซูชือก่อนจะพูดเชิงหยอกล้อ “อะไร? นี่นายอิจฉาเสี่ยวเย่ กลัวว่าเขาจะเก่งเกินนายงั้นเหรอ?”
“แล้วนายไม่สงสัยบ้างรึไงฟะ ไม่เห็นต้องแอบงุบงิบไว้เลยนี่” ซูชือตอบกลับอย่างค้างคาใจ
ซูเย่เลือกที่จะไม่สนใจพวกเขาก่อนจะเดินไปหาเด็กสาวที่เขายืมพิณผีผามาก่อนหน้านี้
“ขอบคุณที่ให้ยืมนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก นายเก่งมากเลยนะ ฉันไม่คิดเลยว่าพิณผีผาจะสามารถเล่นเป็นเสียงกีต้าร์แบบนั้นได้ “
เด็กสาวรับพิณผีผามากอดไว้ในอ้อมกอดขณะกล่าวอย่างชื่นชม
ซูเย่คิดอะไรบางอย่างก่อนตัดสินใจบอกบางสิ่งกับเธอเป็นการขอบคุณที่ให้ยืมพิณ
“อันที่จริงแล้ว ถ้าเธอเข้าใจลักษณะการเกิดเสียงของพิณผีผา นอกจากเสียงกีต้าร์แล้วก็ยังเล่นเป็นเสียงเครื่องดนตรีชนิดอื่นได้ด้วย อย่างเช่น พิณซันเชียน (พิณจีนสามสาย) กลองจินกวง แล้วก็ซามิเซ็น (พิณญี่ปุ่น)”
“จริงเหรอ?” เด็กสาวถามด้วยความประหลาดใจ
จินฟานและซูชือที่อยู่ข้าง ๆ ก็กำลังแอบฟังบทสนทนาของทั้งคู่อยู่เช่นกัน
“จริง”
ซูเย่ขอพิณผีพาจากเธออีกครั้งก่อนจะกดนิ้วลงบนเส้นสายแล้วดีดเป็นเสียงออกมา
ทั้งเด็กสาว จินฟานและซูชือต่างไม่เชื่อหูตัวเอง
“นี่มัน…”
“เสียงพิณซันเชียนนี่นา!”
ทั้งสามคนมองซูเย่อย่างตกตะลึง
ซูเย่เปลี่ยนตำแหน่งการกดเส้นสายอีกครั้งก่อนจะเริ่มดีด เสียงที่ออกมาก็แตกต่างไปจากเดิม
“นี่มัน….เสียงกลองจินกวง!”
เมื่อเปลี่ยนตำแหน่งอีกครั้ง เสียงก็เปลี่ยนไปอีก!
“นี่มันเสียงซามิเซ็นนี่”
ทั้งสามคนถึงกับอึ้งจนพูดไม่ออก
ในขณะนั้น ไป๋จือหรานและไป๋จือเหยียนที่แอบมายังด้านหลังเวทีอย่างเงียบ ๆ ได้แต่มองเหตุการณ์เบื้องหน้าอย่างไม่เชื่อสายตาตัวเอง
เขาทำได้อย่างไร?
“ไปกันเถอะ”
ซูเย่ยื่นพิณผีผาคืนให้กับเด็กสาวอีกครั้งก่อนจะลากคอจินฟานและซันชือที่ยืนนิ่งเป็นหินออกจากหลังเวที
ก่อนที่จะไปถึงทางออกนั้น ซูเย่ก็พบกับไป๋จือหรานและไป๋จืนเหยียน
ดวงตาทั้งสามคู่ประสานกันในทันที
ดวงตาของซูเย่ส่อแววประหลาดใจเล็กน้อย เขาโค้งให้กับทั้งสองสาวเป็นการทักทาย ก่อนจะลากเพื่อนทั้งสองเดินออกไป
หลังจากที่เดินออกมาจากหลังเวที เพื่อนทั้งสองถึงจะหลุดออกจากภวังค์
“เมื่อกี้นี้มัน….’นั่น’…จากสถาบันดนตรีซิงเหมิงไม่ใช่เหรอ?”
“ใช่น่ะสิ!”
ทั้งสองรีบสลัดตัวออกจากเงื้อมมือของซูเย่ในทันที ก่อนจะพูดอย่างเสียดาย “โธ่เอ้ย นายทำอะไรลงไปเนี่ย รีบพาออกมาจนไม่ทันได้ยลโฉมพวกเธอเลย!”
แม้ว่าจะวิ่งกลับไปตอนนี้ก็ไม่ทันแล้ว ทั้งสองคนทำได้แค่รู้สึกสงสารตัวเองเบา ๆ
ซูชือมองซูเย่ตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ก่อนพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “เสี่ยวเย่ นายเป็นคนที่เจ๋งมากจริง ๆ นะ แต่ช่วยบอกหน่อยเถอะว่านายยังทำอะไรได้อีกบ้าง? บางครั้งมันก็ต้องมีการเตรียมใจเหมือนกัน นายเกือบจะทำพวกเราหัวใจวายตาย”
ซูเย่ทำหน้าครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบออกมาสั้น ๆ
“มีอีกเยอะแยะ”
“แล้วมันอีกเท่าไหร่กันล่ะ?” ซูชือถามอย่างสงสัยใคร่รู้
“ก็ทำได้อีกเยอะมาก ๆ ..เออ….ยกเว้นทำเด็กล่ะมั้ง”
ซูเย่พูดพร้อมรอยยิ้มกวน ๆ
จินฟานและซูชือถึงกับคิ้วกระตุกให้กับคำตอบของเพื่อนร่วมห้องพักของพวกเขา ไอ้เวรนี่มันเป็นมนุษย์จริง ๆ ใช่ไหมเนี่ย
มันหมายความว่ายังไงฟะ ที่ว่าทำได้ทุกอย่าง ยกเว้นทำเด็กน่ะ!
