เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 10 ซูเย่ไปได้ดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
บทที่ 10 ซูเย่ไปได้ดีขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
ลูกพี่ซู?
ทุกคนมองไปทางซูเย่และชายหนุ่มคนนั้นอย่างสนเท่ห์
ซูเย่มองอีกฝ่ายอย่างตะลึง
เฉินเซียนเยว่ นักศึกษาคนรวยประจำมหาวิทยาลัย
“นายมาทำอะไร”
ซูเย่มองเฉินเซียนเยว่และเอ่ยถาม เขาไม่คิดว่าอีกฝ่ายจะปรากฏตัวขึ้นที่นี่
“อ๋อ นี่มันโรงแรมของฉันของ” เฉินเซียนเยว่ว่าพลางยิ้มน้อยยิ้มใหญ่
คุณชายลูกเจ้าของโรงแรม? ทุกคนมองไปที่เฉินเซียนเยว่ด้วยความสงสัยในทันที และยิ่งแปลกใจมากขึ้นที่ซูเย่รู้จักชายหนุ่มผู้มั่งคั่งคนนี้จริงๆ ซึ่งทั้งสองคนดูค่อนข้างสนิทสนมกันไม่น้อย
ใบหน้าของลู่เย่เริ่มแข็งค้างเล็กน้อย แต่เขาก็พยายามปั้นหน้ายิ้มอยู่
ซูเย่พยักหน้าอย่างเข้าใจ ไม่คิดว่าอีกฝ่ายก็อยู่ในเมืองจี้หยวนด้วย หนำซ้ำเขายังเป็นลูกคนรวยที่เก็บงำได้มิดชิด เมื่อพิจารณาจากสถานการณ์ปัจจุบัน เขาดูน่าพึ่งพามากว่าซูชือเล็กน้อย
“ลูกพี่ซู ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ละ”
เฉินเซียนเยว่ถามอย่างสงสัย
“บ้านฉันอยู่จี้หยวนนี่เอง วันนี้มางานเลี้ยงรุ่น”
ซูเย่ยิ้มพลางเอ่ย
“ลูกพี่ก็อยู่จี้หยวนเหมือนกันเหรอ!”
เฉินเซียนเยว่ผงะไปครู่หนึ่ง ทันใดนั้นก็นึกถึงบางสิ่ง ดวงตาของเขาเบิกกว้าง “ลูกพี่ซูเป็นนักเรียนอัจฉริยะที่สอบเลื่อนชั้นในเมืองของเราเมื่อสองสามปีก่อนใช่ไหม คนนั้นก็ชื่อว่าซูเย่ น…นะ..นั่นคือลูกพี่งั้นเหรอ??”
ซูเย่ยิ้มและพยักหน้า
“สุดยอด สมแล้วที่เป็นลูกพี่ซู ที่แท้ก็เก่งมาตั้งแต่เด็ก! นับถือนับถือ!”
เฉินเซียนเยว่ยกนิ้วให้ซูเย่ จากนั้นเหลือบมองเพื่อนร่วมชั้นรอบๆ และพูดกับซูเย่ทันทีด้วยรอยยิ้ม “นานทีจะได้พบกัน อาหารมื้อนี้ฉันเลี้ยงเอง สั่งอะไรก็ได้ที่ต้องการ ฉันจะไปกำชับในครัวให้ และมั่นใจได้ว่าบริการทุกระดับประทับใจ!”
เมื่อทุกคนได้ยินก็ตกตะลึง
เลี้ยงเลยเหรอ? ความสัมพันธ์ของพวกเขาคงดีไม่น้อย?
รอยยิ้มบนหน้าของลู่เย่จางหายไป ตัวเองออกเงินเลี้ยง แต่ลูกเจ้าของโรงแรมกลับออกหน้าให้ซูเย่
นี่มันซีนของใครกันแน่!
เขาคิดวางแผนมาอย่างดีเพื่อเสริมบารมีให้ตัวเอง ตอนนี้กลายเป็นของซูเย่ไปแล้ว?
