เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 17 ซูเย่ คะแนนเต็ม!
บทที่ 17 ซูเย่ คะแนนเต็ม!
ซูเย่เดินไปยังตำแหน่งกลางเวที พิธีกรก็ยังคงพูดแนะนำต่อ เนื้อหาทั้งหมดเกี่ยวกับรายการอนาคตแพทย์จีน เห็นได้ชัดว่าเป็นการช่วยประชาสัมพันธ์และช่วยอย่างออกนอกหน้ามากอีกด้วย
หลังจากแนะนำตัว พิธีกรก็หันศีรษะไปทางซูเย่แล้วเอ่ยถาม “นักศึกษาซูเย่ คุณพร้อมไหมคะ”
“พร้อมแล้วครับ”
ซูเย่พยักหน้ารับ
“งั้นเรามาเริ่มกันต่อเลยนะคะ”
พิธีกรยิ้มพลางยกมือโบกเป็นสัญญาณเริ่มการแข่ง
“ข้อแรก ประโยค ‘แสงจันทร์กระจ่างหน้าเตียง’ ของหลี่ไป๋ คำว่า ‘เตียง’ หมายถึงอะไร”
“ขอบกั้นบ่อน้ำ”
ซูเย่พูดขึ้นมาทันที พิธีกรผงะค้าง ไม่ฟังตัวเลือกแต่แย่งตอบเลยงั้นเหรอ ?
พวกแย่งตอบมาอีกแล้ว! ที่ผู้เข้าแข่งคนอื่น ๆ ต้องใส่หูฟังไว้ก็เพราะคนแบบนี้ไง!
เมื่อตรวจดูที่กระดาษคำตอบก็เห็นว่าตอบถูกต้อง
“ยินดีด้วยค่ะ คำตอบถูกต้อง”
เมื่อผู้เข้าแข่งร้อยคนตอบเรียบร้อย คำตอบที่ถูกต้องก็ปรากฏบนหน้าจอ คำตอบคือขอบกั้นบ่อน้ำจริง ๆ !
ปึง! ปึง! ปึง! …
มีไฟถูกดับถึง 20 ดวง หมายความว่าคน 20 คนหมดสิทธิ์ตอบคำถามข้ออื่น
ผู้รับชมจากห้องอัดส่งเสียงร้องอย่างตกตะลึง ตอบผิดเยอะขนาดนี้เลยงั้นเหรอ แต่เมื่อคิดว่าถ้าตัวเองเป็นคนตอบ ก็คงตอบผิดเช่นกัน
“ข้อที่สอง ในประวัติศาสตร์ห้าพันปีของจีนได้กำเนิดนักคิดนักปรัชญามากมาย ประโยคที่ว่า ‘ตกปลาไม่ทอดแห่ ไม่ยิงนกที่บินกลับรัง’ เป็นของผู้ใด?”
“A.ข่งจื่อ”
“B.ซวินจื่อ”
“C.ม่อจื่อ”
พิธีกรกลัวว่าซูเย่จะแย่งตอบโดยไม่ฟังตัวเลือกอีก จึงพ่นคำถามและตัวเลือกออกมาพร้อมกันโดยไม่เว้นหยุดหายใจ
“ข้อ A ครับ”
ซูเย่ตอบทันที
“คำตอบถูกต้อง!”
ปึง! ปึง! ปึง!…
มีคนถูกปิดไฟ 8 คน
เพียงแค่สองคำถามเท่านั้น ซูเย่ก็ได้รับไป 28 คะแนนแล้ว
“ข้อที่สาม ในสมัยโบราณมีหน่วยวัดที่หลากหลาย อย่างเช่นในประโยคของบทกวีนี้ ‘หวงเหอแลดูเหมือนว่าไหลลงมาจากบนเมฆาขาว อวี้เหมินกวนตั้งตระหง่านบนภูเขาสูงหมื่นเริ่น’ คำถามคือ ‘หนึ่งเริ่น’ มีความยาวเท่าไหร่?”
