เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 75 ตลาดมืดแห่งจี้หยาง
บทที่ 75 ตลาดมืดแห่งจี้หยาง
“มีธุระอะไร”
ซูเย่เอ่ยถาม
“ฉันรู้จักนายดี คนที่สติปัญญาล้ำเลิศเช่นนี้ จะทายไม่ออกเชียวหรือว่าฉันมาทำไม”
ถังอี้เอ่ยพร้อมรอยยิ้ม “ประลองฝีมือกันหน่อย ขอดูฝีมือคนที่แซงหน้าลูกรักสวรรค์ที่อยู่ขั้นสามอย่างฉันหน่อย ว่าเป็นยังไง”
“นายเข้าสู่ดินแดนนั้นนานเท่าไหร่แล้ว”
ซูเย่เอ่ยถาม
“เวลาไม่นานแต่ก็ไม่สั้น”
ถังอี้เอ่ยตอบ
“งั้นฝีมือนายก็งั้น ๆ แหละ นานขนาดนี้แล้วยังไม่เลื่อนไปขั้นสี่อีก”
ซูเย่เอ่ยขึ้น
ขั้นสามถึงขั้นสี่ ในดินแผนภูผามหานทีไม่ได้ต้องการเวลาในการเลื่อนขั้นนานมากนัก
เจ้าหมอนี่เป็นอันดับแรกในตารางรายชื่อระดับสาม แล้วยังอยู่ในโลกนั้นมานาน นี่มันไม่สมเหตุสมผลเลย
รอยยิ้มบนใบหน้าของถังอี้เลือนหายไป “มันไม่ได้ง่ายแบบที่นายคิดหรอกนะ ที่นี่มีคำกล่าวต่อกันมาว่ายิ่งอยู่ขั้นสามนานเท่าไหร่ก็จะยิ่งมีพื้นฐานมากเท่านั้น ต่อไปจึงสามารถไปได้ไกลกว่าเดิม”
ซูเย่พยักหน้าเห็นด้วย
ใช่แล้ว ขั้นสามนับเป็นระดับขั้นที่สำคัญมาก
“ที่สำคัญคือ ขั้นสี่มีกองทัพมอนสเตอร์ ตอนเข้าสู่ขั้นสี่จะมีกองทัพมอนสเตอร์รอต้อนรับ ถ้าแบบนั้นก็ต้องกระโดดข้ามไปขั้นห้าเลย แต่ในเขตระดับห้า ความสามารถของเราคงต่ำสุด คงหาทรัพยากรได้ไม่เพียงพอ”
“ดังนั้น เก็บทรัพยากรตอนอยู่ขั้นสามให้มากที่สุด แล้วค่อยเลื่อนจะดีกว่า”
ซูเย่เอ่ยขึ้น
“ฉลาดดีนี่”
ถังอี้ตอบ
“อย่าคิดว่าลูกรักสวรรค์อย่างพวกเรา อยู่แบบสบายไปวัน ๆ เลย ถ้าไม่อยากพัฒนาอยู่แบบสบาย ๆ ก็ได้ แต่ถ้าอยากแกร่งยิ่งกว่าเดิม ก็ต้องสู้สุดชีวิต”
“ก่อนหน้านี้เราไม่ได้สบายกันมากนักหรอก ช่วงหลังมานี้ถึงได้มีทรัพยากรเพิ่มมากขึ้น”
ซูเย่พยักหน้ารับรู้
“ฉันมีสองคำถาม”
“นายมีคำถามมากเกินไปแล้ว ประลองกันก่อนค่อยถาม”
ถังอี้วาดมือตั้งท่าพลางเอ่ย
“งั้นก็เข้ามาสิ”
ซูเย่กวักมือเรียก
ถังอี้ไม่ได้โมโห เขาทำเพียงยิ้มเบา ๆ แล้วพุ่งทะยานไปทางซูเย่ด้วยความรวดเร็ว
พริบตาเดียวก็ทะยานมาถึงหน้าซูเย่ พร้อมกับฝ่ามือที่ซัดออกอย่างรวดเร็ว จู่โจมซูเย่อย่างบ้าคลั่ง
ซูเย่โบกมือเพื่อโต้กลับ และปะทะกับฝ่ายตรงข้ามทันทีด้วยกระบวนท่าต่าง ๆ