เมื่อมองเห็นสายตาของหลี่มู่เสวี่ยที่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ ใบหน้าเขายิ่งบิดเบี้ยวมากกว่าเดิม
ซูเย่ส่ายหน้า เตรียมจะบอกปัด
“อย่าปฏิเสธเลยน่า”
เฉิยเซียนเยว่กล่าวพร้อมรอยยิ้ม “ลูกพี่ไม่ใช่ว่าเพิ่งเหมาร้านเลี้ยงข้าวฉันที่ภัตตาคารหมิงหูหรือไง ถือว่าฉันเลี้ยงคืนแล้วกัน ถ้าลูกพี่ไม่สบายใจ ถึงเวลาก็ดูแลกันดีๆ หน่อยก็พอ”
ซูเย่ส่ายหน้ายิ้มๆ รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร
“ได้”
“โอเค งั้นก็ไม่รบกวนแล้ว”
เฉินเซียนเยว่หยักหน้ายิ้มน้อยยิ้มใหญ่ “ฉันจะกำชับพนักงานให้ดี ต้องการอะไรบอกพวกเขาได้เลย ลูกพี่ซู ไว้นายว่างๆ เราก็จัดงานเลี้ยงกันบ้างเถอะ”
“ได้สิ” ซูเย่พยักหน้ารับ
เฉินเซียนเยว่ยิ้มรับ แล้วหันกายเดินเข้าไปในโรงแรม เห็นเพียงเขาเดินเข้าไปหาผู้จัดการในล็อบบี้โรงแรมชี้นิ้วสั่งอยู่ครู่หนึ่ง ส่วนผู้จัดการก็พยักหน้ารับ
ในเวลาไม่นาน พนักงานกลุ่มก็หนึ่งกรูเข้ามาทำการต้อนรับอย่างเอิกเกริกที่หน้าประตู
“ยินดีต้อนรับครับ/ค่ะ”
ฉากนี้ไม่เพียงทำให้เพื่อนๆ ของซูเย่ตกตะลึงเท่านั้น แต่คนที่อยู่บริเวณโดยรอบต่างก็ประหลาดใจ
อี้ผิ่นเซวียวเคยต้อนรับแขกอย่างเอิกเกริกแบบนี้เสียที่ไหน ทุกคนมองกลุ่มของซูเย่อย่างพินิจพิจารณา
เด็กกลุ่มนี้เป็นใครกัน?
เพื่อนๆ ทุกคนต่างมองซูเย่อย่างประหลาดใจ
ตอนแรกคิดว่าเขาแค่รู้จักกับคุณชายลูกเจ้าของโรงแรม แต่ดูไปดูมาเหมือนว่าคงจะสนิทกันไม่น้อย!
ทว่าตอนนี้ดูแล้วไม่เพียงแค่สนิทกันเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าเขาจะมีเรื่องขอร้องต่อซูเย่ด้วย
นี่ซูเย่ไปได้สวยขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
เขาเรียนอยู่ตลอดไม่ใช่เหรอ?
“นี่ๆ”
เพื่อนคนหนึ่งเดินขึ้นมารั้งแขนของซูเย่ไว้ “ซูเย่ นายไปรู้จักคุณชายลูกเจ้าของโรงแรมได้ยังไงกัน?”
“รู้จักกันที่มหาวิทยาลัย”
ซูเย่เอ่ยตอบ ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม
แต่บนหน้าของเพื่อนแต่ละคนราวกับเขียนตัวอักษร ‘ไม่เชื่อ’ อยู่บนใบหน้า
รู้จักกันที่มหาวิทยาลัย?
ใครจะไปเชื่อ? ที่มหาวิทยาลัยจะไปรู้จักเพื่อนดีๆ แบบนี้ได้ตรงไหน
นี่แค่เจอหน้ากัน ก็เลี้ยงคนอีกสิบกว่าคน นี่คือสิ่งที่เพื่อนที่มหาวิทยาลัยจะทำงั้นเหรอ?
ซูเย่เดินเข้าประตูอี้ผิ่นเซวียน
“งั้นมื้อนี้ถือว่าซูเย่เลี้ยงแล้วกันนะ”
ลู่เย่กล่าวกับเพื่อนคนอื่นๆ อย่างกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แล้วเดินเข้าไปพร้อมหลี่มู่เสวี่ย
คนอื่นๆ ก็เดินตามกันเข้าไป แล้วพูดเสียงเบา
“นึกไม่ถึงว่าซูเย่ที่ไม่เสียงดังกระโตกกระตากจะมีเส้นสายกว้างขวางแบบนี้”
“มื้อนี้อยากน้อยก็หนึ่งหมื่น บอกว่าเลี้ยงง่ายๆ แบบนี้เลยเหรอ? แล้วภัตตาคารหมิงหูที่พูดเมื่อกี้ ใช่ร้านในเมืองจี้หยางที่กำลังเป็นกระแสรึเปล่า ภัตตาคารหมิงหูที่จะจองคิวต้องรอยาวหลายวัน? …แต่ร้านนั้นกลับหยุดชั่วคราวเพราะซูเย่ไปกินข้าว?”
