เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 115 ฝ่ายมหาวิทยาลัยจะแพ้เหรอ?
บทที่ 115 ฝ่ายมหาวิทยาลัยจะแพ้เหรอ?
‘จ้าวเหมียน ไอ้เวรตะไล เคลียร์พื้นที่? เกิดอะไรขึ้น?’
‘ถ่ายรายการอะไรกัน การประลองระหว่างแพทย์แผนจีนแท้ ๆ ทำไมถึงยังถ่ายรายการ? ให้พวกเราดูถ่ายทอดสดสิ!’
‘จะหลบซ่อนอะไรนักหนา ให้ทุกคนรับชมด้วยกันสิ’
‘ฉันเฝ้ารอมาตั้งหลายวัน รอแค่การถ่ายทอดสดของวันนี้ มาบอกฉันว่าไม่ให้ดูเรอะ? ไอ้จ้าวเหมียนนายมันหุบกินคนเดียว นายมันไม่ใช่คน!’
ชาวเน็ตสบถก่นด่า
เพิ่งดูถ่ายทอดสดได้สิบกว่านาที ทำไมถึงกลายเป็นแบบนี้
ณ ที่ตรงนั้น ผู้กำกับจ้าวเหมียนไม่เห็นคำด่ามากมายจากชาวเน็ต ถึงเห็นก็ไม่สนใจ เขามาเพราะภารกิจทางการเมือง
เมื่อวานอยู่ ๆ เบื้องบนก็มอบภารกิจให้ สั่งเขาว่าจงถ่ายทำศึกประลองระหว่างแพทย์แผนจีนให้เป็นรายการ และต้องรับประกันคุณภาพ ถึงเวลาค่อยเปิดให้ผู้ชมทั้งประเทศดู ห้ามผิดพลาดเด ด็ดขาด
เขาเองก็สงสัยมากเช่นกันว่าทำไมเบื้องบนถึงให้ความสำคัญกับศึกประลองนี้ขนาดนี้
แต่นี่เป็นคำสั่งโดยตรง หากทำสำเร็จย่อมได้คะแนนในใจของเบื้องบน เขาจึงพาทั้งทีมงานเดินทางทั้งคืนมาที่นี่ด้วยความตื่นเต้น กลัวเหลือเกินว่าจะไม่ทัน
ยังดีที่ทัน
รอจนเจ้าหน้าที่เคลียร์สื่อและเหล่าเน็ตไอดอลในพื้นที่เรียบร้อยแล้ว
คนเข้าประลองจากทั้งสองฝ่ายก็เดินออกมาจากโรงแรมของตัวเอง
ออกจากโรงแรมปุ๊บ
ซูเย่ก็เห็นจ้าวเหมียนอยู่ในตำแหน่งผู้กำกับเรียบร้อย
ชายหนุ่มผงะเล็กน้อย
พอเห็นจ้าวเหมียนหันมามองตัวเอง ก็รีบโบกมือให้ผู้กำกับจ้าวเหมียนไกล ๆ เป็นการทักทาย ซึ่งผู้กำกับจ้าวเหมียนเองก็ยิ้มและพยักหน้าเป็นการตอบรับ
เข้าไปในสนาม
ซูเย่หันมองรอบ ๆ
เวลานั้น คนในสนามน้อยมาก
แม้แต่นักข่าวจากสื่อต่าง ๆ ทั้งหมดยังโดนไล่ออกไปจนสิ้น
มองไปรอบ ๆ ซูเย่เห็นคนหน้าคุ้นไม่น้อยในมุมหนึ่งของสนาม
คนที่นำอยู่คือผู้บัญชาการจากฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ ปาปู้เต๋อ
ส่วนบรรดาคนที่ติดตามปาปู้เต๋อมาก็คือบรรดาพี่น้องที่ปาปู้เต๋อบังคับขุดไปจากพรรคถูโช่วจย้าเทียน และกำลังมองเขาด้วยความตื่นเต้นดีใจอยู่ แต่ละคนกระโดดโบกมือให้ซูเย่
