เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 210 เจอเจ้าเวรกรรม...จะเอาเลยไหม?
บทที่ 210 เจอเจ้าเวรกรรม…จะเอาเลยไหม?
เกิดเรื่องขึ้นงั้นเหรอ?!
ซูเย่มีสีหน้าตึงเครียดขึ้นมา ก่อนจะรีบกดดูพิกัดทันที…
แผนที่ได้ถูกเปิดออก บริเวณเขตแดนของแผนที่ปรากฏเป็นจุดสีแดง นั่นคือที่ที่พวกซุนชืออยู่!
“ไป !” ซูเย่ตบลงไปที่ลำคอของเฉิงหวงเบา ๆ ก่อนที่เฉิงหวงจะส่งเสียงรับและพาซูเย่มุ่งไปยังจุดสีแดงบนแผนที่
นอกป่าหิน
พวกซุนชือถูกล้อมรอบเข้ามา ข้างหน้ามีอยู่ 10 กว่าคน ข้างหลังมีคนไล่ตาม 200 กว่าคน
“ดูท่าแล้วน่าจะหนีไม่ทัน…ฉันขอความช่วยเหลือไปหาซูเย่แล้ว ฉันขอโทษทุกคนจริงๆ”
ซุนชือกล่าวกับทุกคนอย่างขอโทษขอโพย ถ้าเขาไม่ไปแก้แค้น ทุกคนก็คงไม่ถูกเปิดเผย
“มีประมาณ 300 คน”
ไป๋จื่อหรานกวาดสายตาตรวจสอบแล้วคำนวณคร่าว ๆ พลางกล่าวอย่างสงบนิ่ง “สามารถต้านได้ แต่จะต้องฝ่าวงล้อมออกไปให้ได้ภายในสามนาที…ไม่เช่นนั้นคนจะเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ”
“งั้นยังจะหนีทำไม จัดการเลยสิ!”
ไป๋จือเหยียนปรากฎกายขึ้น มองไปที่สิบกว่าคนที่ดักอยู่ด้านหน้าอย่างท้าทาย แล้วกล่าวต่อ “มีโอกาสชนะก็ต้องสู้สิ!”
ทุกคนได้แต่นิ่งเงียบ พูดอะไรไม่ออก
แม่เทพธิดา… ต่อไปพวกเราขอเรียกว่าแม่เจ้าประคุณละกันนะ…เธอพูดออกมาหน้าตาเฉยแบบนี้ได้ยังไง?!
บอกว่าสู้ก็คือเธอ แต่เมื่อกี้วิ่งเร็วที่สุดก็คือเธอ…!
“ก็มีแค่ทางนี้แล้ว”
จินฟานและซุนชือสบสายตากัน ทุกคนมองไปทางไป๋จือหราน
การต่อสู้ก่อนหน้านี้ ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนถึงความสามารถในการควบคุมสถานการณ์ของเธอ ดังนั้นทุกคนจึงไว้ใจเธอมาก
ไป๋จือหรานเงียบงันไปครู่หนึ่ง เธอรู้ดีว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลาที่จะมาบ่ายเบี่ยง ดังนั้นจึงเดินออกไปอยู่กลางวงภายใต้สายตาจับจ้องของทุกคนแล้วกล่าว “ซุนชือ จินฟาน เฉินเซียนเยว่ น้องสาว พวกเธอแยกกัน คนที่เหลือตั้งค่ายกล”
“ขอให้ทุกคนจำไว้ว่า…เป้าหมายของเราไม่ใช่การฆ่าคนแต่คือการฝ่าวงล้อม สิ่งที่พวกเธอต้องทำคือปิดกั้นการโจมตีจากศัตรูรอบตัวของเธอ ด้านหน้าแบ่งกำลังไปสองกองคอยช่วยเหลือซุนชือและจินฟานฝ่าวงล้อม เฉินเซียนเยว่กับน้องสาวคอยป้องกันการโจมตีจากด้านหลัง”
“เรามีเป้าหมายเพียงอย่างเดียวคือ…บุกตะลุยออกไป”
“เป้าหมายที่สอง หากบุกออกไปไม่ได้ ให้ยื้อไว้จนกว่าซูเย่จะมา”
เมื่อนึกไปถึงซูเย่ทุกคนก็มีความมั่นใจขึ้นมา…
ไอ้หมอนี่น่ะ…คือไอโรคจิตที่เอาชนะคนพันคนจากสังเวียนเชียวนะ!