“เกินไปรึเปล่า”
เถ้าแก่ภัตตาคารหมิงหูปิดร้านชั่วคราวเพื่อซูเย่ คุณชายแห่งอี้ผิ่นเซวียนเห็นแก่หน้าซูเย่เลยเลี้ยงเพื่อนร่วมชั้นของเขา?
….นี่ซูเย่เป็นคนใหญ่คนโตตั้งแต่เมื่อไหร่กัน เขาเป็นแค่นักศึกษาจริงหรือเปล่า?!
เมื่อได้ยินคำวิจารณ์จากเพื่อนด้านหลัง ใบหน้าของลู่เย่ยิ่งบิดเบี้ยวมากกว่าเดิม แม่งเอ้ย คิดมาซะดิบดี กลายเป็นซีนของคนอื่นไปได้!
สายตาของโจวจวิ้นถิงที่มองซูเย่ที่อยู่ด้านหน้ามีประกายความแปลกใจ
ไม่คิดว่าซูเย่จะเป็นคนมีหน้ามีตาขนาดนี้!
ผู้จัดการเดินนำทุกคนมายังห้องโถง
“ที่จองไว้ไม่ใช่ห้องนี้นี่”
ลู่เย่มองห้องที่ดีที่สุดแล้วพูดอย่างฉงน
“คุณชายของพวกเราเป็นคนกำชับมาว่าให้เปลี่ยนครับ”
ผู้จัดการกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
ทุกคนเข้าใจทันที แล้วมองไปทางซูเย่ด้วยสายตาที่แตกต่างไปจากเดิมมาก
ส่วนใบหน้าของลู่เย่ยิ่งบิดเบี้ยวน่าเกลียดมากกว่าเดิม ทว่าเขาก็ทำได้เพียงปั้นหน้าฝืนยิ้ม
ทุกคนนั่งลงพร้อมกัน มองสำรวจการตกแต่งภายในห้อง บางคนถึงกับยกโทรศัพท์ขึ้นมาถ่ายรูป โพสต์ลงโมเมนต์ในวีแชท
ด้วยการเตรียมการของเฉินเซียนเยว่ อาหารมาเสิร์ฟด้วยความรวดเร็ว ในเวลาไม่นาน อาหารก็วางเรียงรายเต็มโต๊ะ
ทุกคนทานอาหารอย่างมีความสุข และเมื่อกินได้ไปได้สักพัก ทุกคนก็เริ่มรินเหล้า ยกแก้วดื่มกัน
หลังดื่มไปได้ไม่กี่แก้ว
“ซูเย่ นายรู้จักกับคุณชายน้อยของอี้ผิ่นเซวียนได้ยังไง ไม่ใช่ว่านายเรียนอยู่เหรอ”
ในตอนนี้มีเพื่อนคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นอย่างสงสัย
“นั่นน่ะสิ บอกพวกเราหน่อยเถอะ รู้จักกันได้ยังไง ไม่ใช่รู้จักกันที่มหาวิทยาลัยแน่ๆ”
คนอื่นๆ ก็หยุดความอยากรู้อยากเห็นของตัวเองไม่ได้อีกต่อไป
“ที่จริงก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษหรอก พวกเรารู้จักที่มหาวิทยาลัยจริงๆ” ซูเย่เอ่ยตอบ
“จริงสิ แล้วเมื่อก่อนไม่ใช่ว่าเรียนแพทย์แผนปัจจุบันเหรอ ทำไมตอนนี้เรียนแพทย์แผนจีนแล้วละ”
เพื่อนอีกคนเอ่ยถามขึ้น
เมื่อคำถามนี้หลุดออกมา หลี่มู่เสวี่ยที่กำลังยกแก้วเครื่องดื่มพลันผงะไป ใบหน้าแข็งค้าง
“เพราะว่าชอบน่ะ”
ซูเย่ตอบยิ้มๆ
“งั้นสิ่งที่นายชอบก็มีเยอะดีนะ”
“ฮ่าฮ่า”
ทุกคนกินข้าวไปคุยกันไปอย่างมีความสุข
ระหว่างนั้นลู่เย่ไม่ได้เอ่ยปากพูดแม้แต่คำเดียว ทุกคนหัวเราะ เขาก็ฝืนหัวเราะตาม แต่ในใจของเขามีความโมโหสุ่มอยู่ ยิ่งคิดก็ยิ่งโมโห
แต่เดิมอยากจะเหยียบย่ำซูเย่ แสดงว่าตัวเองประสบความสำเร็จมากแค่ไหนต่อหน้าหลี่มู่เสวี่ย คิดไม่ถึงว่าแผนของตัวเองจะพลิกกลับตาลปัตรแบบนี้
แถมยังกลายเป็นซูเย่ได้หน้า แม่งเอ้ย ถ้ารู้แต่แรกก็ไม่มาแล้ว!
