เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 79 สมุนไพร 100 ชนิด
บทที่ 79 สมุนไพร 100 ชนิด
“เขาเดินไปนั่งเขียนอยู่เงียบ ๆ คนเดียวน่ะสิ”
“หา?”
เมื่อได้รับคำตอบเช่นนั้น แม้แต่หลี่เคอหมิงก็ยังอดแสดงสีหน้าประหลาดใจไม่ได้
“ในขณะที่คนอื่น ๆ ต้องเดินไปดูสมุนไพรแต่ละตัวถึงที่โต๊ะ แต่เขากลับมองสมุนไพรเพียงแค่รอบเดียว แล้วก็เดินไปหาที่นั่งเงียบ ๆ เขียนข้อสอบนี่แหละ”
ผู้จัดการกล่าวต่อ “ตอนแรกเขาเริ่มจากเขียนชื่อสมุนไพรให้ครบทั้ง 100 ตัว หลังจากนั้นก็เติมรายละเอียดเกี่ยวกับลักษณะ รสชาติและสรรพคุณของมันตามหลังโดยไม่หยุดพัก เพราะแบบนี้แหละ ซูเย่ถึงสามารถทำข้อสอบเสร็จได้ในเวลาแค่ 30 นาทีเท่านั้น”
“หืม?”
กลุ่มคณะอาจารย์มองหน้าผู้จัดการสมาคมด้วยความเหลือเชื่อ
นี่มัน…คนเราจะมีความจำดีขนาดนั้นได้ด้วยหรือ?
จางกงอี้มองหน้าหลี่เคอหมิง ริมฝีปากระดับรอยยิ้มแห่งความตกตะลึง
ลูกศิษย์ของอาจารย์หลี่เป็นยอดมนุษย์หรือไงนะ?
หลี่เคอหมิงใบหน้ายิ้มแย้มด้วยความสบายใจ แต่ความรู้สึกในใจจริง ๆ นั้นกำลังตกตะลึงถึงขีดสุด
เขามั่นใจว่าลูกศิษย์ของตนเองมีความจำดีมากกว่าคนทั่วไป แต่ก็คิดไม่ถึงเลยว่าซูเย่จะมีความจำดีถึงขนาดนี้
เพียงแค่คิดก็ขนลุกแล้ว
“อาจารย์หลี่มีลูกศิษย์ที่ยอดเยี่ยมมากเลยนะครับเนี่ย!”
แพทย์แผนจีนคนหนึ่งหันมายกนิ้วโป้งชื่นชมหลี่เคอหมิง
อาจารย์คนอื่น ๆ ก็หันมาชื่นชมเขาเช่นกัน
ถึงจะรู้ดีว่าคำพูดเหล่านี้เป็นเพียงคำยกยอปอปั้นตามมารยาทเท่านั้น แต่หลี่เคอหมิงก็ยังรู้สึกมีความสุขอยู่ดี
จางกงอี้ยืนอยู่ที่เดิม
เขามองหน้าหลี่เคอหมิงด้วยแววตาเคร่งเครียด และถามอย่างตรงไปตรงมา
“อาจารย์หลี่ บอกผมมาตามความเป็นจริงเถอะ คุณสอนเด็กคนนี้มานานแค่ไหนแล้ว?”
“ผมก็บอกไปแล้วไม่ใช่หรือว่าเพิ่งสอนเขาได้แค่ครึ่งเดือนเท่านั้น”
หลี่เคอหมิงตอบกลับไปอย่างอารมณ์ดี
“เป็นไปไม่ได้!” จางกงอี้สะบัดหน้าอย่างแรง “เพิ่งเรียนจริงจังได้ไม่ถึงครึ่งเดือน แล้วจะเก่งขนาดนี้ได้ยังไง?”
“ผมไม่ได้โกหกจริง ๆ นะ” หลี่เคอหมิงตอบ “ซูเย่เป็นเด็กใหม่ที่ไม่ได้เรียนคณะแพทย์แผนจีนโดยตรงด้วยซ้ำ”
พูดมาถึงตรงนี้
คณะอาจารย์ที่ยืนอยู่โดยรอบต่างก็ตะลึงงันไปโดยทันที
ไม่ได้เรียนคณะแพทย์แผนจีนโดยตรง แต่มาเป็นลูกศิษย์ของหลี่เคอหมิงเนี่ยนะ?
