เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 44 ตกลงว่าเป็นหมอจีนหรือหมอดูฮวงจุ้ยกันแน่?
บทที่ 44 ตกลงว่าเป็นหมอจีนหรือหมอดูฮวงจุ้ยกันแน่?
“บอกมาก่อนว่าพวกคุณถูกจับมัดอยู่ตรงนี้ได้ยังไง?”
คนแซ่หลี่มองกลุ่มชายฉกรรจ์ที่ถูกจับมัดกับเสาโทรศัพท์และถามด้วยความสงสัย
ชาวบ้านทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
การถูกจับมัดกับเสาโทรศัพท์กลางฤดูหนาว หากไม่ใช่หัวขโมยแล้วจะเป็นอะไรได้อีก?
“ผมไม่ได้ทำอะไรผิดนะ เมื่อวานมีไอ้โรคจิตคนหนึ่งมันทุบหัวพวกเราจนสลบ พอเราตื่นขึ้นมาก็ถูกจับมัดอยู่ตรงนี้ ใครก็ได้ช่วยแก้มัดให้ผมที พวกเราถูกจับมัดมาทั้งคืน เกือบจะหนาวตายอยู่แล้วเนี่ย!” คนรับซื้อของเก่าร้องขอความเมตตา
กลุ่มชาวบ้านเมื่อได้ยินว่าชายฉกรรจ์เหล่านี้ถูกจับมัดมาทั้งคืน ต่างก็พากันคิดว่าถ้ายังไม่รีบแก้มัดอีก ชายฉกรรจ์อาจจะเสียชีวิตก็ได้
พวกเขากำลังจะเข้าไปช่วยเเก้มัด
“อย่าเพิ่งครับ”
ทันใดนั้น มีเสียงหนึ่งดังขึ้น
เป็นเสียงของซูเย่
“คุณหมอซู?”
บรรดาชาวบ้านที่กำลังจะแก้มัดให้กับห้าชายฉกรรจ์หันหน้ามองซูเย่ที่เดินออกมาจากบ้านพักด้วยความสงสัย
“ผมเป็นคนมัดพวกเขาเอาไว้เอง”
ซูเย่พยักหน้าให้กับกลุ่มชาวบ้านและอธิบายว่า “คนพวกนี้เป็นโจรขุดสุสาน ผมจับได้เมื่อคืนนี้”
“โจรขุดสุสาน?”
ทุกคนถึงกับตกตะลึงเมื่อได้ยินคำนั้น
“หมู่บ้านเรามีสุสานด้วยเหรอ? มีใครเคยได้ยินบ้างไหม?”
“ไม่เคยได้ยินว่าแถวหมู่บ้านเรามีสุสานนะ?”
“ผู้ชายห้าคนนี้ตัวไม่เล็ก แล้วคุณหมอซูพามาที่นี่คนเดียวได้ยังไง?”
“นอกจากจับตัวได้แล้ว คุณหมอยังนำตัวโจรขุดสุสานทั้งห้าคนกลับลงมาที่หมู่บ้านได้อีกเหรอ? หรือว่าพวกมันสมัครใจเดินลงมาเอง?”
เหล่าชาวบ้านได้แต่หันมองหน้ากันและพูดคุยกันด้วยความประหลาดใจ
ในเวลาเดียวกันนี้ สีหน้าของชายฉกรรจ์ทั้งห้าคนก็แสดงออกถึงความหมดหวัง
ลำพังชายหนุ่มคนนี้คนเดียวพวกเขาก็สู้ไม่ไหวแล้ว ต่อให้สามารถสลัดเชือกหลุดออกจากเสาโทรศัพท์ได้ ก็คงไม่มีทางหนีได้สำเร็จ
ทันใดนั้น
สิ่งเดียวที่พวกเขาทำได้ก็คือจ้องมองไปยังซูเย่ด้วยแววตาอาฆาตแค้น
เมื่อเห็นเช่นนั้น
ซูเย่ก็มองตอบกลับไปด้วยแววตาเรียบเฉย
ทีมงานซึ่งลุกขึ้นมาเตรียมถ่ายทำรายการประจำวันนี้ตั้งแต่เช้าตรู่ เมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับซูเย่ที่จับโจรขุดสุสาน จ้าวเหมียนจึงรีบพาลูกน้องมายังเสาโทรศัพท์ที่เกิดเหตุทันที
เมื่อได้รับฟังเรื่องราวทั้งหมด เหล่าทีมงานก็ได้แต่จ้องมองซูเย่ด้วยความเหลือเชื่อ
“เป็นโจรขุดสุสานจริงๆ เหรอ?”
