เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 45 รักษาหายเร็วขนาดนี้ได้ยังไง
บทที่ 45 รักษาหายเร็วขนาดนี้ได้ยังไง
ถึงทุกคนจะสงสัยเกี่ยวกับความรู้ด้านฮวงจุ้ยของซูเย่
แต่นี่คือเวลารักษาคนไข้ พวกเขาจึงไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก
การตรวจโรคให้แก่ชาวบ้านดำเนินต่อไป
ผู้เข้าแข่งขันทั้งสิบคนกลับมาสนใจที่การตรวจโรคให้แก่ชาวบ้านอีกครั้ง
ทุกคนต่างก็พยายามแข่งขันกัน เพื่อดูว่าใครจะสามารถรักษาชาวบ้านให้หายเร็วได้มากที่สุด และใครคือผู้ที่มีอัตราการรักษาชาวบ้านได้สำเร็จมากที่สุด
ต่อให้ไม่มีกฎกติการะบุเอาไว้ แต่นี่ก็คือการแบ่งแยกระดับชั้นของผู้เข้าแข่งขันโดยอัตโนมัติ
หรือต่อให้ไม่ต้องแข่งขันกัน พวกเขาก็ต้องแสดงความสามารถของตนเองออกมา!
ลวี่อวิ๋นเผิงเพิ่งเสร็จสิ้นการรักษาคนไข้ที่มีอาการไอ ส่วนผู้เข้าแข่งขันอีกคนก็กำลังรักษาคนไข้ปวดขาด้วยการฝังเข็ม
กลุ่มผู้เข้าแข่งขันมีวิธีการรักษาโรคแตกต่างกันไป
บางคนถนัดการจ่ายยา เมื่อมอบยาสมุนไพรให้ชาวบ้านนำกลับไปต้มกินแล้ว วันพรุ่งนี้จึงได้นัดแนะคนไข้ให้กลับมาดูอาการใหม่อีกครั้ง
ทุกอย่างดำเนินไปเช่นนี้
จนกระทั่งหมดวัน
…
การตรวจโรคให้แก่ชาวบ้านดำเนินไปเป็นวันที่สอง
“เป็นยังไงบ้างครับ สมุนไพรที่ผมให้ไปเมื่อวาน กินแล้วดีขึ้นบ้างไหม?”
นักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตูยิ้มทักทายชาวบ้านที่มายืนรอรับการตรวจตั้งแต่เช้า
“ได้ผลดีมากเลยครับหมอ!” ชาวบ้านคนนั้นตอบกลับมาด้วยความตื่นเต้น “เมื่อวานนี้ผมยังรู้สึกป่วยอยู่เลย แต่พอได้ทานยาต้มของหมอไปเท่านั้น อาการปวดเมื่อยเนื้อตัวของผมหายดีเป็นปลิดทิ้ง วันนี้ผมก็เลยกลับมาบอกหมอนี่แหละครับ เผื่อคุณหมอจะมียาดีๆ ให้ผมกินอีก”
“ต้องมีแน่นอนอยู่แล้วครับ”
นักศึกษาพูดเสียงดังอย่างผู้ชนะ “วันนี้ผมจะจ่ายยาสามชุดให้คุณลุง เมื่อรับประทานยาสามชุดนี้ ผมการันตีเลยว่าอาการโดยรวมของคุณลุงจะต้องดีขึ้นแน่นอน และอาการป่วยด้านอื่นๆ ที่คุณลุงมีอยู่ ก็จะต้องหายขาดครับ”
“ขอบคุณมากครับคุณหมอ” คนไข้รีบก้มหัวขอบคุณ
ณ โต๊ะตรวจด้านข้าง
เมื่อผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนั้น พวกเขาก็ต้องรีบพูดเสียงดังออกมาเช่นกัน
“เมื่อวานนี้คุณลุงฝังเข็มเป็นยังไงบ้างครับ?”
“ดีมากเลยครับหมอ คุณหมอฝังเข็มไม่เจ็บเลย แถมยังทำให้เช้านี้ผมตื่นขึ้นมารู้สึกสดชื่นอีกด้วย”
“ชุดยาที่ผมจัดให้ไปเมื่อวานนี้ คนไข้ลองทานแล้วหรือยังครับ?”
“ทานเรียบร้อยแล้วค่ะ คุณหมอ มันได้ผลดีมากเลย คุณหมอมียาชุดใหม่อีกไหมคะ?”