ตอนแรกพวกเขาก็เข้าใจว่าซูเย่เป็นนักศึกษาจากคณะแพทย์แผนจีนเสียอีก
เพราะถ้าซูเย่เป็นเด็กจากคณะแพทย์แผนจีน มันก็ยังมีความเป็นไปได้ที่เขาจะใช้เวลาครึ่งเดือนที่ผ่านมา พัฒนาตนเองมาอยู่ในจุดนี้ แต่กับเด็กที่มาจากคณะอื่น นี่คือเรื่องราวที่แทบเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำ
ทุกคนหันมองหน้ากันเลิ่กลั่ก ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตา พวกเขาต่างก็สงสัยขึ้นมาทันทีว่า มันจะเป็นไปได้หรือที่เด็กจากคณะอื่นจะเอาชนะคนที่มาจากคณะแพทย์แผนจีนโดยตรงได้สำเร็จ?
“ฮ่าฮ่า หมดกัน”
จางกงอี้พลันระเบิดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความชอบใจ “งั้นเขาก็ไม่มีประสบการณ์ในการวินิจฉัยโรคน่ะสิ ไม่ว่าจะเป็นการตรวจคนไข้ การจำแนกชนิดยา การคํานวณปริมาณยาให้เหมาะสมสำหรับคนไข้แต่ละคน ต่อให้มีความทรงจำดีเลิศเหมือนยอดมนุษย์ แต่การวินิจฉัยโรค และเขียนใบสั่งยาให้ถูกต้อง มันคือสิ่งที่ไม่สามารถทำได้ในเวลาแค่ครึ่งเดือนหรอกนะ”
ได้ยินดังนั้น อาจารย์หลายท่านก็พยักหน้าเห็นด้วย
สำหรับในวงการแพทย์แผนจีน เวลาเพียงหนึ่งเดือนถือว่าสั้นมาก นับประสาอะไรกับเวลาเพียงครึ่งเดือน และด้วยเวลาเตรียมตัวเพียงเท่านี้ ต่อให้เป็นนักศึกษาแพทย์ระดับอัจฉริยะเรียกพี่ ก็ไม่มีทางสอบใบอนุญาตของสมาคมแพทย์แผนจีนผ่านเด็ดขาด
เพราะส่วนสำคัญที่สุดในการสอบครั้งนี้ คือการสอบส่วนที่สามต่างหาก
หากไม่สามารถวินิจฉัยคนไข้ได้อย่างถูกต้อง ความยอดเยี่ยมทั้งหมดที่ซูเย่ทำได้สำเร็จในการสอบสองรอบก่อนหน้านี้ ก็จะสูญเปล่าไปในพริบตา
หลี่เคอหมิงก็รู้ดีถึงข้อนี้เช่นกัน
เพราะสิ่งที่เขากังวลใจมากที่สุดก็คือการสอบในส่วนของการตรวจโรคนี่แหละ
ในการสอบข้อเขียน และการสอบวัดความรู้ด้านสมุนไพรนั้น ซูเย่สามารถทำได้ดีไม่มีปัญหา เพราะเขามีรากฐานความรู้ที่ดีอยู่แล้ว
แต่ในการสอบรอบต่อไปนี่สิ มันคือการวินิจฉัยโรคคนไข้รวมไปถึงการเขียนใบสั่งยา ซูเย่เพิ่งมีเวลาฝึกฝนได้เต็มที่ประมาณ 13 วันเท่านั้น
“เรามารอดูกันเถอะครับ”
คิดมาถึงตรงนี้ หลี่เคอหมิงก็ลุกขึ้นยืนพูดออกมา ก่อนที่เขาจะเดินลงไปยังชั้นล่างและพบซูเย่นั่งพักผ่อนอยู่ในห้องโถงกระจก
ในเวลาเดียวกันนั้น
เหออี้เฉินก็ส่งกระดาษข้อสอบมาแล้วเช่นกัน
เมื่อข้อสอบถูกส่งมาตรวจ จางกงอี้กวาดสายตามองคำตอบจากลูกศิษย์ของตนเอง เมื่อตรวจสอบดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีสิ่งใดผิดพลาด เขาก็เดินลงมาชั้นล่าง และตามมาสมทบกับเหออี้เฉิน
“อาจารย์ครับ”
เหออี้เฉินเดินเข้ามาหาจางกงอี้
“ว่าไง”
จางกงอี้พยักหน้า
“คนที่ชื่อซูเย่อะไรนั่นทำคะแนนได้ดีไหมครับ?”