ซูเย่ก็ยิ้มโบกมือคืนให้ทุกคน
ลองสำรวจดี ๆ
เขาพบว่าตอนนี้เหล่าพี่น้องทั้งหลายอยู่ขั้นสี่ระดับสามหมดแล้ว
ได้เห็นเพื่อนพี่น้องมีชีวิตที่ไม่เลว และมีทรัพยากรเพียงพอค้ำจุนให้พวกเขาฝึกฝนบำเพ็ญเขาก็สบายใจ
ดูท่าทุกคนน่าจะได้รับคำสั่งจากเบื้องบนให้มาคุ้มกันที่นี่
แม้แต่ผู้บัญชาการมหานครตะวันตกเฉียงเหนือปาปู้เต๋อยังมาด้วยตัวเอง เห็นได้ว่าเบื้องบนให้ความสำคัญกับบุคลากรแพทย์แผนจีนเหล่านี้ขนาดไหน
ขณะนั้น พยานทั้งหกท่านเดินเข้ามา และนั่งลงตรงที่นั่งกรรมการที่เตรียมไว้ก่อนหน้านี้
รอจนพยานทุกคนนั่งลงแล้ว หัวหน้าหน่วยหลี่มองไปรอบ ๆ ก่อนจะกล่าว “ตอนนี้มากันครบแล้ว ฉันขอพูดอะไรหน่อย ที่เรามากันวันนี้ จุดประสงค์เพื่อประลองฝีมือแพทย์ แต่ฉันขอย้ำว่า ฝีมือแพทย์มาอันดับหนึ่ง จรรยาบรรณแพทย์ก็มาเป็นอันดับหนึ่ง! ฝีมือแพทย์คือจรรยาบรรณแพทย์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด และจรรยาบรรณแพทย์ก็คือฝีมือแพทย์ที่ดีที่สุด! เพราะฉะนั้นไม่ว่าเข้าป ประลองหรือไม่ ขอให้ทุกท่านพยายามไปด้วยกัน ตอนนี้ฉันขอประกาศกฎกติกา”
“วันนี้จะดำเนินการประลองหกวิชาพร้อมกัน ทั้งหกวิชานี้แบ่งออกเป็นจักษุวิทยา โสต ศอ นาสิกวิทยา ทันตกรรม นรีเวชศาสตร์ รักษาบาดแผล และตจวิทยา”
“การประลองแบ่งออกเป็นหกกลุ่ม ดำเนินพร้อมกัน”
“แต่ละวิชามีคนไข้ห้าสิบคน ล้วนแต่เป็นคนไข้อาสาสมัครจากในเน็ต ความยากของอาการป่วยสำหรับการประลองได้ผ่านการคัดเลือกและยืนยันเรียบร้อยแล้ว ความยากง่ายอยู่ในระดับเดียวกัน ท้ ายที่สุดพวกเราจะตัดสินจากอัตราหายป่วยสุดท้าย และประกาศผลการประลองในวันมะรืน มีใครสงสัยอะไรไหม?”
“ไม่มีครับ/ค่ะ!”
ผู้เข้าประลองกล่าวเสียงพร้อมเพรียง
“ดี งั้นเริ่มกันเลย”
หัวหน้าหน่วยหลี่พูดจบก็เดินไปนั่งตรงเขตกรรมการ
เวลานั้น พิธีกรคนหนึ่งเดินขึ้นมา เรียกมาฉุกเฉินเพื่อถ่ายทำรายการ
“หลังจากนี้ ขอเชิญผู้เข้าแข่งขันทั้งสองฝ่ายเข้ามาในสนาม”
เสียงของพิธีกรดังออกไป
ฝ่ายมหาวิทยาลัย
หลี่เชี่ยนหยวี จ้าวชุนอวี่ จ้าวเหวินซิน จางปิง กู้จวิ้นฮุย เมิ่งชุน หกคนก้าวออกไปพร้อมกัน
“สู้เขา!”