จ้าวเหมียนมองหน้าซูเย่ด้วยความมหัศจรรย์ใจ
ทีมงานคนอื่นก็มองซูเย่ด้วยแววตานั้นเช่นเดียวกัน
ซูเย่รู้ได้ยังไงว่าคนพวกนี้เป็นโจรขุดสุสาน?
แถมยังจับได้ทั้งห้าคนอีก?
อย่าบอกนะว่าหมอนี่แค่ตัวคนเดียว ก็เอาชนะชายฉกรรจ์ทั้งห้าคนได้แล้ว?
มันจะเป็นไปได้ยังไง!
“อุโมงค์โจรยังอยู่บนภูเขาเลยครับ อุปกรณ์ของพวกเขาผมก็เก็บมาด้วย”
ซูเย่ตอบ
เมื่อได้ยินดังนี้ จ้าวเหมียนก็รีบหาทางติดต่อสถาบันวิจัยโบราณคดีประจำท้องที่และกดโทรเรียกตำรวจอย่างไม่รอช้า
เมื่อได้รับรายงาน สถาบันวิจัยโบราณคดีก็ไม่กล้าปล่อยโอกาสนี้ให้หลุดลอยไป พวกเขารีบทำเรื่องขอคำอนุมัติส่งทีมสำรวจมาตรวจดูภูเขาท้ายหมู่บ้านจากสถาบันใหญ่ทันที
เหตุการณ์นี้กลายเป็นเรื่องใหญ่
เพียงไม่นาน
สถาบันวิจัยโบราณคดีประจำท้องที่ก็ได้รับการอนุมัติภารกิจค้นหาสุสาน
หนึ่งชั่วโมงต่อมา กลุ่มนักโบราณคดีก็มาถึงหมู่บ้านที่เกิดเหตุ…
พวกเขาไม่จำเป็นต้องถามอะไรให้มากมาย
เพียงมองอุปกรณ์ของโจรขุดสุสานทั้งห้าคน กลุ่มนักโบราณคดีก็ได้คำตอบแล้ว
“ของพวกนี้เป็นเครื่องมือของพวกโจรขุดสุสานจริงๆ คราบดินบนเสียมยังไม่ทันแห้ง แสดงว่าเพิ่งถูกใช้งานไม่นานนี้!”
นักโบราณคดีคนหนึ่งพูดออกมา ช่วยยืนยันว่ากลุ่มชายฉกรรจ์เป็นโจรขุดสุสานตัวจริง
“ว่าแต่ใครเป็นคนจับพวกเขาได้เหรอครับ?” หัวหน้ากลุ่มนักโบราณคดีถามออกมาด้วยความอยากรู้
ชาวบ้านทุกคนหันมาชี้มือไปที่ซูเย่ด้วยความสามัคคี
กลุ่มนักโบราณคดีมองซูเย่ด้วยความแปลกใจ
ชายหนุ่มวัยรุ่นเพียงคนเดียวจับโจรได้ตั้งห้าคนเนี่ยนะ?