“A.ประมาณความสูงของผู้ใหญ่”
“B.ประมาณความยาวแขนของผู้ใหญ่”
“เหล่าเฉิน!”
จ้าวเหมียนทันทีที่เห็นคำถามนี้ เขาก็หันไปมองเฉินหลี่ซ่างทันที กล่าวเสียงต่ำ “นี่มันคำถามบ้าบออะไร สามคำถามแรกของคนอื่น ๆ ไม่เห็นยากแบบนี้เลย แกตั้งใจใช้ไหม”
“ไม่ใช่นะ”
เฉินหลี่ซ่างกระอักกระอ่วนใจเล็กน้อย เขาไม่ใช่คนออกคำถาม แต่คำถามนี้ยากเกินไปจริง ๆ บ้าเอ้ย! กลับไปต้องจัดการทีมออกคำถามสักหน่อยแล้ว ไม่รู้หรือไงว่านี่คือรายการพิเศษน่ะ แล้วไม่ว่ายังไงก็ต้องไว้หน้าคนจากรายการช่องเดียวกันบ้างสิ
“วางใจเถอะแรก ๆ ก็ยากแบบนี้แหละ ข้อหลัง ๆ เดี๋ยวก็ง่ายแล้ว”
เฉินหลี่ซ่างกล่าวพร้อมยิ้มอย่างขอโทษขอโพย
จ้าวเหมียนพยักหน้าทั้งที่คิ้วยังขมวดมุ่น แล้วหันไปมองซูเย่บนเวที
“ผมเลือกข้อ A ครับ”
ระหว่างที่สองคนกำลังคุยกันซูเย่ก็ได้ตอบคำถามเรียบร้อยแล้ว
“ไม่เปลี่ยนใจนะคะ”
พิธีกรมองไปทางซูเย่
“ไม่ครับ”
ซูเย่พยักหน้าหนักแน่น
“นักศึกษาซูเย่มีความมั่นใจดีจริง ๆ นะคะ”
พิธีกรยิ้มพลางเอ่ยกับทุกคน วินาทีต่อมา “ยินดีด้วย คำตอบถูกต้อง!”
ปึง! ปึง! ปึง!…
มีคนถูกปิดไฟไปอีก 10 คน
สามข้อได้ไป 38 คะแนน
“ข้อที่สี่ ข้อใดต่อไปนี้ไม่ใช่ชื่อเรียกอีกชื่อของเป่ยจิง?”
“A.ต้าตู”
“B.จงตู”
“C.ซ่างตู”
“D.หนานจิง”
เมื่อได้ยินคำถาม เฉินหลี่ซ่างกล่าวพร้อมรอยยิ้มทันที “นี่ไง ไม่ยากแล้วใช่ไหม”
จ้าเหมียนพยักหน้าพอใจ
วินาทีถัดมา ซูเย่กล่าว “ผมเลือกข้อ C ครับ”
พรึ่บ!
จ้าวเหมียนหันหน้าไปมองบนเวทีอย่างแรง
เมื่อกี้เขาได้ยินว่าอะไรนะ คำถามง่ายๆ แบบนี้ ทำไมถึงตอบ C ไม่ใช่ข้อ D งั้นเหรอ ไม่ใช่หนานจิงงั้นเหรอ ?
“ยินดีด้วย”
พิธีกรมองไปทางซูเย่ แล้วกล่าว “คำตอบถูกต้อง!”
ปึง! ปึง! ปึง!…
มีคนถูกปิดไฟ 30 คน
แค่สามข้อก็ได้ 68 คะแนนแล้ว!
“อะไรนะ”
ทุกคนต่างฉงนใจ
คำถามข้อเดียวตอบผิดตั้งหลายคน และที่น่าตกใจกว่านั้นคือคำตอบไม่ใช่ข้อ D เป่ยจิงเคยเรียกว่าหนานจิงตอนไหน ?