ในระหว่างการประมือ ซูเย่สัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังต่อสู้ของอีกฝ่ายแข็งแกร่งกว่าพลังของผู้ฝึกยุทธ์ระดับเดียวกันอย่างแน่นอน
ไม่ว่าจะด้านพละกำลัง หรือว่าด้านความเร็ว ต่างอยู่ในระดับที่แข็งแกร่งมาก
นอกจากนี้ยังมีการใช้เทคนิคและการเคลื่อนไหวพิเศษบางอย่างอีกด้วย
ผู้ฝึกยุทธ์ทั่วไปที่ได้รับการบ่มเพาะโดยทีมสืบสวนไม่มีทางสู้กับเขาได้แน่นอน แม้ว่าจะเป็นผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดาขั้นสี่ก็อาจไม่สามารถเอาชนะเขาได้
น่าเสียดายที่ซูเย่ไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดา
ในชั่วพริบตาก็สามารถจับจุดอ่อนของอีกฝ่ายได้ แล้วเริ่มการโจมตีอย่างรุนแรง
ซัดฝ่ามือไปที่หน้าอกของอีกฝ่าย
ฝ่ามือนี้ไม่ได้ประทับลงไป แต่หยุดห่างอยู่ตรงหน้าหัวใจของเขาไม่กี่มิลลิเมตร
“ฉันแพ้แล้ว นายมีความแข็งแกร่งมาก คลื่นลูกใหม่น่ากลัวแบบนี้นี่เอง ฉันต้องฝึกฝนให้หนักขึ้น และในที่สุดก็มีคนที่สามารถกระตุ้นฉันได้แล้ว”
ถังอี้ก้าวถอยหลังและพูดกับซูเย่พร้อมรอยยิ้มสดใส
“ฮะ?”
ซูเย่ประหลาดใจครู่หนึ่งและกล่าวขึ้น “นิสัยนายไม่เหมือนกับลูกรักสวรรค์พวกนั้นเลย”
“พอดีว่าที่บ้านสอนมาดี แล้วก็ประลองกับพวกระดับสูงมาเยอะ แพ้บ่อยอยู่เหมือนกัน ชินแล้วล่ะ”
ถังอี้เอ่ยอย่างตรงไปตรงมา
“แบบนี้นี่เอง”
ซูเย่พยักหน้าเข้าใจ “ยามชนะไม่หยิ่งยโส ยามแพ้ก็ไม่มีท่าทีจนตรอก นายอนาคตสดใสแน่นอน”
“นายก็เหมือนกัน พูดขี้โม้ได้ไม่อายปาก อนาคตสดใสแน่นอน ”
ถังอี้เอ่ยชื่นชม
เหอะเหอะ เจ้าบ้านี่ แอบจิกกัดอยู่เหมือนกัน ซูเย่ลอบยิ้มในใจ
“แล้วนายพอรู้จักตลาดมืดในยุทธภพไหม?”
ยุทธภพมีตลาดมืดอยู่มาตั้งแต่สมัยโบราณ แต่ว่าเขาไม่รู้ว่าในปัจจุบันมันอยู่ที่ไหน
“ลูกค้าประจำเลยล่ะ”
ถังอี้พยักหน้าทันที “ของที่ได้จากในดินแดนนั้น ส่วนมากก็เอาไปปล่อยขายในตลาดมืด ยกเว้นบางอย่างที่มีประโยชน์ต่อทางการ”
“โอ๊ะ? งั้นที่ตลาดมืด หยกปราณธรรมดาหนึ่งก้อนสามารถขายได้เท่าไหร่?”
ซูเย่เอ่ยถามด้วยความสงสัย
“หนึ่งหมื่นห้า มากกว่าโถงแลกเปลี่ยนห้าพัน”
ถังอี้เอ่ยตอบทันที
เรื่องแบบนี้ ทุกคนในยุทธภพต่างรู้ดี
ทางการก็รับรู้ บางครั้งยังสนับสนุนแบบลับ ๆ
เพราะในเมื่อต้องการให้ม้าวิ่งได้ไกลก็ต้องให้มันกินหญ้าดี ต้องเปิดโอกาสให้ทุกคนได้หาเงินใช่ไหมล่ะ?