“ขอบคุณมาก!” หัวหน้ากลุ่มนักโบราณคดีพยักหน้าให้กับซูเย่ ก่อนจะยกนิ้วโป้งชื่นชมชายหนุ่ม “คุณคงแข็งแรงมากเลยนะ สามารถพาพวกเขาลงจากเขามาได้ถึงขนาดนี้ แต่คุณช่วยพาผมไปที่จุดเกิดเหตุบนภูเขาหน่อยได้ไหม? พวกเราอยากแน่ใจว่าที่นี่มีสุสานอยู่จริงๆ”
“ไม่มีปัญหาครับ”
ซูเย่นำกลุ่มนักโบราณคดีขึ้นไปบนภูเขาพร้อมด้วยชาวบ้านอีกกลุ่มใหญ่ ส่วนโจรขุดสุสานทั้งห้าคนก็ถูกชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งควบคุมตัวไว้อย่างแน่นหนา
ในฤดูหนาวท่ามกลางพื้นที่ห่างไกลเช่นนี้ บรรยากาศเงียบสงบ ไม่มีใครคิดเลยว่าเหตุการณ์ที่น่าตื่นเต้นจะเกิดขึ้น ชาวบ้านแทบทุกคนจึงอยากมีส่วนร่วมกับเหตุการณ์ใหญ่ในครั้งนี้
เมื่อกลุ่มชาวบ้านได้ยินว่าอาจจะมีสุสานโบราณอยู่บนภูเขา แม้แต่ผู้เฒ่าผู้แก่และเด็กน้อยก็ยังเดินขึ้นเขามาด้วยเช่นกัน
กลุ่มคนเดินขึ้นเขาไปเป็นขบวนยาวเหยียด
จ้าวเหมียนไม่ลืมส่งทีมงานติดตามขึ้นไป
เมื่อไปถึงที่ตั้งของอุโมงค์โจรซึ่งชายฉกรรจ์ทั้งห้าคนขุดลงไปเมื่อคืนนี้ บรรดานักโบราณคดีก็นำอุปกรณ์สมัยใหม่ออกมาทำการสำรวจโดยเร็ว
หลังส่องกล้องลงไปในหลุมใต้ดิน
กลุ่มนักโบราณคดีก็หันมองหน้ากันด้วยแววตาตื่นเต้น
“ที่นี่มีสุสานอยู่จริงๆ ครับ!”
เหล่าชาวบ้านพร้อมใจกันร้องเฮออกมาดังลั่นเมื่อได้ยินคำนั้น
ที่นี่มีสุสานโบราณอยู่จริงๆ ด้วย!
“แต่เรายังไม่รู้ว่าข้างในจะเป็นไงบ้าง ทุกคนยังเข้าไปสำรวจไม่ได้นอกจากจะได้รับอนุญาตก่อน ตอนนี้พวกเราต้องรายงานให้ทางการรับทราบ และรอให้ทางเบื้องบนอนุมัติก่อนเท่านั้นครับ!”
หัวหน้ากลุ่มนักโบราณคดีรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาโทรไปรายงานหัวหน้าของตนเอง
ส่วนนักโบราณคดีคนอื่นๆ ก็หันมาโบกมือไล่ชาวบ้าน “ทุกคนช่วยกลับลงจากเขาไปก่อนนะครับ ห้ามอยู่ที่นี่เด็ดขาด พื้นที่แถบนี้ถือเป็นเขตต้องห้ามแล้ว”
เมื่อได้ยินคำสั่ง
กลุ่มชาวบ้านก็ต้องเดินลงจากเขาอย่างไม่เต็มใจ
พวกเขาอยากเห็นว่าสุสานมีหน้าตาเป็นอย่างไร แต่ในเมื่อไม่สามารถขุดดินลงไปดูได้ด้วยตนเอง ทุกคนก็คงทำอะไรไม่ได้นอกจากเดินกลับบ้าน
ไม่เป็นไร… ถ้าเกิดมีสุสานโบราณอยู่จริง เดี๋ยวค่อยกลับขึ้นมาดูทีหลังก็ได้!!
ไม่นานหลังจากนั้น ตำรวจก็มาถึง โจรขุดสุสานทั้งห้าถูกลากออกมาจากในหมู่บ้านและถูกจับขึ้นรถตำรวจไปในที่สุด
กว่าเหตุการณ์ทุกอย่างจะสงบลงก็เป็นเวลา 10:00 น. แล้ว
ทีมงานจัดเตรียมพื้นที่สำหรับตรวจโรคให้แก่ชาวบ้านเสร็จเรียบร้อย
คลินิกสนามของพวกเขาตั้งอยู่ใจกลางหมู่บ้าน
และเนื่องจากเมื่อวานนี้ ผู้เข้าแข่งขันทุกคนได้แสดงฝีมือรักษาคนไข้อาหารเป็นพิษกันอย่างถ้วนหน้า ชาวบ้านจึงไม่มีข้อสงสัยต่อความสามารถของซูเย่และคุณหมอหนุ่มสาวคนอื่นๆ อีกแล้ว
มิหนำซ้ำ… ถึงกับมีชาวบ้านมายืนต่อแถวรอรับการตรวจตั้งแต่แรกเริ่มอีกด้วย!!!