จะล้อเล่นก็ให้มันมีเหตุผลหน่อยสิ
“รีบ ๆ กลับกันเหอะ อยากกลับไปเช็คฟอรัมจะแย่อยู่แล้ว ดูซิว่าจะมีคนชมเราเยอะขนาดไหนเชียว”
ซูชือเลือกที่จะเมินเฉยกับคำตอบของซูเย่ก่อนหน้านี้
แล้วนักดนตรีทั้งสามก็เดินกลับไปยังหอพักของตัวเอง
ในขณะนั้นเอง ก็มีเงาร่างหนึ่งแวบหายไปในมุมมืดข้างหน้าพวกเขาซึ่งมีแต่ซูเย่เท่านั้นที่ประสาทสัมผัสไวพอจะสังเกตเห็น
ซูเย่ขมวดคิ้วแล้วหยุดเดิน “พวกนายไปก่อนได้เลย เดี๋ยวฉันจะไปซื้อน้ำก่อนกลับ”
“เออ ๆ ฝากซื้อให้ด้วยนะสองขวด ไว้ค่อยมาเอาเงินที่ห้องก็แล้วกัน”
ทั้งสองคนกล่าวก่อนจะเดินตรงกลับหอไปก่อน
พอทั้งสองคนเดินออกไปไกลประมาณหนึ่งแล้ว ซูเย่มองไปรอบ ๆ เพื่อเช็คว่าไม่มีใครอยู่แถว ๆ นี้ ก่อนจะกระโจนขึ้นฟ้าตามเงาที่หายไปนั้นราวกับลูกธนูหลุดออกจากแหล่ง
เป็นครั้งแรกที่เขาสัมผัสได้ถึงผู้ที่มีปราณนับตั้งแต่กลับมาสู่โลกยุคปัจจุบัน
เขาไม่คิดเลยว่าจะพบกับผู้ที่มีปราณในเขตที่ตนอยู่
ร่างในเงามืดนั้นตรงไปยังจัตุรัสกลางของจุดศูนย์รวมมหาลัย
ซูเย่หยุดการไล่ตามและแอบซ่อนตรงมุมตึกของจัตุรัสกลาง มันทำให้เขาสามารถแอบมองลานกว้างนั้นได้อย่างชัดเจน
ชายหนุ่มรูปร่างผอม อายุประมาณ 30 ปี เขาใต้ตาคล้ำดำอย่างเห็นได้ชัด ท่าทางดูไร้เรี่ยวแรงขัดกับการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้
เขาทำตัวลับ ๆ ล่อๆ ดวงตาของเขาเปล่งแสงเป็นประกายขณะมองสำรวจไปรอบ ๆ
ในโลกนี้นั้น มีจอมยุทธ์อยู่สองประเภท คือผู้ฝึกกำลังภายใน และผู้ฝึกพลังลมปราณ
จอมยุทธ์ที่ใช้ลมปราณจะแข็งแกร่งกว่าจอมยุทธ์ที่ใช้กำลังภายใน แม้ว่าพวกเขาจะใช้ปราณเพียงเล็กน้อยก็สามารถเอาชนะกำลังภายในได้อย่างง่ายดาย
เนื่องจากผู้ใช้ลมปราณในการต่อสู้ จะต้องฝึกการใช้พลังกายปาฏิหาริย์ ซึ่งแบ่งได้เป็นห้าขั้นตอนคือ การดูดซับปราณ การนำปราณมาปรับใช้ การเสริมความแข็งแรงของกระดูก เสริมความแข็งแกร่งของร่างกาย และการเพิ่มสมรรถภาพในการต่อสู้
ดังเช่นที่กล่าวนี้ เมื่อร่างกายได้รับปราณจากสรวงสวรรค์และผืนแผ่นดิน จากนั้นจึงส่งพลังปราณไปยังจุดปลดพลังปราณ 365 จุดตามร่างกาย รวมถึงส่งผ่านอวัยวะทั้งเก้าของร่างกายด้วย
เมื่อส่งผ่านพลังเปิดจุดลมปราณได้สำเร็จ ก็จะสามารถรับปราณได้อย่างเต็มที่ และนั่นทำให้พวกเขาแข็งแกร่ง!
และชายหนุ่มเบื้องหน้าเขาก็ดูเหมือนว่าจะอยู่ในสถานะที่เปิดจุดพลังลมปราณไปแล้ว แต่เป็นการเปิดจุดพลังลมปราณไปเพียงแค่จุดเดียวเท่านั้น
อย่างไรก็ตาม นับตั้งแต่ซูเย่กลับมายังโลกยุคปัจจุบัน เขาเพิ่งจะได้ดูดซับปราณเพียงแค่สามครั้งเท่านั้น เขาเองก็ยังนับได้ว่ายังเปิดไม่ถึงเลยสักจุดเดียว ด้วยเหตุนี้ เขาจึงไม่ได้อยู่ในสภาวะที่ร่างกายสมบูรณ์เท่าไหร่นัก