ทุกคนต้องแลกเปลี่ยนได้ตามความต้องการ ถึงจะมีแรงผลักดันในการหาทรัพยากรในดินแดนภูผามหานทีไง
แน่นอนว่าแลกเปลี่ยนหยกปราณในดินแดนภูผามหานที แล้วเอาออกมาขายโลกภายนอกเพื่อเอากำไร แบบนี้ไม่ได้!
“ถ้ามียาเม็ดที่กินลงไปแล้วจะทำให้คนที่อยู่ขั้นหนึ่งเลื่อนไปขั้นสองได้ทันทีละ?”
ซูเย่เอ่ยถาม
“นายมีโอสถ?”
ถังอี้เอ่ยอย่างตกตะลึง และเอ่ยถามอย่างยากจะทำใจเชื่อได้
ในยุทธภพไม่ค่อยพบโอสถมากนัก แต่ซูเย่มีงั้นเหรอ?
“ไม่มี”
ซูเย่ยิ้มพลางส่ายศีรษะ “ฉันแค่ได้ยินมาว่ามียาอะไรแบบนี้อยู่ด้วย ก็เลยถามราคาดู เผื่อจะได้ซื้อให้เพื่อนน่ะ”
“โอสถที่ทำให้ขั้นหนึ่งเลื่อนไปขั้นสอง?”
ถังอี้คิดอยู่อึดใจหนึ่ง “ถ้ามีอยู่จริง หนึ่งเม็ดก็น่าจะขายได้ประมาณเม็ดละห้าหมื่นละมั้ง”
“แต่ว่าคนที่ต้องการยาแบบนี้ไม่น่าปรากฏตัวที่ตลาดมืดหรอกนะ อาจจะไม่รู้ว่ามีตลาดมืดอยู่ด้วยซ้ำ มีเพียงแค่ไม่กี่คนที่ยอมจ่ายเงินซื้อยาแบบนี้”
“ยิ่งไปกว่านั้น ต่อให้เลื่อนถึงขั้นสอง แต่ในดินแดนนั้นก็ไม่ได้รับสิทธิ์พิเศษอะไร กลับกันอาจจะถูกคนอื่นรังแกด้วยซ้ำไป ถ้าหากเป็นยาที่เพิ่มเป็นขั้นสามหรือขั้นสี่ก็น่าจะได้ราคาสูงกว่า”
“แต่ไม่ว่ายังไงก็ตาม พวกยาโอสถที่ยุทธภพไม่ค่อยมีมากนัก มีน้อยที่สามารถซื้อได้”
มีน้อย?
ห้าหมื่น?
ซูเย่ยิ้มออกมาอย่างดีใจ
ราคาของยาที่เท่ากับหยกปราณธรรมดา 300 ก้อน เอาไปหลอมให้เรียบร้อย ก็สามารถมีราคาเท่ากับ 10 ล้าน!
แน่นอนว่าส่วนหนึ่งของเงินที่หายไปจากกฎของทางการก็ถือว่าแลกเอาคืนมาได้ผ่านวิธีการนี้!