“ตั้งค่ายกล…!”
เมื่อไป๋จื่อหรานออกคำสั่ง ทั้ง 13 กองจึงก่อตั้งค่ายกลอย่างรวดเร็ว
ซุนชือและจินฟานอยู่หัวขบวน เฉินเซียนเยว่ไปด้านหลัง
“นายไปข้างหลัง…”
ไป๋จือเหยียนไม่ได้ไปข้างหลังกับเฉินเซียนเยว่ แต่เดินตรงไปด้านหน้าแล้วแตะไหล่ของจินฟาน ก่อนที่เธอจะกล่าวออกไปว่า “ให้ฉันจัดการเอง…”
จินฟานมองดวงตากลมโตของไป๋จือเหยียนที่มีประกายพาดผ่าน มองเห็นแววความตื่นเต้นและดุร้ายในตาคู่นั้น เขายิ้มขื่นอย่างหมดปัญญาแล้วเดินไปทางด้านหลัง
“ยังจะยืนอึ้งอะไรกันอีก บุก!”
เมื่อทุกอย่างพร้อมแล้ว ไป๋จือเหยียนก็โบกมือและตะโกนเสียงดัง ก่อนจะพุ่งทะยานไปยังกลุ่มคนด้านหน้าที่ขวางทางอยู่
ซุนชือรวมตัวกับคนอื่นก่อตั้งค่ายกลแล้วบุกตามขึ้นไปทันที
ในยามนี้ ผู้เล่นธรรมดาจากทั่วทิศทางก็พุ่งทะยานเข้ามาเช่นกัน โดยระหว่างที่บุกขึ้นหน้าไป ผู้เล่นธรรมดาหลายสิบคนก็แบ่งเป็นกองย่อยหลายกองอย่างรวดเร็ว ทุกกองล้วนตั้งค่ายกลนกเป็ดน้ำขึ้น
“ระวัง!”
ไป๋จื่อหรานสีหน้าตึงเครียดตะโกนเสียงดังสนั่น “พวกนั้นก็ตั้งค่ายกลได้เหมือนกัน ใช้ไม้แข็งไม่ได้แล้ว!”
เมื่อทุกคนได้ยิน ก็ลดความเร็วในการบุกลง
“ฮ่าๆๆ…! คนเยอะขนาดนี้ เลเวลน้อยทั้งนั้นเลย”
“ฆ่าพวกมันให้หมด!”
เสียงหัวเราะราวคนบ้าดังมาจากด้านหน้าและหลังอย่างต่อเนื่อง คมดาบเงากระบี่ น้ำเย็นไฟเพลิง อัสนีกัมปนาทต่างระเบิดออกมาพร้อมกันไปทั่วท้องฟ้า
“ไปทางซ้ายสิบก้าว” ไป๋จื่อหรานกล่าวอย่างใจเย็น
เมื่อได้ยินคำบัญชา พวกซุนชือก็ขยับไปทางซ้ายสิบก้าวทันที…
คนทั้ง 69 คนร่วมมือกันได้เป็นอย่างดี เป็นหนึ่งเดียวกัน ลื่นไหลไปตามต้องการ ทำให้หลบทักษะการโจมตีระลอกแรกได้ทั้งหมด
“ข้างหน้าฝั่งซ้ายขาดคน…”
ไป๋จื่อหรานกล่าว ไป๋จื่อเหยียนจึงรีบพุ่งตัวมาทันที
คนทั้งสามร้อยคนบุกเข้ามา ทั้งสองปะทะกันอย่างพัลวัน
สงครามได้เริ่มขึ้นแล้ว!