เหล่าคณบดีเดินเข้าไป ต่างคนต่างให้กำลังใจนักศึกษาของมหาวิทยาลัยตัวเอง
“เชื่อใจตัวเอง พวกคุณทำได้แน่นอน!”
หลิวเจิ้นเฉียงกำหมัดแน่น มองหน้าทั้งหกคนด้วยความคาดหวัง
ทั้งหกคนพยักหน้าหนักแน่น
“สู้เขา!”
“พวกนายคืออัจฉริยะจากตระกูลแพทย์แผนจีนของเรา พวกนายรู้จักแพทย์แผนจีนมานานกว่าพวกเขา จงไปพิสูจน์ความสามารถของพวกนาย พิสูจน์ว่าพวกนายไม่ด้อยไปกว่าพวกเขา”
อีกด้านเจ้าบ้านตระกูลแพทย์แผนจีนต่าง ๆ พากันให้กำลังใจผู้เข้าประลองของตัวเองเช่นกัน
ทั้งสองฝ่ายเดินเข้าสนามท่ามกลางสายตามากมาย
สิบสองคนนี้ยืนมองหน้ากันกลางสนามหน้าสุสานเสินหนง พร้อมปะทะกันสุด ๆ
“เข้าที่!”
เสียงของพิธีกรดังออกมา
ลำดับการประลองเป็นตามที่จัดเรียงก่อนหน้า เพราะฉะนั้นสถานที่และตำแหน่งการประลองก็ถูกจัดเตรียมไว้แล้วเรียบร้อย
สนามใหญ่มาก
หลังจากเคลียร์คนที่ไม่เกี่ยวข้องออกไปแล้ว ทั้งสนามถูกจัดเตรียมเป็นพื้นที่
ครึ่งสนามฝั่งซ้ายแบ่งออกเป็นหกพื้นที่เพื่อประลองทั้งหกวิชา ครึ่งสนามฝั่งขวาแบ่งออกเป็นหกพื้นที่เพื่อประลองทั้งหกวิชาเช่นกัน ผู้เข้าประลองในวิชาเดียวกันยืนประจันหน้ากัน
สิ้นเสียงคำสั่งพิธีกร
เหล่าผู้เข้าประลองต่างเดินไปยังพื้นที่ของตัวเองและนั่งลงตรงหน้าโต๊ะตรวจ
จากนั้น
คนไข้อาสาสมัครมองสำรวจรอบ ๆ ด้วยความอยากรู้อยากเห็นพร้อมเดินเข้าสนาม
แต่ละคนรักษาคนไข้ห้าสิบคน ทั้งหมดถูกจัดเตรียมไว้ก่อนหน้าแล้ว
เริ่มการประลอง!
พวกซูเย่เดินไปอยู่ด้านข้างเพื่อดูสถานการณ์ภายในสนาม
ซูเย่ไม่ได้ดูการแสดงฝีมือของหกคนฝั่งตัวเอง เขาทอดสายตามองคนจากตระกูลแพทย์แผนจีนฝั่งตรงข้ามในทันที
แม้จะยังอายุน้อยกันมาก บางคนอยู่ในวัยที่เพิ่งขึ้นมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำ แต่เนื่องจากได้รับการบ่มเพาะจากตระกูลตั้งแต่เด็ก ๆ ทำให้คนที่มาจากตระกูลแพทย์แผนจีนดูช่ำชองมาก ไม่ใช ช่แค่ด้านจับชีพจรวินิจฉัย แม้แต่กิริยาท่าทางก็คล้ายคลึงกับแพทย์แผนจีนมืออาชีพ!