ตอนนี้มันเป็นเพียงโอสถเรียกปราณจากขั้นหนึ่งไปขั้นสอง
ในอนาคต ถ้ามีสมุนไพรเพียงพอ ก็จะทำเงินได้มากกว่าเดิม
“ที่ตั้งของตลาดมืดจะไปได้ยังไง”
ซูเย่เอ่ยถามอีกครั้ง
“ฐานทัพทั้งหกเขตต่างก็มีตลาดมืด ที่จี้หยางก็มีเหมือนกัน”
ถังอี้เอ่ยตอบ “อยู่ที่แถว ๆ ตรอกฉางอัน นายไปก็จะรู้เอง”
“ขอบคุณ”
ซูเย่พยักหน้าเชิงขอบคุณ
“ลาก่อน มีโอกาสไว้พบกันใหม่”
ถังอี้พยักหน้าเบา ๆ แล้วเดินจากไปอย่างสบายใจ
ซูเย่รู้สึกว่าถ้าถังอี้สวมชุดโบราณแล้วเอาพัดให้เขาถือสักเล่ม เขาจะดูเป็นคุณชายที่หล่อเหลาและสง่างามอย่างแน่นอน
ในเวลาเย็น
ซูเย่นำยาทั้งหมดมุ่งหน้าตรงไปที่ถนนโบราณฉางอัน
มีถนนโบราณที่มีชื่อเสียงหลายแห่งที่ถนนโบราณฉางอันในเมืองจี้หยาง แต่ปกติไม่ค่อยมีคนพูดถึงมัน และชื่อเสียงบนอินเทอร์เน็ตก็ไม่ค่อยดีนัก มักจะมีข่าว เช่น การกลั่นแกล้งและการดูถูกผู้คนปรากฏขึ้นมาเสมอ
ซูเย่คาดไม่ถึงว่าตลาดมืดแห่งยุทธภพจะแฝงอยู่ในสถานที่ที่ครึกครื้นเช่นนั้น
ระหว่างทางซูเย่ซื้อหน้ากากมาสวม
เมื่อเขามาถึงถนนโบราณฉางอัน ซูเย่เห็นผู้คนมากมายตั้งแผงขายของบนถนนจากระยะไกล มองดูคร่าว ๆ แล้วเป็นของจิปาถะทั่วไป
ของที่ตั้งแผงอยู่ทั้งหมดล้วนเป็นของธรรมดา
จนเดินผ่านตรอกแห่งหนึ่ง ซูเย่ถึงได้หยุดฝีเท้าลง
เขาเห็นว่ามีของหลายอย่างจากดินแดนภูผามหานที
เจอแล้ว!
ซูเย่กำลังจะเข้าไป
“เดี๋ยวก่อน”
ลุงวัยกลางคนยิ้มขึ้นมา หยุดซูเย่ไว้พลางกล่าว “มีกฎในถนนฉางอันแห่งนี้ เธอต้องประทับฝ่ามือที่หินก่อนเข้าไป”
“ครับ?”
ซูเย่ผงะไป
เมื่อมองไปในทิศทางที่อีกฝ่ายหนึ่งชี้ ตรงทางเข้าถนนมีหินก้อนใหญ่มีรอยฝ่ามือจำนวนมาก แต่ละอันมีความลึกต่างกัน
“ทำไมต้องประทับฝ่ามือเหรอครับ?”
ซูเย่เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้ม
“เพราะความรัก”
ลุงวัยกลางคนหัวเราะแล้วพูดตอบ “ถ้าเธอถามคำถามนี้ เธอไม่ต้องประทับฝ่ามือก็ได้ แต่ห้ามเข้ามาในถนนสายนี้!”
ขณะที่พูด เขาก็แสดงตรา ‘ผู้จัดการ’ ของเขาออกมา
ซูเย่ยิ้มเจื่อน
ชายหนุ่มเดินไปที่หินก้อนนั้น แบฝ่ามือออกแล้วตบลงไปที่หิน
ฝ่ามือที่ดูเหมือนบางเบาตบลงไป และมีรอยฝ่ามือปรากฏขึ้นบนหินทันที
เมื่อมองดู มันลึกกว่ารอยฝ่ามืออื่นที่อยู่รอบ ๆ มาก
เวลานี้ ผู้คนรอบ ๆ มองที่ซูเย่ด้วยความตกใจ
“โอ๊ะ ดูไม่ออกเลยนะเนี่ย พ่อหนุ่ม อายุยังน้อยแต่เป็นยอดฝีมือขั้นสามแล้ว?”
ลุงวัยกลางคนมองที่ซูเย่ด้วยสายตาที่ตะลึงเล็กน้อยแล้วพูดขึ้น “เธอเข้าไปได้แล้ว”
ขณะพูด คนรอบข้างก็แยกย้ายกันไปทันทีเพื่อหลีกทางให้ซูเย่เข้าสู่ถนนโบราณฉางอันแห่งนี้
จากนั้น ซูเย่จึงตระหนักว่าเกือบทุกคนในถนนทั้งสายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ ไม่ใช่คนธรรมดา
และนี่คือเหตุผลว่าทำไมถนนโบราณฉางอันถึงได้มีชื่อเสียงที่ไม่ค่อยดีในโลกออนไลน์
เพราะคนธรรมดาจะได้ไม่เข้ามา!
เขากำลังจะเดินเข้าไปพอดี ทันใดนั้นก็มีเสียงคนตะโกนมา
“ผู้ตรวจเมืองมาแล้ว!”