เหออี้เฉินถามออกมาน้ำเสียงเคร่งเครียด
“วันนี้เธอเจอศัตรูตัวฉกาจเข้าให้แล้วล่ะ”
จางกงอี้ตบไหล่ผู้เป็นลูกศิษย์เล็กน้อย ก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ “การสอบสองส่วนที่ผ่านไป เขาทำคะแนนได้ดีมาก แน่นอนว่าของเธอก็ทำได้ดีเหมือนกัน แต่การสอบรอบต่อไปน่าจะเป็นจุดอ่อนของเขาแล้วล่ะ ว่าแต่เธอเองเถอะ มีความมั่นใจมากแค่ไหน?”
“ผมมั่นใจมากครับ”
เหออี้เฉินพยักหน้าหนักแน่น พูดด้วยน้ำเสียงมั่นใจเปี่ยมล้น “ผมเก่งเรื่องการวินิจฉัยโรคมากที่สุดแล้ว รับรองได้ว่าการสอบรอบต่อไปไม่มีปัญหาแน่นอนครับ”
“ถ้าอย่างนั้นก็ดีแล้ว”
จางกงอี้ยิ้มแย้มและผงกศีรษะให้กำลังใจผู้เป็นลูกศิษย์
ในเวลาเดียวกันนั้น
“การสอบรอบต่อไปจะเป็นการสอบรอบสุดท้าย” หลี่เคอหมิงพูดกับซูเย่ด้วยใบหน้ายิ้มแย้มสบายอารมณ์ “การสอบสองส่วนแรกที่ผ่านมาเธอทำได้ดีมาก ขอแค่การสอบส่วนสุดท้ายเธอทำได้ตามมาตรฐานของตัวเอง ก็คงไม่มีปัญหาอะไร แม้ว่าประสบการณ์ในการตรวจคนไข้ของเธอยังน้อยมาก แต่ขอให้มั่นใจในตัวเองเข้าไว้ ฉันรับรองว่าเธอต้องเป็นผู้ชนะในการสอบครั้งนี้แน่นอน…”
สำหรับผู้เข้าสอบคนอื่น ๆ การสอบไม่ผ่านไม่ใช่เรื่องสำคัญ เต็มที่พวกเขาก็แค่รอมาสอบใหม่ปีหน้าเท่านั้น
แต่ไม่ใช่สำหรับซูเย่
สำหรับพรสวรรค์ที่สูงส่งเช่นนี้ ชายหนุ่มสมควรถูกผลักดันให้เข้าสู่วงการแพทย์แผนจีนโดยเร็วที่สุด หลี่เคอหมิงไม่อยากให้ลูกศิษย์ของตนเองต้องเสียเวลาไปอีกหนึ่งปีเต็ม ๆ โดยเปล่าประโยชน์
ยิ่งเขาสามารถตรวจคนไข้ได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายรวดเร็วเท่าไหร่ ตัวเขาเองก็ยิ่งสามารถช่วยชีวิตผู้คนได้เยอะมากขึ้นเท่านั้น
“เข้าใจแล้วครับ”
ซูเย่พยักหน้า
“การสอบรอบสุดท้ายจะเริ่มตอนบ่ายโมงครึ่ง พวกเราไปหาข้าวกลางวันกินกันก่อนเถอะ” หลี่เคอหมิงพูดพร้อมกับยิ้มกว้าง “ฉันรู้จักร้านอาหารอร่อยๆ แถวนี้อยู่ร้านหนึ่ง พวกเราไปหาอะไรกินที่นั่นกันดีกว่า”
แล้วผู้เป็นอาจารย์กับลูกศิษย์ก็ใช้เวลาช่วงพักกลางวันอยู่ที่ร้านอาหารแห่งนั้น
จวบจนเข็มนาฬิกาเดินมาถึงเวลา 13:30 น.
การสอบส่วนที่สาม และเป็นการสอบส่วนที่สำคัญที่สุดได้เริ่มต้นขึ้น