“ไม่ได้การ ต้องหาซีนกลับมาให้ได้ ถ้าไม่ได้แล้วจะจีบหลี่มู่เสวี่ยได้ยังไง”
เมื่อกินข้าวเสร็จ พวกเขาก็พากันเดินออกจากโรงแรมอี้ผิ่นเซวียน
“เพื่อนๆ”
ลู่เย่ที่นั่งเงียบมาตลอดพูดขึ้นอย่างกะทันหัน “นานทีจะได้รวมตัวกัน ตอนนี้ยังไม่ดึกมากนัก เราไปร้องคาราโอเกะกันเถอะ ดีไหม?”
เมื่อพูดจบ ก็ไม่รอให้คนอื่นพูดอะไร ชี้ออกไปที่ป้ายขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ไกลออกไป “เห็นป้ายร้านคาราโอเกะตรงนั้นไหม ร้านที่หรูสุดในเมืองเรา เป็นของเพื่อนฉันเอง ไปด้วยกันเถอะ”
ขณะพูดก็ชี้ชวนให้ทุกคนมุ่งหน้าไปยังร้านคาราโอเกะ ซึ่งทุกคนก็คิดว่านานๆ ทีจะเจอกัน และตอนนี้ยังไม่ดึกมากนักเพิ่งจะสองทุ่มเท่านั้น ยังไม่ควรจะกลับไปเร็วขนาดนี้ จึงเดินตามลู่เย่ไปที่ร้านคาราโอเกะ ส่วนลู่เย่ขณะเดินไป เขาก็ได้ต่อสายหาเพื่อนของเขาให้จัดการให้เรียบร้อย
ในเวลาไม่นาน คนทั้งหมดก็มาถึงร้านคาราโอเกะ และด้วยการนำทางของเพื่อนของลู่เย่ ทุกคนจึงมุ่งหน้าไปยังห้องที่เหมาไว้
แต่ปรากฏว่า เมื่อมาถึงหน้าประตูก็เจอคนกลุ่มหนึ่งกำลังก่อเรื่อง
วัยรุ่น 7-8 คน ดื่มจนเมาหน้าดำหน้าแดง กำลังทะเลาะเสียงดังหน้าประตู
“ไม่เป็นไร ฉันไปจัดการเอง พวกคุณเข้าไปก่อนเถอะ”
เมื่อเห็นคนมาก่อนเรื่อง เพื่อนของลู่เย่พลันพูดขึ้น แล้วมุ่งหน้าไปยังเบื้องหน้าคนที่มาก่อเรื่อง
ทุกคนก็รู้ดีว่าพวกที่มาร้องเพลงกินเหล้าจนเมาแล้วก่อเรื่องที่ร้านมีเป็นประจำ ทุกคนจึงไม่สนใจอะไรมาก แล้วเตรียมเดินเข้าไปในห้อง
เพิ่งเดินมาถึงหน้าห้อง กลุ่มชายที่กำลังก่อเรื่องก็พุ่งมาขวางหน้าประตู หนึ่งในนั้นจับข้อมือของหลี่มู่เสวี่ยเอาไว้ แต่หลี่มู่เสวี่ยหลบทันควัน ทั้งยังมองชายที่มีกลิ่นเหล้าหึ่งด้วยสายตารังเกียจ
“เธอ มานี่ ฉันบอกให้มานี่!”