พิธีกรช่วยอธิบายทันที “ตั้งแต่ปีคริสต์ศักราช 938 โยวโจวที่ปัจจุบันตั้งอยู่ที่กว่างอันเหมิน ‘เป่ยจิง’ จึงถูกเลื่อนเป็นเมืองหลวงแห่งที่สองของราชวงศ์เหลียว ถูกขนานนามว่าหนานจิงซีจินฝู ดังนั้นเป่ยจิงจึงเคยถูกเรียกว่าหนานจิงมาก่อนค่ะ”
เมื่อได้ฟังคำอธิบาย ทุกคนพลันกระจ่างแจ้ง เป่ยจิงเคยถูกเรียกว่าหนานจิง… แล้วสายตาทุกคู่ก็มองไปทางซูเย่ทันที ผู้ท้าชิงคนนี้มีความรู้กว้างขวางมาก
ล่างเวที จ้าวเหมียนมองไปทางเฉินหลี่ซ่างทันทีพลางเอ่ยถามเนิบนาบ “แกไม่ได้บอกว่าง่ายงั้นเหรอ”
“เอ่อ…”
เฉินหลี่ซ่างกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ข้อนี้ยากกว่าข้อก่อนหน้าเสียอีก…
“ต่อไปก็ไม่ยากแล้ว…”
ในใจเขาได้ด่าทีมออกคำถามไปเรียบร้อยแล้วหนึ่งยก
“คำถามข้อที่ห้า ประโยค ‘สองท่อนเขียนสามปี ยามขับขานน้ำตารินไหล’ ของเจี่ยเต่ามาจากบทกวีใด”
“A.เดินริมหนองน้ำมีเงาเคียง พฤกษาเรียงรายข้างกายกัน”
“B.ปักษากลับรังข้างบึงกว้าง ตัวเรากางแขนเคาะประตูใต้แสงจันทร์”
“ผมเลือกข้อ A”
มีไฟดับอีกเจ็ดดวง
นี่เพียงแค่ห้าคำถามเท่านั้น ซูเย่ได้รับไปแล้ว 75 คะแนน คะแนนสูงที่สุดในหมู่ผู้ท้าชิง
คุณครูที่นั่งพักอยู่บนเวทียิ้มอย่างขมขื่นใจ เสียโอกาสในการแข่งขันท้าชิงผู้ชนะไปเสียแล้ว
พิธีกรเหลือบมองซูเย่อย่างสงสัย เธอสงสัยเล็กน้อยว่านักศึกษาแพทย์แผนจีนคนนี้จะสามารถไปได้ไกลแค่ไหนและได้คะแนนเท่าไหร่
จ้าวเหมียนถอนหายใจด้วยความโล่งอก โอเค ภารกิจเสร็จแล้ว อย่างไรก็ตาม ถ้าเขาสามารถทำได้ดีกว่านี้ ก็จะดีมาก
“คำถามข้อที่หก ‘หลู่ทะยานเร็วราวม้าศึก เสียงธนูราวเสียงอัสนี’ คำว่า “หลู่” หมายถึงอะไร A…”
“ม้า”
“คำตอบตอบถูก!”
……
ข้อที่หก ตอบผิด 3 คน
ข้อที่เจ็ด ตอบผิด 5 คน
ข้อที่แปด ตอบผิด 7 คน
ข้อที่เก้า ตอบผิด 5 คน
ในตอนท้ายของคำถามทั้งเก้า มีเพียงห้าคนที่เหลืออยู่จากผู้เข้าแข่งจำนวนหนึ่งร้อยคน และซูเย่ทำคะแนนได้อย่างน่าอัศจรรย์ ตอนนี้เขาได้ 95 คะแนนแล้ว!