บรรยากาศในขณะนี้เต็มไปด้วยเสียงการพูดคุยกันดังคึกคักแจ่มใส
ซูเย่ยิ้มออกมาเล็กน้อยเมื่อเห็นฝีมือของทุกคน
ชาวบ้านยังคงมายืนต่อแถวเข้ารับการตรวจต่อไป
เพียงวันเดียว เขาได้รับคะแนนศีลธรรมถึง 30 แต้ม ทำให้ในขณะนี้ ซูเย่มีคะแนนศีลธรรมอยู่ถึง 370 แต้มแล้ว!
แล้วอีกหนึ่งวันก็ผ่านไป
วันที่สาม
มีผู้คนมาเข้ารับการตรวจเพิ่มมากขึ้น
แต่คนไข้ส่วนใหญ่ยังเป็นคนไข้จากสองวันแรก ที่ต้องมารายงานตัวเพื่อรายงานอาการอย่างต่อเนื่อง
ช่วงบ่าย
บรรดาผู้เข้าแข่งขันตรวจคนไข้จนเกือบจะหมดแล้ว
ทันใดนั้น มีรถกระบะใส่หลังคาหลังหนึ่งแล่นเข้ามาในหมู่บ้านหม่าเจียโกว
รถกระบะคันนั้นแล่นเข้ามาจอดอยู่บริเวณศูนย์กลางหมู่บ้าน ซึ่งจัดตั้งเป็นคลินิกสนามตรวจคนไข้
ทุกคนหันไปมอง
ส่วนหลังของรถกระบะคันนี้มีหลังคาครอบคลุมมิดชิด ทำให้มองไม่เห็นว่าบรรทุกอะไรอยู่ด้านใน
คนขับเป็นชายหนุ่มอายุ 30 ปี
เมื่อจอดรถเรียบร้อย
เขาก็รีบเดินเข้ามาหากลุ่มชาวบ้านที่รวมตัวกันอยู่
“คุณลุงครับ คนพวกนี้เป็นคุณหมอจากมหาลัยแพทย์ตี้ตูที่มารักษาชาวบ้านให้ฟรีๆ ใช่ไหมครับ?”
คนขับรถยิ้มแย้มและหยิบบุหรี่ส่งให้แก่ชายชราข้างตัวมวนหนึ่ง
“ใช่แล้ว” ชายชรารับบุหรี่ไปถือและถามว่า “ทำไมฉันถึงรู้สึกคุ้นหน้าคุ้นตาพ่อหนุ่มจริง?”
“ผมมาจากหมู่บ้านต้าไห่ครับ” คนขับรถตอบ “ได้ข่าวว่าที่หมู่บ้านนี้มีคุณหมอจากมหาลัยแพทย์ตี้ตูมาเปิดคลินิรักษาฟรี ผมก็เลยลองมาดูน่ะครับ”
“ที่แท้ก็อยู่หมู่บ้านข้างๆ นี่เองสินะ?” ชายชราพยักหน้าพร้อมกับพูดว่า “รีบไปต่อแถวสิ”
“ว่าแต่คุณหมอคนไหนเก่งที่สุดเหรอครับ?” คนขับรถกระบะถาม
“คนนั้น”
ชายชราชี้มือไปที่ซูเย่ก่อนจะยกนิ้วโป้งด้วยความชื่นชม “คุณหมอซูเก่งที่สุดแล้ว! จากคนที่เคยป่วยหนัก เขาสามารถรักษาหายได้ในเวลาไม่กี่วันเองนะ!”
“ขอบคุณมากครับ คุณลุง”
คนขับรถพยักหน้ารับทราบ ก่อนรีบเดินมาต่อแถวที่โต๊ะของซูเย่ทันที
ถึงบัดนี้คนไข้จะบางตาลงแล้ว แต่จำนวนคนไข้ที่ยืนต่อแถวบริเวณโต๊ะตรวจของซูเย่ก็ยังคงเยอะอยู่ดี
แต่ซูเย่ใช้เวลาตรวจคนไข้แต่ละคนไม่นานมาก
เพียงไม่กี่อึดใจต่อมา แถวคนไข้ที่ยาวเหยียดก็หลงเหลือเพียงคนขับรถกระบะคนเดียวเท่านั้น
ในเวลาเดียวกันนี้ ผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ ตรวจคนไข้ของตนเองเสร็จเรียบร้อยแล้ว ทุกคนผ่อนคลายและมีเวลาได้พัก แต่สายตาของพวกเขาก็ยังคงจับจ้องมาที่โต๊ะตรวจของซูเย่
“สวัสดีครับ”
ซูเย่ยิ้มทักทายคนไข้รายสุดท้าย “เป็นอะไรมาครับ?”