ลู่เย่กำลังจะเดินไปบังด้านหน้า แต่ถูกชายคนนั้นผลักออก และในตอนที่กำลังจะเดินขึ้นไปอีกครั้ง ก็ได้มีเพื่อนดึงแขนเอาไว้ แล้วกล่าวเสียงเบา “คนพวกนี้ไม่ควรมีเรื่องด้วย”
ลู่เย่หน้าถอดสี ไม่ขยับขึ้นไปอีก
“คุณชายท่านนี้ เธอเป็นแขกของทางร้าน ไม่ใช่เด็กในร้าน”
เพื่อนของลู่เย่เข้าไปแก้สถานการณ์อย่างเต็มกำลัง
“ฉันไม่สน ฉันบอกว่าให้เธอมาไง” คนก่อเรื่องชี้นิ้วไปยังหลี่มู่เสวี่ย ขณะพูดมีกลิ่นเหล้าคละคลุ้ง
“เธอเป็นแขกของทางร้านจริงๆ นะครับ”
อีกฝ่ายกล่าวพร้อมรอยยิ้มอย่างใจเย็น แต่ในใจเขายิ้มขื่น เพราะคนพวกนี้ไม่ใช่คนที่เขาควรจะมีเรื่องด้วย!
แล้วจึงหันไปบอกทุกคนว่าให้เดินเข้าไปในห้องก่อนได้เลย “พวกคุณเข้าไปก่อนเถอะ”
เมื่อทุกคนได้ยินก็เตรียมกรูเข้าไปในห้อง
“ไม่ได้ ใครก็ห้ามไปทั้งนั้น!”
คนกลุ่มนั้นเดินเข้ามาขว้างทางไว้
ในใจของทุกคนเกิดความสับสน แต่เดิมก็เป็นเพียงนักศึกษาที่เพิ่งออกจากรั้วมหาวิทยาลัยได้ปีสองปี ต่างเป็นเด็กที่มีการศึกษา เมื่อเจอสถานการณ์เช่นนี้จึงไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร
“ให้เธออยู่นี่”
หลี่มู่เสวี่ยมองไปทางลู่เย่อย่างตื่นตกใจ ส่วนลู่เย่เพียงเดินขึ้นมา แต่ไม่ได้พูดแม้สักคำ
เมื่อเห็นดังนั้น ซูเย่ก็ยกยิ้มมุมปาก ลู่เย่ดูเหมือนคนมุทะลุ แต่พอเจอเรื่องจริงๆ ก็ไม่กล้าพูดอะไร ทว่าพอคิดดูแล้วก็พอจะเข้าใจได้ พวกคนที่เพิ่งเปิดธุรกิจก็มักจะเป็นแบบนี้กัน เพราะไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ต้องคิดเป็นกังวลว่าเรื่องที่เกิดขึ้นจะกระทบกับธุรกิจของตัวเองหรือไม่
“หลบหน่อย”
ซูเย่เดินขึ้นไปทันที ยืนบังหน้าหลี่มู่เสวี่ย มองไปยังคนที่มาก่อกวนอย่างเย็นชา
“แกเป็นใคร? หลบไปซะ”
คนก่อเรื่องคำรามลั่น ยกมือขึ้นเตรียมจะผลักซูเย่ออกไป เพิ่งยกมือขึ้นมา แต่เมื่อเห็นใบหน้าของซูเย่ เขาก็ผงะไป
“เจ้าเวรกรรม?”
“นายคือเจ้าเวรกรรม?”
คนนั้นจ้องไปที่ซูเย่ครู่หนึ่ง แล้วยกมือขยี้ตาตัวเอง แล้วมองใหม่อีกครั้ง เมื่อดูอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วก็ตะโกนออกมาอย่างประหลาดใจ “ไม่ผิดแน่ เป็นนายจริงๆ”
“ฉัน ฉันเป็นแฟนคลับของนาย!”
คนนั้นพลันรู้สึกตื่นเต้นจนพูดติดอ่าง
“ฉันเป็นหนึ่งในหมื่นคนที่ติดตามนาย แต่เสียดายที่ไม่ได้อยู่ถึงสุดท้าย!”
“สวัสดีท่านเทพ ในที่สุดฉันก็ได้เจอนายตัวเป็นๆ”
เขาจับมือของซูเย่ แทบจะกระโดดด้วยความดีใจ
“เร็วเข้าๆ เอากระดาษกับปากกามา”
ด้วยความตื่นเต้นมากเกินไป เขาจึงหันไปพูดกับเพื่อนของลู่เย่ “ฉันอยากได้ลายเซ็นของท่านเทพ เร็วเข้า!”
ฉากที่ปรากฏเบื้องหน้า ทำให้เพื่อนร่วมชั้นทุกคนที่เห็นต่างตะลึงพรึงเพริด
ทำไมถึงมีคนรู้จักอีกแล้ว?