เมื่อเห็นภาพนี้
ซูเย่ขมวดคิ้วเล็กน้อย
ต้องยอมรับว่าวิธีการของลูกหลานตระกูลแพทย์แผนจีนเหล่านี้เป็นเอกลักษณ์มาก อย่างน้อยก็ไม่ใช่สิ่งที่นักศึกษาฝ่ายมหาวิทยาลัยจะเรียนรู้ได้
และท่าทางเชี่ยวชาญที่พวกเขาแสดงให้เห็นขณะตรวจวินิจฉัยก็ให้ความรู้สึกเชื่อมั่นได้มากจริง ๆ
ตอนแรก คนระดับสูงของทั้งสองฝ่ายยังเชือดเฉือดกันด้วยสายตาอยู่
แต่หลังจากการประลองดำเนินมาได้ครึ่งทาง คณบดีฝ่ายมหาวิทยาลัยก็ขมวดคิ้วอย่างอดไม่ได้ หันกลับไปมองฝ่ายแพทย์แผนจีนชาวบ้าน มีคนมากมายหน้าตาชื่นมื่น
เพราะทุกคนเห็นหมดว่า
ฝ่ายแพทย์แผนจีนชาวบ้านมีคนไข้ถูกรักษาหายในทันทีจำนวนมาก
ตั้งแต่แรกเริ่ม ตราชั่งแห่งชัยชนะก็เริ่มเอนเอียงไปทางแพทย์แผนจีนชาวบ้านแล้ว
“ซูเย่”
เวลานั้น ผู้กำกับจ้าวเหมียนเดินเงียบเชียบมาอยู่ข้างกายซูเย่ และถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น “เธอว่าการประลองในวันนี้ใครจะชนะ”
“พูดยากครับ”
ซูเย่มองรอบ ๆ เมื่อเห็นว่าไม่มีกล้องถึงส่ายหัวและพูดตามความจริง “รากฐานและประสบการณ์รักษาจริงของแพทย์แผนจีนชาวบ้านโดดเด่นกว่า”
“ถ้าอย่างนั้นฝ่ายมหาวิทยาลัยก็อันตรายน่ะสิ”
ผู้กำกับจ้าวผงะ ก่อนจะถาม “แล้วเธอล่ะ?”
“ผม?”
ซูเย่หัวเราะแฮะ ๆ พร้อมตอบ “ผมเป็นอัจฉริยะ!”
ผู้กำกับจ้าว “…….”
นายเป็นคนเห็นแก่เงินสิถึงจะถูก
ป้ายโฆษณาใหญ่ขนาดนั้น
พอรายการออนแอร์ผู้ชมก็เห็นกันหมด
นั่นน่ะค่าโฆษณามูลค่าหลักร้อยล้านเลยนะ นายไม่ได้ควักสักแดงเดียว
ซูเย่ไม่สนสายตาหมดคำพูดของผู้กำกับจ้าว ดูการประลองต่อไป
หลังจากดูสถานการณ์ของฝ่ายตรงข้ามแล้ว
เขาหันกลับมามองฝ่ายตัวเอง หลี่เชี่ยนหยวีแผนกนรีเวชศาสตร์และจ้าวชุนอวี่แผนกรักษาบาดแผล
สองวิชานี้มีโอกาสชนะที่สุด
แต่
ดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ดูท่าความสามารถของพวกเขาไม่ได้ดีไปกว่าฝ่ายแพทย์แผนจีนชาวบ้าน
แค่ดูจากสีหน้าก็พอดูออกแล้ว
คนเยาว์วัยในแผนกนรีเวชศาสตร์ฝ่ายตรงข้ามมีท่าทีสบายมาก ไม่ว่าจะเจอคนไข้แบบไหนก็สามารถวางแผนการรักษาที่เหมาะสมที่สุดได้อย่างทันท่วงที และทำการรักษาให้คนไข้
ส่วนหลี่ชุนหยวี่กลับขมวดคิ้วอยู่ตลอด กับคนไข้บางคนต้องใช้เวลาขบคิดพักหนึ่งด้วย