“สวัสดีครับคุณหมอซู”
คนขับรถกระบะเดินเข้ามาส่งบุหรี่ให้แก่ซูเย่หนึ่งมวนด้วยความคล่องแคล่ว
“ผมไม่สูบบุหรี่ครับ ขอบคุณ”
ซูเย่ส่ายหน้าปฏิเสธ
“อ้อ” คนขับรถรีบเก็บบุหรี่กลับเข้าซองและนั่งลงด้วยสีหน้าหม่นหมอง “คนไข้ไม่ใช่ผมหรอกครับ แต่เป็นแม่ของผมต่างหาก”
“คุณแม่ผมป่วยเป็นอัมพาตมานานแล้ว” ชายหนุ่มถอนหายใจ “ถึงบ้านเราจะไม่ได้ลำบากอะไรมากมาย แต่คุณแม่ก็เอาแต่พูดว่าไม่อยากทำตัวเป็นภาระผม ไม่อยากเป็นตัวถ่วงให้ผมไม่ได้ใช้ชีวิตของตัวเอง นั่นแหละครับที่ทำให้ผมเสียใจ…”
“ผมก็เลยมาหาคุณหมอในวันนี้ เผื่อคุณหมอจะมีวิธีรักษาแม่ผมบ้าง”
กลุ่มผู้เข้าแข่งขันคนอื่นๆ เมื่อได้ยินเช่นนี้ต่างก็หูผึ่งขึ้นมาทันที
ซูเย่พยักหน้าและถามว่า
“คุณแม่ได้มาด้วยหรือเปล่าครับ?”
“มาครับ” คนขับรถกระบะรีบพยักหน้าตอบว่า “ผมพาแม่มาด้วย คุณแม่อยู่ในรถครับ”
เมื่อได้ยินคำตอบ
ซูเย่ก็ลุกขึ้นยืนและผายมือบอกให้ชายหนุ่มนำทาง
“พวกเราไปดูด้วยดีกว่า!”
ผู้เข้าแข่งขันอีกเก้าคนที่เหลืออยู่รีบลุกขึ้นยืนและเดินตามซูเย่ไปทันที
ยิ่งคนไข้รักษายากเท่าไหร่ พวกเขาก็ยิ่งรู้สึกท้าทายเท่านั้น
มันเหมือนกับเป็นเกมไขปริศนาที่พวกเขาต้องเอาชนะให้ได้
“อัมพาตคือโรคที่รักษายากมาก”
“ถ้าเพิ่งเป็นก็พอมีทางรักษาได้อยู่ แต่ถ้าเป็นมานานแล้ว บอกได้เลยว่าการทำงานของร่างกายหลายอย่างคงเสียหายไปแล้ว คงไม่มีทางฟื้นฟูกลับขึ้นมาได้อีก”
“บอกตามตรงเลยนะ เท่าที่ฟังมา คนไข้คนนี้น่าจะเป็นงานยากแล้วละ”
ลวี่อวิ๋นเผิงและคนอื่นๆ กระซิบกระซาบกันขณะเดินเข้ามา
แต่ถึงรู้อย่างนั้น พวกเขาก็ยังอยากลองรักษาดูอยู่ดี
เมื่อเห็นเช่นนี้ ทีมงานถ่ายทำรายการก็รีบติดตามมาเช่นกัน
ทุกคนมารวมตัวกันที่รถกระบะของชายหนุ่ม
ชายหนุ่มรีบเปิดฝาปิดหลังคาที่ครอบกระบะหลังรถออก
ทุกสายตามองเข้าไป
บนหลังกระบะตั้งไว้ด้วยเตียงหลังหนึ่ง หญิงวัยกลางคนร่างท้วมอายุ 50 ปีเศษนอนอยู่บนนั้น
“แม่ครับ ผมพาแม่มาที่หมู่บ้านหม่าเจียโกวแล้ว คุณหมอจากมหาลัยแพทย์ตี้ตูเขามาเปิดคลินิกรักษาคนไข้ฟรีๆ ที่นี่ ผมก็เลยรบกวนให้คุณหมอเขาช่วยมาตรวจแม่ดูสักหน่อย บางทีอาจจะมีความหวังก็ได้ครับ”
ชายหนุ่มพูดกับแม่ของตนเอง
หญิงวัยกลางคนกวาดสายตามองผู้คนที่ยืนรวมตัวอยู่ท้ายรถกระบะ สีหน้าของเธอเฉยเมยและไม่ได้พูดคำใดออกมาเลยสักคำ
ซูเย่โน้มตัวเข้าไปใกล้
เขาจับชีพจรคนไข้และตรวจดูอาการเบื้องต้น