“คำถามสุดท้าย”
พิธีกรมองซูเย่ด้วยสายตาประหลาดใจ เป็นเวลานานแล้วที่ไม่มีใครตอบคำถามที่สิบ เป็นเวลานานแล้วที่ไม่มีใครได้คะแนนสูงเช่นนี้ ผู้เข้าแข่งร้อยคนในที่นี้ล้วนเป็นนักกวี แต่พวกเขาตอบผิดไปหลายคนขนาดนี้ แสดงให้เห็นว่าความสามารถของซูเย่นั้นลึกล้ำมากจริง ๆ
“ประโยค ‘หนึ่งถามสามไม่รู้’ จากตำราจั่วจ้วน ‘สามไม่รู้’ หมายถึงไม่รู้สิ่งใด ?”
“A.ดาราศาสตร์ ภูมิศาสตร์ วรรณคดี”
“B.จุดเริ่มต้นของเรื่องราว ขั้นตอน ผลสรุป”
“C.ข่งจื่อ เมิ่งจื่อ เหล่าจื่อ”
“D.ชื่อแซ่ของตัวเอง ภูมิลำเนา เวลาตกฟาก”
“ผมเลือกข้อ B”
ซูเย่เอ่ยตอบ
“คุณแน่ใจไหมคะ”
“แน่ใจครับ”
“คุณไม่อยากเปลี่ยนคำตอบนี้จริง ๆ หรือคะ”
“ไม่เปลี่ยนครับ”
“นี่เป็นคำถามสุดท้ายแล้ว คุณคิดดีแล้วใช่ไหมคะ ?”
พิธีกรยังคงถามซ้ำ ดูเหมือนจะสื่อถึงอะไรบางอย่าง ผู้ชมต่างต้องการให้ซูเย่ตอบคำถามสุดท้ายอย่างถูกต้อง แต่พวกเขารู้สึกว่าซูเย่ไม่เข้าใจคำแนะนำของพิธีกร และอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเล็กน้อย
“คิดดีแล้วครับ”
ซูเย่ส่ายหัวและยิ้ม
พิธีกรมองซูเย่อย่างจริงจัง แล้วยิ้มออกมาพลางประกาศเสียงดัง “ยินดีด้วย คำตอบถูกต้อง!”
คำตอบถูกต้องแล้วใช่ไหม ?
มีเสียงปรบมือดังสนั่นจากผู้ชม
มุกเดิม ๆ ของพิธีกร แต่โชคดีที่ซูเย่ไม่หลงกล!
“เรามาดูกันว่าคะแนนรวมของซูเย่คือเท่าไหร่ ?”
เมื่อพิธีกรพูดถึงคะแนน กล้องและทุกคนในห้องอัดก็หันศีรษะมองไปทางทีมผู้เข้าแข็งขัน 100 คนทันที
วินาทีถัดมา
ปึง! ปึง! ปึง!…
ห้าคนที่เหลือจากหนึ่งร้อยคนถูกดับไฟหน้าแท่น ไฟหน้าแท่นของผู้เข้าแข่งขันทุกคนดับลง พลันเกิดเสียงวิจารณ์ต่าง ๆ นานา
คะแนนเต็ม… คะแนนเต็มงั้นเหรอ!!
“ขอแสดงความยินดีกับนักศึกษาซูเย่ คะแนนรวม 100 คะแนน!”
พิธีกรประกาศเสียงดังพร้อมกับปรบมือ สายตาที่มองไปยังซูเย่เต็มไปด้วยความตกใจ นี่เป็นคะแนนเต็มครั้งแรกและผู้เข้าแข่งขันคนแรกที่ผ่านสิบคำถามตั้งแต่เปิดตัวรายการชุมนุมวิชาการมาหลายซีซัน!
มีเสียงปรบมือดังสนั่นจากผู้ชม ปรบมือสำหรับคะแนนที่สมบูรณ์แบบของซูเย่!
ล่างเวที
“ไม่เลวเลยนี่เหล่าจ้าว!”
เฉินหลี่ซ่างปรบมือพลางหันไปมองจ้าวเหมียนที่กำลังปรบมือให้ซูเย่เช่นกัน ตอนแรกเขาคิดว่าผู้ชนะคงจะเป็นอาจารย์คนนั้น จึงคิดไว้แม้กระทั่งคำชื่นชมในวิชาชีพอาจารย์ของเขา
ไม่คิดว่าคนที่ชนะจะเป็นซูเย่!