“สวบ…!”
มีร่างเงาหนึ่งพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว สุดท้ายหยุดห่างไปสิบกว่าเมตรบนเขาสูง
ซูเย่หยุดมองสถานการณ์กลางป่าหินจากบนเขาบนหลังเฉิงหวง
สถานการณ์วิกฤตมากแล้ว…พวกซุนชือกำลังเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด พวกเขาถูกล้อมรอบไว้ พวกเขายังไม่ชำนาญค่ายกลประสานเท่าไหร่…แต่ในผู้ล่าสามร้อยคนนี้ส่วนมากได้เรียนทักษะการต่อสู้และเข้าใจค่ายกลนกเป็ดน้ำเป็นอย่างดี
“กองข้างสองกองถอยมา จินฟานกับเฉินเซียนเยว่ไปช่วยสนับสนุนที บุกฝ่าไปให้ได้!”
ไป๋จื่อหรานยังคงออกคำสั่งอย่างสงบนิ่ง ซึ่งทุกคนทำตามคำสั่งเป็นอย่างดี
ชั่วพริบตา ทั้ง 70 คนบนสนามรบก็พุ่งเข้าใส่ศัตรูอย่างรวดเร็วราวกับดาบคมกริบ ทำให้อีกฝ่ายล่าถอยไป
แต่ผู้เล่นจากทั่วทุกทิศทางก็ไม่ปล่อยโอกาสไปง่าย ๆ พวกเขาลากแนวรบให้ยาวกว่าเดิม แล้วล้อมเข้ามา…
ในตอนที่ซุนชือและคนอื่น ๆ ยังไม่สามารถฝ่าออกไปได้ รอบนอกก็เรียงรายไปด้วยค่ายกลนกเป็ดน้ำที่ปิดทางอยู่
ทุกคนที่ถูกล้อม ใบหน้าพลันตึงเครียด…
“ข้างหน้าฝั่งขวาขาดคน”
ไป๋จือหรานฆ่าผู้เล่นธรรมดาแล้วบัญชาอย่างรวดเร็ว
ทุกคนรีบพุ่งไปทางตะวันออกเฉียงใต้ทันที แต่ยังคงถูกผู้เล่นธรรมดาปิดล้อมอยู่
วงล้อมเริ่มเล็กลงเรื่อย ๆ ช้าเร็วทุกคนต้องแย่แน่!
ซูเย่มองเห็นการควบคุมของไป๋จื่อหราน แววตาปรากฎความชื่นชมไม่น้อย 70 ต้าน 300 ยืนหยัดได้นานขนาดนี้ถือว่าไม่ง่าย…
จนถึงตอนนี้ ผู้เล่นทั่วไปตายไปไม่น้อย แต่พวกเขาก็ยังไม่มีใครตายสักคน
“ไม่เลว…ไม่เลว”
ซูเย่มองซุนชือถูกปิดล้อม กำลังไม่พอต่อกร ก็คงทนได้อีกไม่นานนัก ซูเย่จึงขี่เฉิงหวงพุ่งลงไปจากบนเขาทันที
ฉันมาแล้ว!
“สวบ…!”
เงาร่างหนึ่งปรากฏขึ้น ท่ามกลางคน 300 คน มีคนถูกโจมตีกระเด็นออกไปหลายคน แล้วร่างก็ค่อย ๆ จางหายไปกลางอากาศ
ฆ่าตายภายในวินาที!
ท่ามกลางผู้คน มีคนพบว่าผู้เล่นชื่อสีแดงมาโจมตีก็รีบหันมองหากันโดยพลัน
และแล้วเมื่อเห็นชื่อสีแดงนั้นที่ปรากฎตัวขึ้นท่ามกล่างกลุ่มคน สีหน้าของทุกคนถึงกับเปลี่ยนสี
โรคจิตมาแล้ว!