ที่ทางเข้าถนนโบราณ จู่ ๆ ลุงวัยกลางคนก็ตะโกนเสียงดัง แล้วหันหลังหนี
ซูเย่หันไปมอง เขาเห็นรถผู้ตรวจเมืองสองคันเพิ่งจอดลง และเจ้าหน้าที่หลายคนก็เดินลงมาอย่างเย่อหยิ่งและมองไปรอบ ๆ อย่างเย็นชา
ในถนนโบราณ
พ่อค้าแม่ค้าทุกคนที่กำลังเฝ้าร้านก็เหมือนเห็นผี พวกเขาเก็บของทุกอย่างลงไป แล้ววิ่งหลบไปในระยะไกล
คนเพิ่งจากไป มนุษย์ป้ากลุ่มหนึ่งก็วิ่งออกมาอย่างมีความสุขจากด้านหลังผู้ตรวจเมือง พร้อมกับลากเครื่องเสียงขนาดใหญ่มา
จากตลาดแผงลอยที่คึกคัก ชั่วอึดใจเดียวก็กลายเป็นลานเต้นแอโรบิค
“หนึ่ง สอง หนึ่ง สอง…”
ซูเย่ “……”
ซูเย่มองฉากที่ปรากฏเข้าสู่สายตาอย่างตะลึงงัน
ผู้ฝึกยุทธ์ถูกผู้ตรวจเมืองไล่ไป? แล้วยังถูกมนุษย์ป้าแย่งพื้นที่ลานกว้างไปอีก?
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
ซูเย่ไม่รู้ว่าเขาควรทำยังไงต่อ
หลังจากที่มนุษย์ป้าเริ่มเต้นไปได้สักพัก ผู้ตรวจเมืองก็มองดูบริเวณโดยรอบอย่างละเอียดถี่ถ้วนอีกครั้ง แล้วเดินจากไป
ไม่กี่นาทีต่อมา
เมื่อเหล่ามนุษย์ป้ากำลังเต้นแอโรบิคอย่างมีความสุขเพราะพวกเขาได้ยึดครองลานกว้าง เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ที่เพิ่งหนีออกมาก็มองดูคุณป้าที่กำลังเต้นแอโรบิคอยู่ด้วยรอยยิ้มเยาะเย้ยจากระยะไกล
พลันได้ยินเสียงแว่วเหมือนวัตถุลอยอยู่บนอากาศดังมา
ซูเย่มองหาที่มาของเสียง เขาเห็นก้อนหินหลายสิบก้อน ลอยมาจากทิศทางที่ต่างกันและกระแทกกับเครื่องเสียงของเหล่าคุณป้าทันที ทำให้ลำโพงได้รับความเสียหาย
“ทำไมถึงพังอีกแล้วล่ะ”
เมื่อไม่มีเครื่องเสียง พวกคุณป้าก็เปิดเพลงจากโทรศัพท์มือถือ แต่พบว่าเสียงเบาเกินไปและไม่มีบรรยากาศ ดังนั้นพวกคุณป้าจึงทำได้เพียงกลับไปด้วยความหดหู่ใจ
“คราวหน้าเปลี่ยนเป็นลำโพงคุณภาพดีกัน!”
เมื่อเหล่ามนุษย์ป้าจากไป เหล่าผู้ฝึกยุทธ์ก็กลับมาตั้งแผงขายของอีกครั้ง
ตลอดทั้งถนน กลับมาคึกคักพลุกพล่านด้วยผู้คนแบบเดิม
ซูเย่ “……”
นี่มันศึกชิงดินแดนที่ยอดเยี่ยมไปเลย…
“ทำไมพวกคุณต้องหลบด้วยล่ะ”
เมื่อเห็นผู้ฝึกยุทธ์เดินมาหยุดตั้งแผงอีกครั้งใกล้ ๆ กับจุดที่เขายืนอยู่ ซูเย่ก็เอ่ยถามขึ้น
“แล้วทำไมจะไม่หลบ?”