“นั่นน่ะสิ คนจากรายการของฉันนี่อัจฉริยะจริง ๆ ”
ในยามนี้จ้าวเหมียนกำลังมีความสุข คะแนนเต็มเชียวนะ! เขาสามารถไปรอบถัดไปได้ คลื่นแห่งความทะเยอทะยานเพิ่มขึ้นในใจเขาโดยไม่รู้ตัว สุดท้าย ซูเย่จะสามารถเป็นผู้ชนะได้หรือไม่ ?
หากชายหนุ่มสามารถชนะได้ ซูเย่ก็อาจจะได้ขึ้นการค้นหายอดนิยม ซึ่งแน่นอนว่ามันส่งผลบวกโดยตรงในรายการของเขาด้วย!!
“ทางเราขอขอบคุณผู้ท้าชิงทั้งสี่คน แม้ว่าน่าเสียดายที่คุณไม่สามารถเข้าร่วมในช่วงถัดไปได้ แต่ฉันเชื่อว่าทุกคนได้ประจักษ์ถึงความสามารถของคุณแล้ว ช่วยปรบมือเป็นกำลังใจให้พวกเขาด้วยค่ะ!”
ท่ามกลางกลุ่มผู้ชมล่างเวที มีเสียงปรบมือดังสนั่นอีกครั้งเพื่ออำลาคนทั้งสี่คนเดินลงจากเวที
“ลำดับต่อไปเข้าสู่ช่วงเฟยฮวาลิ่ง”
พิธีกรยิ้มและพูดต่อทันที “ตอนนี้เรามาดูกันดีกว่าว่าใครจะเป็นตัวแทนห้าคนที่ตอบคำถามได้เร็วและแม่นยำที่สุดจากผู้เข้าแข่งขันหนึ่งร้อยคน”
ทันทีที่เสียงพิธีกรสาวจบลง แสงไฟสว่างแวบวาบบนเวที เสียงเพลงกระหึ่ม ไฟห้าดวงในกลุ่มผู้เข้าแข่งขันร้อยคนสว่างขึ้นทีละดวง!
“ขอเชิญผู้เข้าแข่งขันทั้งห้าคนนี้ด้วยค่ะ!”
เมื่อพิธีกรกล่าวจบ ผู้เข้าแข่งขันห้าคนจึงมาที่กลางเวทีตามจุดที่มีเครื่องหมายให้ยืนบนตำแหน่งของตนเองโดยมีเสียงดนตรีและแสงไฟประกอบ ส่วนซูเย่ยังยืนอยู่ในตำแหน่งผู้ท้าชิงของเขาเช่นเดิม
พิธีกรกล่าว “เฟยฮวาลิ่งแต่เดิมเป็นการละเล่นเกี่ยวกับบทกลอนในยามร่ำสุรา เริ่มจากความสนใจในบทกลอนของคนสมัยโบราณ ชื่อเฟยฮวาลิ่ง(ประกาศิตผกาปลิวไสว) มาจากท่อนหนึ่งในบทกลอน ‘เมืองวสันต์ผกาพริ้วปลิวไสวทั่วหนแห่ง’ ของหานหงสมัยราชวงศ์ถัง”
“กล่าวง่าย ๆ ก็คือให้ทุกคนผลัดกันท่องกลอน”
ซูเย่พยักหน้าเบา ๆ เขาเข้าใจกติกาการเล่นเกมนี้
“เงื่อนไงการเล่นเฟยฮวาลิ่งครั้งนี้ จะต้องเลือกบทกวีที่มีสำนวนอยู่ในประโยคด้วย ทุกคนมีเวลาสิบวินาที”
เมื่อพิธีกรกล่าวจบ ทุกคนพลันตะลึงค้าง นี่มันยากไปไหม ต้องมีสำนวนด้วยเนี่ยนะ ปกติไม่ใช่ว่ามีแค่ตัวอักษรตัวเดียวก็พอเหรอ ?