‘เวรกรรม จะตั้งชื่อยากเย็นไปไหนฮะ?’
“เขาอยู่นี่ได้ไง?!”
เมื่อเห็นว่าซูเย่มา พวกซุนชือก็มีกำลังใจขึ้นมาทันที
ทัพเสริมมาแล้ว!
ต่อให้มีแค่คนเดียว ก็ต้านพันทัพหมื่นม้าได้!
“สวบ…”
ซูเย่ลงมืออีกครั้ง มือยกขึ้นตวัดดาบ ผู้เล่นธรรมดาสองสามคนก็ตายทันที
แต่เขาก็ยังไม่ยอมหยุด ยังคงขี่เฉิงหวงพุ่งไปในกลุ่มคน…
แสงดาบพาดผ่าน…คนจำนวนไม่น้อยก็กลายเป็นร่างที่เลือนราง
ผู้เล่นธรรมดาที่ต้องการมาฆ่า ก็นึกไปถึงเรื่องที่เจ้าเวรกรรมฆ่าคนหนึ่งร้อยคนตอนเลเวล 31
ขนาดหว่อเจิ้งจ้ายเฟยเสียงที่อยู่อันดับสองยังถูกเขาฆ่าตายด้วยมือเปล่า…!
เผชิญหน้ากับโรคจิตแบบนี้ พวกเขาก็เริ่มหวาดกลัว…
“หนี!”
ท่ามกลางกลุ่มผู้เล่นธรรมดาไม่รู้ว่าใครเป็นคนพูด
ตึกตึกตึก…
คนกลุ่มหนึ่งวิ่งหนีตายกันอลหม่าน
“ยืนอึ้งอะไรกัน? เพื่อเลเวล บุกเข้าไป ห้ามปล่อยไปแม้แต่คนเดียว!”
ไป๋จือหรานมองดูทุกคนที่ตะลึงค้างกับฉากตรงหน้า ก่อนตะโกนสั่งเสียงดังพร้อมบุกเดี่ยวขึ้นไป ทุกคนถึงได้สติกลับมาแล้วออกโจมตีโดยรวมเป็น 14 กองอีกครั้งโดยไม่ต้องมีคำสั่ง
ซูเย่มองชะงักค้างไปทางไป๋จื่อเหยียนที่พุ่งทะยานอยู่แนวหน้าสุด
หมดกัน…ภาพลักษณ์
ภายในเวลาสามนาที…ค่ายกลนกเป็ดน้ำก็ถูกตีพ่าย ทุกคนยังคงรบพุ่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
“หนีเร็วเข้า!”
“เจ้าเวรกรรมมันเป็นโรคจิต…มันเก่งเกินไปแล้ว!”
“ฉันแค่ผ่านทาง พวกนายตีกันเลย…ฉันไม่เกี่ยว!”
ผู้เล่นธรรมดาส่งเสียงร้องอย่างต่อเนื่อง แต่หมดหนทาง… มันสายไปเสียแล้ว
ภายใน 5 นาที 300 คนก็ตายเกลี้ยง
กลุ่มที่เพิ่งมาถึงเห็นฉากนี้เข้าพอดี ก็ต่างพากันตกใจหน้าซีดเผือด
อะไรวะเนี่ย? เก่งเกินไปแล้ว!
แล้วก็รีบเผ่นแน่บไปทันที
ข่าวที่ผู้ล่า 300 คนถูกฆ่าตายก็ดังไปถึงเว็บบอร์ดอย่างรวดเร็ว…
‘น่าทึ่ง! เจ้าเวรกรรมนำพรรคถูโช่วจย้าเทียน 70 คนกวาดล้างผู้ล่า 300 คนราบเป็นหน้ากอง’
เมื่อข่าวออกไป คนทั้งบอร์ดก็ถึงกับตกตะลึง…!