“นี่คือกติกาในการแข่งขันครั้งนี้”
พิธีกรหันหน้าไปหาผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบคน “กฎในวันนี้ก็คือไม่มีกฎ สิ่งเดียวที่พวกคุณต้องทำก็คือตรวจโรคให้ชาวบ้าน”
เมื่อเหล่าผู้เข้าแข่งขันได้ยินกติกา ดวงตาของทุกคนก็เป็นประกายวูบวาบด้วยความแปลกใจ
นี่หรือคือกฎในครั้งนี้?
ไม่มีกฎ? แล้วจะตัดสินได้อย่างไรว่าใครแพ้ใครชนะ?
ถึงจะมีแพทย์แผนจีนอาวุโสมาคอยเก็บคะแนนพวกเขาอยู่ก็ตาม แต่ในเมื่อไม่มีกฎกติกา แล้วคณะกรรมการจะคิดคะแนนจากเกณฑ์ใดกันล่ะ?
คงไม่ได้มีเด็กเส้นในกลุ่มผู้เข้าแข่งขันหรอกใช่ไหม?
เมื่อเห็นสีหน้าสงสัยของกลุ่มผู้เข้าแข่งขัน พิธีกรก็ยิ้มออกมาและกล่าวว่า “นี่คือกติกาในการแข่งครั้งนี้จริงๆ ทุกคนคงรอที่จะแข่งขันกันไม่ไหวแล้ว เพราะฉะนั้น ภารกิจคลินิกสนามจะเริ่มขึ้น ณ บัดนี้!”
พิธีกรไม่เปิดโอกาสให้ผู้เข้าแข่งขันได้ตั้งคำถามเลยสักคำ
ช่วยไม่ได้แล้วสิ
บรรดาผู้เข้าแข่งขันได้แต่เดินไปนั่งประจำโต๊ะตรวจของตนเองที่ทีมงานเตรียมไว้ให้
ชาวบ้านรีบขยับไปยืนต่อแถวด้วยความรวดเร็ว
สำหรับผู้เข้าแข่งขันอีกเก้าคนที่เหลือมีแถวชาวบ้านยาวเท่าๆ กัน
แต่สำหรับซูเย่แถวคนไข้ที่รอรับการตรวจของเขายาวมากกว่าทุกคน
หลังผ่านเหตุการณ์อาหารเป็นพิษ ถ้อยคำชื่นชมจากคุณหมอประจำหมู่บ้านก็ถ่ายทอดปากต่อปากไปสู่คนทั้งหมู่บ้าน และทำให้แทบทุกคนยึดถือซูเย่เป็นคุณหมอใหญ่ประจำใจ
นั่นยังไม่รวมถึงการที่เมื่อวานนี้ ที่ซูเย่สามารถรักษาอาการของผู้ป่วยหนักให้หายดีได้ในเวลาเพียงพริบตาเดียวอีกด้วย…
เมื่อมองแถวผู้คนที่ยาวเหยียดประจำโต๊ะตรวจของตัวเอง
รอยยิ้มก็ปรากฏขึ้นที่มุมปากของซูเย่
เขาไม่กลัวคนเยอะหรอก
คนน้อยต่างหากที่น่ากลัว!
เพราะยิ่งเขาช่วยคนได้มากเท่าไหร่ ซูเย่ก็จะได้รับแต้มศีลธรรมมากขึ้นเท่านั้น!
การตรวจโรคให้ชาวบ้านเริ่มต้นขึ้น
คนไข้รายแรกที่เดินมานั่งหน้าโต๊ะตรวจเป็นคุณป้าอายุ 50 ปี
“เป็นอะไรมาครับ?”