ผู้เข้าแข่งบนเวทีต่างก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย พวกเขารู้ดีว่าการท่องกลอนโดยการกำหนดตัวอักษรตัวเดียวนั้นง่ายไปสำหรับพวกเขา แต่การท่องกลอนที่มีสำนวนอยู่ด้วยเป็นเรื่องยากมาก ในเวลาเดียวกันความคิดของพวกเขาก็พุ่งทะยาน ครุ่นคิดบทกลอนที่มีสำนวนอย่างบ้าคลั่ง
“ผู้เข้าแข่งขันทุกคน พร้อมหรือยังคะ ?” พิธีกรเอ่ยถาม ทั้งหกพยักหน้าทีละคน
“เยี่ยม”
พิธีกรยิ้มพลางโบกมืขวา “เฟยฮวาลิ่ง เริ่ม!”
“นักศึกษาซูเย่เป็นผู้ท้าชิง งั้นก็ให้เขาเป็นคนแรกนะคะ”
“ห้ออาชาไนยลมวสันต์สุขี หนึ่งวันนี้เที่ยวชมทั่วฉางอัน”
ทันทีที่ซูเย่ท่องกลอนออกมา บนจอก็ปรากฏบทกลอนที่เขาเลือกมา สำนวนในท่อนนั้นก็ขึ้นสีแดงเด่นชัด เพื่อให้ทุกคนเห็นได้อย่างชัดเจน
ลมวสันต์สุขี
คนอื่น ๆ ก็พูดต่อทันที
“สละชีวิตเพื่อบ้านเมือง แลความตายดุจหวนสู่มาตุภูมิ”
สำนวน: แลความตายดุจหวนสู่มาตุภูมิ
คนที่สาม
“ร่วมชมบทกวีล้ำค่า ถกปัญหาความเห็นต่าง”
สำนวน: ร่วมชมบทกวีล้ำค่า
คนที่สี่
“วิงวอนครั้งแล้วครั้งเล่านวลนางจึงย่างกรายมา บังครึ่งหน้าด้วยผีผาที่โอบไว้”
สำนวน: วิงวอนครั้งแล้วครั้งเล่า
คนที่ห้า
“หน้าประตูบานนี้ในยามก่อน ใบหน้าน้องนางราวดอกท้อแดง”
สำนวน: หน้าน้องนางราวดอกท้อแดง
คนที่หก
“สิ่งของคงเดิมแต่คนนั้นไม่ใช่ เรื่องราวเราจบไป วอนเอื้อนเอ่ยวาจา ทว่าน้ำตาไหลริน”
สำนวน: สิ่งของคงเดิมแต่คนไม่ใช่
เมื่อครบทุกคนก็วนมาที่ซูเย่อีกครั้ง สายตาของทุกคนจดจ้องมาที่ร่างของซูเย่
“ศาลาใกล้น้ำเห็นจันทร์กระจ่าง พฤกษาแมกไม้ที่หันหาดวงอาทิตย์พลันผลิบาน”
ซูเย่เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม
สำนวน: ศาลาใกล้น้ำ
“ลมวสันต์ในเรือนบ้านปิดไม่มิด ดอกซิ่งแดงยื่นออกนอกกำแพง”
คนอื่น ๆ ก็ตอบต่ออย่างรวดเร็ว ผู้ชมที่อยู่ล่างเวทีต่างรู้สึกว่ายอดฝีมือกำลังประชันบทกวีกันอย่างดุเดือด นี่มันน่าตื่นตาตื่นใจเกินไปแล้ว!
รอบที่สอง รอบที่สาม…วนเวียนไปจนครบ ก่อนที่รอบที่สี่จะกลับมาเริ่มที่ซูเย่อีกครั้ง
….สายตาของทุกคนจึงต่างจับจ้องไปยังซูเย่!!!