“กลุ่มผู้ล่า 300 คน ถูกฆ่าหมดงั้นเหรอ?!”
“เจ้าเวรกรรมคนเดียวฆ่าพี่เฟยเสียงมือเปล่า ยิ่งไปกว่านั้นยังจัดการคนเป็นร้อยด้วยดาบเล่มเดียว…ไอ้ 300 คนนี้ดันไปเจอมันพอดี ถือว่าซวยชัดๆ!”
“นี่มันเกินไปปะ…ต่อไปถ้าเจอเจ้าเวรกรรมจะทำยังไง?!”
เมื่อเห็นคำถามนี้ ทุกคนพากันตึงเครียด
นั่นน่ะสิ…ถ้าไปเจอเจ้าเวรกรรมจะทำยังไงกันดี?
จะเอาหรือไม่เอา?
ฆ่าเขาก็ได้แค่เลเวลเดียว แต่โอกาสที่เราจะถูกฆ่ามีมากกว่า…!
การต้องเสี่ยงถูกฆ่าแลกกับเก็บหนึ่งเลเวล… นี่มันขาดทุนชัดๆ!
งั้นเอาหรือไม่เอา?
ในใจของทุกคนก็มีคำตอบโดยพลัน
อีกฝั่งหนึ่ง…
หลังจากจัดการกลุ่มคน 300 คนได้ ทุกคนสรวลเสเฮฮาขึ้นมาทันที…
ไม่เพียงแค่ชนะเท่านั้น แต่ยังเป็นเพราะเลเวลของพวกเขาเลื่อนไปถึง 32 33 อย่างรวดเร็ว…
หลังจากดีใจกันได้ยกใหญ่ ทุกคนก็หันไปมองซูเย่อย่างซาบซึ้งและขอบคุณที่เขามาช่วยทุกคน…
ถ้าไม่มีซูเย่…วันนี้พวกเขาคงจบสิ้นกันตรงนี้นี่แหละ!
“ที่นี่ไม่ควรอยู่นาน พวกเราเปลี่ยนสถานที่เถอะ” ซูเย่กล่าว
ทุกคนต่างพยักหน้ารับ ใครจะไปรู้ว่าผู้ล่าจะรวมกลุ่มกันมาโจมตีอีกเมื่อไหร่ ถอยไปก่อนน่าจะดีกว่า…
เพิ่งเดินไปได้สิบกว่านาที ก็เจอกลุ่มผู้ล่าอีก 300 กว่าคน…
ทุกคนก็คิดว่าจะต้องรบพุ่งกันอีก แต่ปรากฎว่าเมื่อคนกลุ่มนี้เห็นหัวหน้าของพวกชื่อสีแดงขี่เฉิงหวงอยู่ ความตื่นเต้นในแววตาก็จางหายไป แต่ละคนพากันเดินจากไปราวกับไม่รู้ไม่เห็นอะไรหมด ไม่แม้แต่จะเหลือบมองพวกซูเย่เลยแม้แต่น้อย
ฉากนี้ทำให้พวกซุนชือถึงกับตะลึงค้าง
“อะไรกันเนี่ย?”
“ตัวพวกเราโปร่งแสงอยู่งั้นเหรอ?”
ซุนชือรีบไปหาดูบนบอร์ดทันที ก่อนจะได้ความกระจ่างและได้แต่ยิ้มขืน ๆ แล้วพูดกับซูเย่
“พวกบนบอร์ดบอกว่ากลัวนาย ต่อให้รวมกำลังกันมาล้อมฆ่า ก็ได้ไม่คุ้มเสีย ซ้ำร้ายโอกาสที่จะโดนฆ่ากลับไปมีมากกว่า ดังนั้นถ้าเจอก็ให้ทำเป็นมองผ่านไปเลย…”
เมื่อทุกคนได้ยินก็รีบไปดูบนเว็บบอร์ดทันที อ่านจบก็มองซูเย่อย่างเลื่อมใสและไม่มีอะไรจะพูดต่อ…
นี่มันการเลือกปฏิบัติชัดๆ!