เมื่อตรวจเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ซูเย่ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย
คนไข้รายนี้ป่วยเป็นอัมพาตมานานมาก ถึงระบบการทำงานในร่างกายจะยังคงใช้ได้ แต่ด้วยความซึมเศร้าที่เกิดขึ้น ระบบการทำงานเหล่านั้นก็เริ่มเสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็ว และพลังลมปราณในร่างกายก็ยังอ่อนแอมากอีกด้วย
ซึ่งแตกต่างจากชายชราที่ซูเย่เคยพบในโรงพยาบาลก่อนหน้านี้สิ้นเชิง
ชายชราคนนั้นสามารถฟื้นฟูกลับมาได้ด้วยพลังใจที่แข็งแกร่ง และเขาก็เพิ่งป่วยโรคหลอดเลือดสมองได้ไม่นาน การรักษาจึงสามารถดำเนินไปได้อย่างราบรื่น
แต่หญิงวัยกลางคนผู้นี้ไม่เหมือนกัน
หากปล่อยให้เหตุการณ์เป็นเช่นนี้ต่อไป เกรงว่าอีกไม่เกินสามเดือน คุณแม่ของคนขับรถกระบะคนนี้ก็คงจะต้องมีปัญหาทางสุขภาพจิตขั้นรุนแรงแน่นอน
หลังจากเห็นซูเย่ตรวจอาการเบื้องต้นของคนไข้เสร็จแล้ว ผู้เข้าแข่งขันอีกเก้าคนก็เดินเข้ามาจับชีพจรของเธอบ้าง
“เป็นไง?”
เมื่อทุกคนตรวจอาการเบื้องต้นครบถ้วน พวกเขาก็มายืนจับกลุ่มกันอยู่ด้านข้างรถกระบะ
ทุกคนมีสีหน้าเคร่งเครียด
“หมดหวัง” สุดท้าย นักศึกษาแพทย์จากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตูก็ทำลายความเงียบขึ้นเป็นคนแรก “คนไข้เป็นมานานมากเกินไป ต่อให้ระบบในร่างกายจะยังใช้งานได้ แต่ก็ไม่สามารถรักษาได้อีกแล้ว”
“นั่นน่ะสิ”
“ถ้าก่อนหน้านี้ได้พาไปโรงพยาบาลมาบ้าง ก็คงไม่เป็นแบบนี้หรอก”
“น่าเสียดายนะ คนไข้อาการไม่ได้ร้ายแรงมาก เสียแต่ว่าปล่อยทิ้งเอาไว้นานมากเกินไป”
ทุกคนพยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“ที่จริงการฝังเข็มก็น่าจะช่วยบรรเทาได้อยู่หรอก”
หวังจี้เชาส่งเสียงขึ้นมาบ้าง “แต่ฉันไม่รู้ว่าจะช่วยได้สักแค่ไหน อาจจะต้องพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาลระยะยาว ถ้าทางญาติคนไข้มีศักยภาพจ่ายค่าฝังเข็มระยะยาวได้ ก็น่าจะพอมีหวัง แต่ปัญหาหลักๆ ในตอนนี้ก็คือเรื่องสภาพจิตใจของคนไข้นี่แหละ ฉันว่าน่าเป็นห่วงกว่าสภาพร่างกายอีก”
เมื่อได้ยินคำวินิจฉัยของหวังจี้เชา กลุ่มผู้เข้าแข่งขันก็ยิ่งพยักหน้าอย่างเห็นด้วยมากกว่าเดิม
คนขับรถกระบะได้ยินดังนั้นสีหน้าก็ไม่ค่อยสู้ดี
เขาได้ยินคำเล่าลือเสมอว่านักศึกษาจากมหาวิทยาลัยแพทย์ตี้ตูมีความเก่งกาจอัจฉริยะ แต่กลับคิดไม่ถึงเลยว่าไม่มีใครสามารถช่วยเหลือมารดาของเขาได้อีกแล้ว
“คุณหมอซู คุณแม่ผมหมดหวังแล้วจริงๆ เหรอครับ?”