ซูเย่สอบถามอาการเบื้องต้น
“ป้าปวดหลังค่ะ!” คุณป้าตอบกลับมา
ยังไม่ทันที่ซูเย่จะสอบถามอะไรต่อ หญิงวัยกลางคนก็อธิบายอาการของตนเองออกมาหมดสิ้น
เมื่อรับฟังจบ
ซูเย่ก็ลองจับชีพจรของคุณป้า ก่อนจะนำชุดเข็มเงินออกมาเริ่มการฝังเข็ม
ณ โต๊ะตรวจข้างๆ
ผู้เข้าแข่งขันหลายคนก็เริ่มต้นรักษาอาการคนไข้แล้วเช่นกัน
บางคนใช้การให้ยา บางคนใช้วิธีการอื่น
ในเวลานี้
ทุกคนต่างแสดงความสามารถในการรักษาของตนเองออกมาเต็มที่
แม้ว่าตอนแรกกลุ่มผู้เข้าแข่งขันจะค่อนข้างระมัดระวังตัวเล็กน้อย
เพราะพวกเขากลัวว่าหากการตรวจโรคครั้งนี้มีอะไรผิดพลาด รายการอาจได้รับความเสียหายก็เป็นได้ แต่เมื่อเห็นทีมงานถ่ายทำรายการไม่เข้ามาแทรกแซงใดๆ กลุ่มผู้เข้าแข่งขันจึงผ่อนคลายมากขึ้นและสามารถรักษาคนไข้ได้อย่างเต็มที่
จ้าวเหมียนยืนอยู่วงนอกของคลินิกสนาม
เฝ้ามองโต๊ะตรวจของผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนด้วยสีหน้ายิ้มแย้ม
นี่แหละนะ
การแข่งขันตรวจโรคให้ชาวบ้านในครั้งนี้ ไม่มีกฎเกณฑ์คอยกำหนดอย่างแท้จริง
แต่ไม่มีกฎนี่แหละคือกฎที่ดีที่สุด!
ภายใต้ข้อจำกัดของกฎเกณฑ์ ผู้เข้าแข่งขันจะไม่สามารถแสดงศักยภาพได้เต็มที่ เมื่อไม่มีกฎเกณฑ์คอยกำหนด ผู้เข้าแข่งขันก็จะสามารถแสดงศักยภาพของตนเองออกมาได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ
“คอยดูเถอะ สุดท้ายเดี๋ยวก็รู้ว่าผลจะออกมาเป็นยังไง!”
จ้าวเหมียนยิ้มออกมาอย่างเจ้าเล่ห์
การตรวจโรคฟรีให้ชาวบ้านใช้เวลาทั้งสิ้นห้าชั่วโมง
ยามบ่าย
นักโบราณคดีอาวุโสจากสถาบันวิจัยประจำมณฑลก็มาถึง
พวกเขาเดินทางขึ้นไปบนภูเขา
ใช้เวลาสำรวจไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง
กลุ่มนักโบราณคดีก็กลับลงมาที่หมู่บ้านด้วยความประหลาดใจ
“เป็นยังไงบ้างครับ?”
“ใต้ดินมีสุสานอยู่จริงๆ ใช่ไหม?” ผู้ใหญ่บ้านถามด้วยความคาดหวัง
“มีอยู่จริงครับ!” นักโบราณคดีตอบน้ำเสียงตื่นเต้น “จากการสำรวจเบื้องต้น พวกเราพบว่าเป็นสุสานใหญ่ทีเดียว!”
“ดูจากขนาดของสุสานแล้ว น่าจะติดหนึ่งในสุสานที่ใหญ่ที่สุดของประเทศด้วยซ้ำ และจากการประเมินของพวกเรา สิ่งที่อยู่ใต้ดินคงเป็นสุสานใหญ่จากยุคราชวงศ์ฮั่นตะวันตกตอนต้น”
“ต้องขอบคุณนักศึกษาคนนั้นมากนะครับที่ช่วยจับโจรขุดสุสาน ไม่งั้นสุสานใต้ดินคงถูกทำลายไม่เหลือชิ้นดี! ว่าแต่นักศึกษาที่ว่าอยู่ไหนแล้วครับ?”
หัวหน้ากลุ่มนักโบราณคดีกวาดตามองโดยรอบ
ได้ยินดังนั้น
ผู้ใหญ่บ้านก็ยิ้มออกมาด้วยความตื่นเต้น
กลุ่มชาวบ้านอยู่ในอาการตกตะลึง
คิดไม่ถึงเลยว่าในภูเขาท้ายหมู่บ้านจะมีสุสานโบราณซ่อนอยู่จริงๆ!!