ผู้ฝึกยุทธ์คนอื่น ๆ ถูกไล่ฆ่าไม่จบไม่สิ้น สรุปมีแค่ซูเย่มายืนก็ไม่มีใครกล้ามา
“กลัวฉัน?”
ซูเย่เอามือลูบคางอย่างครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วกล่าว “ถ้าเป็นแบบนี้ งั้นเราไปตีมอนสเตอร์เลื่อนเลเวลกันเถอะ ไม่ต้องซ่อนแล้ว”
“ฟิ้วว…”
ในตอนนี้เองมีเสียงแหวกอากาศดังขึ้นมา ทุกคนรีบหันไปตามเสียงอย่างรีบร้อน
เห็นเพียงเงาร่างคนคนหนึ่งพุ่งลงมากลางกลุ่มผู้เล่นธรรมดา ตวัดดาบฆ่าได้หนึ่งคนแล้วจึงหันกายหนีไป…
ทันใดนั้น ในตอนที่เขาเตรียมขี่กระบี่ออกไป
“แม่มรึง…ยังไม่จบไม่สิ้นกันอีกหรือไง?!”
“พิรุณโปรยพิฆาต!” เสียงตะโกนเสียงหนึ่งดังขึ้น
เป็นกลุ่มผู้เล่นธรรมดา มีคนโบกสะบัดแขนอย่างรุนแรง ชั่วพริบตาทั่วผืนฟ้าก็มีสายฟ้าฟาดและสะเก็ดเพลิงโปรยลงมาไม่หยุด ทำให้ผู้เล่นชื่อสีแดงที่กำลังขี่กระบี่อยู่ตกลงมา เพราะว่าบินอยู่สูงเกินไป เมื่อตกลงมาจึงส่งเสียงร้องอย่างหวาดกลัว
ถ้าตกลงพื้น…เขาจะต้องหัวฟาดพื้นตายทั้งเป็นแน่!
ในตอนนั้นเอง ก็มีเงาหนึ่งพาดผ่านไป ซูเย่ที่ขี่เฉิงหวงอยู่ พุ่งเข้าไปรับร่างคนที่กำลังตกจากกลางอากาศทันที…
ผู้เล่นทั่วไปที่เตรียมจะพุ่งเข้ามารุมซ้อมคนคนนั้นให้ตาย แต่เมื่อไปเห็นคนผู้นั้นที่ขี่เฉิงหวงเข้า ก็พากันสบถออกมาอย่างไม่พอใจ แล้วหันกายจากไปทันที…
“เอ๊ะ?”
“นี่…นายเองเหรอ?!”
จางจงหมิงที่หลับตาคิดว่าตัวเองจะตกลงมาหัวฟาดพื้นตาย ลืมตามองไปที่ซูเย่ สายตาพลันเป็นประกาย เจอคนรู้จักคงพูดคุยกันได้ง่าย…เพราะยังไงก็คือคนที่เคยทำธุรกิจล้านหยวนกัน!
เมื่อจางจงหมิงถูกวางลงเขาก็มองไปรอบ ๆ อย่างรีบร้อนทันที ถึงได้พบว่าผู้ล่าทั้งหมด ไม่มีใครกล้ามาหาเรื่องพวกซูเย่เลยแม้แต่น้อย… ก่อนที่ดวงตาของเขาจะเป็นประกายขึ้นมาทันที
จางจงหมิงคือผู้ที่ยืดได้หดได้ ถ้านายช่วยฉัน เรื่องเงินสามแสนนั่นจะลืมมันไปก็ได้!
เขารีบพูดขึ้นทันที “คิดไม่ถึงว่าจะได้พบกันที่นี่ ช่างมีวาสนาต่อกันเสียจริง”