เมื่อเห็นว่าซูเย่เป็นเพียงคนเดียวที่ยังไม่ได้พูดอะไรออกมา คนขับรถก็รีบหันมาถามเขาด้วยสีหน้าอ้อนวอน
ซูเย่ใช้เวลาขบคิดอะไรบางอย่างอยู่ครู่หนึ่ง
“ผมจะลองดู”
“ครับ!” เมื่อคนขับรถกระบะได้ยินดังนั้น ดวงตาของเขาก็เป็นประกายแวววาวอย่างมีความหวัง
ส่วนกลุ่มผู้เข้าแข่งขันก็มองหน้าซูเย่ด้วยความพิศวงสงสัย
ซูเย่จะกล้ารักษาคนไข้ที่ไม่มีทางรักษาได้เชียวหรือ?
ทุกคนเฝ้ามองดูด้วยความสงสัย แน่นอนว่าตากล้องของทางรายการไม่ลืมบันทึกภาพทั้งหมดนี้ด้วยความกระตือรือร้น
ซูเย่เปิดชุดอุปกรณ์ฝังเข็มและขออนุญาตชายหนุ่มปีนขึ้นไปบนท้ายรถกระบะ ก่อนจะเริ่มต้นการฝังเข็มอย่างรวดเร็ว
นับตั้งแต่ต้นจนจบ
หญิงวัยกลางคนนอนอยู่บนเตียงไม่พูดอะไรสักคำ เธอยังคงมีสีหน้าเย็นชา ราวกับไม่รับรู้ทุกสิ่งทุกอย่าง ราวกับว่าเรื่องราวทั้งหมด ไม่มีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับตนเองแม้แต่น้อย
ซูเย่เข้าใจอาการอย่างชัดเจนแจ่มแจ้ง
เส้นประสาทบางส่วนของหญิงวัยกลางคนตกอยู่ในสภาวะเป็นอัมพาต
ตราบใดที่เขาสามารถกระตุ้นการทำงานของระบบประสาทส่วนนั้น และสามารถทำให้หญิงวัยกลางคนกลับมามีความรู้สึกได้อีกครั้ง สภาพจิตใจที่ซึมเศร้าหดหู่ก็จะค่อยๆ ดีขึ้นในไม่ช้า
ซูเย่เคยเรียนรู้วิธีการใช้งานชุดฝังเข็มเหล่านี้มาจากหลี่เคอหมิงแล้ว
ขั้นตอนทุกอย่างดำเนินไปด้วยความราบรื่น
แพทย์แผนจีนอาวุโสหลายท่านที่เดินตามมาเป็นผู้สังเกตการณ์ ล้วนแต่มองมาที่ซูเย่และพยักหน้าด้วยความชื่นชม
การฝังเข็มของซูเย่เป็นไปด้วยความแม่นยำและมีประสิทธิภาพ
ผู้เข้าแข่งขันอีกเก้าคนที่เหลือเฝ้ามองการฝังเข็มของซูเย่ด้วยความประหลาดใจ
ก่อนหน้านี้ พวกเขาไม่ทันได้สังเกตมาก่อนว่าซูเย่มีความชำนาญด้านการฝังเข็มอยู่ในระดับไหน แต่เมื่อเห็นด้วยตาของตนเองเช่นนี้ พวกเขาก็รู้แล้วว่าซูเย่มีความรู้เกี่ยวกับการฝังเข็มในระดับสูงทีเดียว!
ไม่กี่อึดใจต่อมา
การฝังเข็มก็เสร็จสมบูรณ์ ซูเย่ทิ้งเข็มไว้บนร่างกายของคนไข้ชั่วคราว
ทันใดนั้น
นิ้วมือของหญิงวัยกลางคนก็กระตุก
ถึงจะเป็นการกระตุกนิ้วเพียงเล็กน้อย แต่สีหน้าของหญิงวัยกลางคนก็เปลี่ยนแปลงไปโดยสิ้นเชิง ดวงตาของเธอเป็นประกายวาวโรจน์ด้วยความประหลาดใจ
หลังจากนั้น
นิ้วมือของเธอก็กระตุกขึ้นมาอีกครั้ง
คราวนี้ ทุกคนสามารถเห็นได้อย่างชัดเจน!