ไม่ต้องสงสัยอีกแล้วว่าเพราะเหตุใด บรรพบุรุษของพวกเขาถึงขุดวัตถุโบราณขึ้นมาจากใต้ดินได้มากมายขนาดนี้
สิ่งที่คุณหมอชูบอกว่าของใช้เก่าเก็บในบ้านของพวกเขาล้วนแล้วแต่เป็นวัตถุโบราณเก่าแก่นั้น ได้รับคำยืนยันก็ตอนนี้เอง
ยิ่งคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไหร่ ดวงตาของชาวบ้านก็ยิ่งลุกวาวด้วยความตื่นเต้น
ขณะนี้ กลุ่มชาวบ้านนำกลุ่มนักโบราณคดีไปหาซูเย่ที่เพิ่งจะตรวจคนไข้เสร็จพอดี
“คุณคงเป็นนักศึกษาซูเย่สินะ ขอบคุณมาก! ขอบคุณที่ช่วยจับโจรขุดสุสานพวกนั้น! ไม่งั้นสมบัติของชาติคงได้รับความเสียหายใหญ่หลวง!”
หัวหน้ากลุ่มนักโบราณคดีขอบคุณซูเย่อย่างเป็นทางการ
“มันคือเรื่องที่ผมควรทำอยู่แล้วครับ”
ซูเย่ว่า
หัวหน้านักโบราณคดียกนิ้วโป้งชื่นชมซูเย่ ก่อนถามด้วยความสงสัย “แต่ผมมีเรื่องอยากจะรู้ คุณช่วยบอกได้ไหมว่าคุณรู้ได้ยังไงว่ามีสุสานโบราณอยู่บนภูเขา? คุณรู้ได้ยังไงว่าคนกลุ่มนั้นเป็นโจรขุดสุสาน? คุณแน่ใจได้ยังไงว่าพวกเขาไม่ใช่แค่คนหาของป่าธรรมดา?”
“ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ”
ซูเย่ตอบเสียงเรียบ “ฮวงจุ้ยของที่นี่ดีมาก เหมาะสำหรับการสร้างสุสานขนาดใหญ่มากที่สุด”
เมื่อได้รับคำตอบออกมาเช่นนี้
ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มนักโบราณคดีหรือผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ตลอดไปจนถึงทีมงานรายการและชาวบ้านที่ยืนอยู่ในบริเวณนั้น พวกเขาก็ต่างจ้องมองซูเย่ด้วยความเหลือเชื่อ
ตกลงชายหนุ่มคนนี้เป็นหมอจริงๆ หรือเปล่า?
ทำไมถึงได้รู้เรื่องฮวงจุ้ยด้วย?
“คุณดูฮวงจุ้ยเป็นด้วยเหรอ?” หัวหน้านักโบราณคดีถามด้วยความพิศวง
“ก็พอเป็นนิดหน่อยครับ”
ซูเย่พยักหน้าตอบกลับไป
หัวหน้านักโบราณคดียกนิ้วโป้งชื่นชมเขาอีกครั้ง
ศาสตร์ฮวงจุ้ยไม่ใช่สิ่งที่ใครก็สามารถเรียนรู้ได้ทุกคน ต้องเป็นผู้ที่มีพรสวรรค์เท่านั้นถึงจะเรียนรู้ได้อย่างแตกฉาน
เพียงเห็นสภาพแวดล้อมโดยรอบ ก็สามารถบอกได้แล้วว่าที่นี่ต้องมีสุสานใหญ่อยู่ใต้ดิน นั่นหมายความว่าซูเย่จะต้องมีความรู้เกี่ยวกับศาสตร์ฮวงจุ้ยอย่างลึกซึ้ง
นักศึกษาคนนี้เก่งกาจอย่างน่าเหลือเชื่อ!
หวังจี้เชาและพรรคพวกมองหน้าซูเย่อย่างพูดอะไรไม่ออก
นายจะเก่งไปถึงไหนวะ…!
หวังจี้เชาคิดด้วยความหงุดหงิดใจ
ไอ้หมอนี่มันมีความรู้ครอบจักรวาลเลยหรือไง…!!!