ผู้ฝึกยุทธ์ที่กำลังตั้งแผงเอ่ยอย่างไม่ยี่หระ “ทางการไม่สู้กับประชาชน ยิ่งไปกว่านั้น ฐานะของพวกเราพิเศษ แม้ว่าจะเป็นผู้ตรวจเมืองแต่เขาก็เป็นคนธรรมดา พวกเราไม่กล้าทำอะไรเขาหรอก ถ้าหากพลั้งมือฆ่าคนตายขึ้นมาจะทำไง อีกอย่างหาเงินเล็ก ๆ น้อย ๆ ไม่เป็นไรหรอก นี่ไงเราก็กลับมาตั้งแผงต่อแล้วไง”
เจ้าของแผงที่อยู่รอบ ๆ ก็พยักหน้าอย่างเห็นด้วย
“พวกคุณไม่รู้จักคนจากทีมสืบสวน?”
ซูเย่เอ่ยอย่างสงสัย
“ไอ้รู้จักน่ะก็รู้จัก ก็คือเรารู้จักเขา แต่เขาไม่รู้จักเรา”
เจ้าของแผงคนหนึ่งเอ่ยขึ้น “อีกอย่าง รู้จักแล้วมีประโยชน์อะไร เขาช่วยเราให้ตั้งแผงลอยที่ได้งั้นเหรอ?”
เจ้าของแผงลอยรอบ ๆ ก็พากันหัวเราะเสียงดัง
“ถ้าอย่างนั้นพวกคุณทุกคนก็เป็นพวกผู้ฝึกยุทธ์พเนจร”
ซูเย่ถาม
“ถูกต้อง!”
เจ้าของแผงลอยข้างเขาพยักหน้าและกล่าว “เราเป็นเพียงผู้ฝึกยุทธ์ธรรมดา ๆ เราไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับกิจการของทีมสืบสวน ตราบใดที่เราสามารถหาเงินที่นี่เพื่อเลี้ยงดูครอบครัวของเราได้ เรื่องอื่น ๆ เราขอไม่เกี่ยว”
“เราไม่ได้ทำผิดกฎหมาย ทีมสืบสวนก็แค่ขอให้เราลงทะเบียน พวกเขาทำได้แค่เปิดตาข้างปิดตาข้าง น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลอง”
“พวกเขาก็ไม่อยากกดดันเรามากเกินไป เพราะกลัวเราจะไปต่อต้านพวกเขา”
“นั่นสินะ ฮ่า ๆๆ”
……
ทุกคนพูดคุยสัพเพเหระกันไปเรื่อย พูดไปยิ้มไป บรรยากาศค่อนข้างดี
“ในเมื่อเป็นผู้ฝึกพเนจร งั้นพวกคุณหาทรัพยากรกันจากที่ไหนละครับ”
ซูเย่ซื้อบุหรี่จากร้านใกล้ ๆ มาสองสามห่อ แล้วส่งให้เจ้าของแผงลอยข้าง ๆ พลางเอ่ยถามอย่างสงสัย
“ผู้ฝึกยุทธ์พเนจรก็เป็นคนเหมือนกันนะ”
เจ้าของแผงลอยรับบุหรี่มาเอ่ยตอบพร้อมรอยยิ้ม
“พวกเราก็ได้ไปที่นั่นเดือนละครั้ง ขอแค่จ่ายเงินเข้าไป ส่วนทรัพยากรที่ได้จะต้องส่งให้ทางการถึงสี่ต่อห้าส่วน”
“นั่นมันโหดไปแล้ว”
“โหดยิ่งกว่าพวกเราอีก!”
แม้ว่าพวกเขาจะบ่นกันทุกคน แต่ก็ยังยิ้มได้ และก็เห็นได้ว่าพวกเขาไม่มีภาระอะไร
“เรียกเก็บเยอะจริง ๆ!”
เมื่อได้ยินเสียงของทุกคน ซูเย่พูดอย่างเข้าอกเข้าใจ
ตอนแรกเขาคิดว่าตัวเองจ่ายไปสามส่วนห้าก็เยอะมากแล้ว แต่เขาคิดไม่ถึงเลยว่าผู้ฝึกยุทธ์พเนจรต้องจ่ายถึงสี่ส่วนห้า!
พอได้เปรียบเทียบแบบนี้ ในตอนนี้ความรู้สึกของซูเย่ก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นมาเล็กน้อย
“แล้วที่นี่มีร้านที่รับซื้อของไหมครับ”
ซูเย่เอ่ยถาม