ไม่แต่เพียงนิ้วมือเท่านั้น
ฝ่ามือของหญิงวัยกลางคนยังเกิดอาการสั่นเทาอีกเล็กน้อยและข้อมือของเธอก็สามารถขยับได้อย่างช้าๆ
จากนั้นก็เป็นข้อศอก หัวไหล่และหัวเข่า
ถึงจะเป็นการสั่นกระตุกเพียงแผ่วเบา แต่ก็นับว่าเป็นการเคลื่อนไหวจริงๆ!
เห็นดังนั้น
ผู้เข้าแข่งขันทั้งเก้าคนพร้อมด้วยอาจารย์แพทย์แผนจีนอาวุโส ต่างก็ต้องอุทานออกมาด้วยความตกตะลึง
“เป็นไปได้ยังไง?”
“คนไข้เป็นอัมพาตมานานมาก แค่ใช้การฝังเข็ม ก็รักษาหายเร็วขนาดนี้ได้ยังไง?”
ทุกคนดูออกว่าการฝังเข็มของซูเย่ให้ผลลัพธ์ออกมาในทางที่ดีมาก
หญิงวัยกลางคนยังคงไม่พูดอะไร
แต่พวกเขาก็มองออกว่าเธอกำลังตื่นเต้น
หญิงวัยกลางคนพยายามขยับร่างกายด้วยความกระตือรือร้น ส่งผลให้เนื้อตัวของเธอสั่นเทาตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ไม่ต้องกังวลครับ”
ซูเย่พูดด้วยเสียงสงบสุขุม “การรักษาเพิ่งเริ่มขึ้นเท่านั้น หลังจากนี้ อาการของคุณจะต้องดีขึ้นมากกว่านี้อีกแน่นอน”
“คุณหมอพูดจริงนะคะ?”
หญิงวัยกลางคนถามออกมา
“พูดจริงสิครับ แค่เชื่อฟังหมอก็พอแล้ว”
ซูเย่พยักหน้า
เมื่อสักครู่ เขาใช้เพียงการฝังเข็มธรรมดากระตุ้นการทำงานของพลังลมปราณในร่างกายคนไข้ เพื่อทำให้คนไข้เกิดความรู้สึกในร่างกายส่วนที่เป็นอัมพาตขึ้นมาอีกครั้ง
ขณะนี้ ซูเย่ได้รับการยืนยันแล้วว่าระบบการทำงานในร่างกายของหญิงวัยกลางคนไม่ได้รับความเสียหายใหญ่หลวงแต่อย่างใด
เพราะฉะนั้น
เขาจึงต้องเสริมพลังลมปราณของตนเองลงไปในร่างกายของคนไข้
ซูเย่คัดเลือกส่วนเส้นประสาทที่ได้รับความเสียหายสำหรับการถ่ายทอดพลังลมปราณลงไปในบริเวณนั้น เพื่อซ่อมแซมส่วนเส้นประสาทที่เสียหาย เมื่อกระตุ้นการทำงานของระบบเส้นประสาทขึ้นมาได้อีกครั้ง อาการของคนไข้ก็จะต้องดีขึ้นอย่างแน่นอน
คิดได้ดังนี้
ซูเย่ก็ลงมือทำโดยไม่รีรอ
ก่อนหน้านี้ เข็มเงิน 20 เล่มแรกถูกปักลงไปตามร่างกายในส่วนเส้นลมปราณจุดต่างๆ เป็นที่เรียบร้อย
เข็มเงินเหล่านี้เป็นสื่อกลางถ่ายทอดพลังลมปราณจากร่างกายของซูเย่เข้าสู่ร่างกายของคนไข้
หลังจากนั้นไม่นาน
“เฮือก…”
ซูเย่ถอนหายใจยาวแรงและดึงเข็มเงินกลับขึ้นมา
ภายใต้การจ้องมองของทุกคน
หญิงวัยกลางคนที่ป่วยเป็นอัมพาตมาอย่างยาวนานไม่สามารถซ่อนเร้นความตื่นเต้นของตนเองได้อีก เธอขยับแขนยันตัวขึ้นมาอย่างช้าๆ และสามารถลุกขึ้นมานั่งบนเตียงได้ราวกับปาฏิหาริย์!!!