หันกลับมามองจ้าวชุนอวี่ก็เช่นกัน
ถึงแม้ท้ายที่สุดแล้วสองคนนี้ก็มีแผนการรักษาที่เหมาะสมกับคนไข้ที่สุด แต่ในตอนที่ขบคิดวางแผนการรักษาเห็นได้ชัดว่ายังไม่ช่ำชองพอ
แต่ลูกหลานตระกูลแพทย์แผนจีนชาวบ้านกลับลื่นไหล ราวกับการรักษาง่ายเหมือนปอกกล้วยเข้าปากสำหรับพวกเขา
หลังเห็นฝีมือที่ทั้งสองฝ่ายแสดงออกมา
ซูเย่ถอนหายใจ สถานการณ์ตึงมือมากเลยนะ
บ่ายสาม เหลือเวลาอีกสองชั่วโมงกว่าการประลองจะจบ คนวัยเยาว์จากตระกูลแพทย์แผนจีนชาวบ้านแผนกรักษาบาดแผลรักษาคนไข้เสร็จไปแล้วห้าสิบคน ยืนขึ้นจากโต๊ะตรวจและยกมือเป็นการบอก
ฝ่ายตรงข้าม
จ้าวชุนอวี่ขมวดคิ้ว
คณบดีฝ่ายมหาวิทยาลัยทั้งหลายก็ขมวดคิ้ว
อีกด้าน
เจ้าบ้านตระกูลแพทย์แผนจีนทั้งสิบสามคนยิ้มกันหมด
เห็นรึยังว่าแพทย์แผนจีนชาวบ้านอย่างเรามีความสามารถขนาดไหน!
เวลานั้น ผู้เข้าประลองหญิงแผนกนรีเวชศาสตร์จากตระกูลแพทย์แผนจีนชาวบ้านก็ลุกขึ้นยกมือ บ่งบอกว่ารักษาเสร็จแล้ว
เมื่อเห็นภาพนี้
หลี่เชียนหวีที่อยู่ตรงข้ามมีสีหน้าย่ำแย่ขึ้นมา
ไม่ใช่แค่เธอ
บรรดาคณบดีจากฝ่ายมหาวิทยาลัยต่างมีสีหน้าอึมครึมลง
พวกเขามองเห็นอย่างชัดเจนว่าด้านหลี่เชี่ยนยังเหลืออีกสิบคนที่รักษาไม่เสร็จ แต่อีกฝ่ายเสร็จเรียบร้อยแล้ว
ห่างชั้นกันขนาดนี้เชียว?
นาทีต่อมา
ภาพที่น่าตกใจยิ่งกว่าเดิมปรากฏให้เห็น
ผู้เข้าประลองฝ่ายแพทย์แผนจีนชาวบ้านสี่คนที่เหลือลุกขึ้นยกมือทีละคน
ส่วนฝ่ายมหาวิทยาลัย
ยังคงตั้งหน้าตั้งตาวินิจฉัยอาการต่อไป
“ฮ่า ๆ ทำได้สวย!”
“สมกับเป็นลูกหลานตระกูลแพทย์แผนจีนของเรา”
“เห็นรึยัง นี่แหละความสามารถของตระกูลแพทย์แผนจีน”
เจ้าบ้านตระกูลแพทย์แผนจีนมองไปทางคณบดีมหาวิทยาลัยอย่างกระหยิ่มยิ้มย่อง
สีหน้าของคณบดีฝ่ายมหาวิทยาลัยย่ำแย่กว่าเดิม
ซูเย่เองก็คิ้วขมวด
“ไม่น่าใช่นะ”
ผู้กำกับจ้าวเหมียนเห็นเช่นนั้นก็ถามด้วยสีหน้าตะลึง “ห่างชั้นกันขนาดนี้เลยเหรอ?”
“ช่วยไม่ได้”
ซูเย่ส่ายหัวก่อนจะเอ่ยขึ้น “ฝ่ายมหาวิทยาลัยเพิ่งเริ่มเรียนแพทย์แผนจีนหลังจากจบมัธยมปลายตอนอายุสิบแปด ต่อให้เป็นนักศึกษาปริญญาโทหรือปริญญาเอกก็เรียนมานานสุดแค่เจ็ดแปดปี ส่วนคนฝ่ายนั้นสัมผัสและศึกษามาตั้งแต่เด็ก นับแล้วถือว่าเรียนมากว่ายี่สิบปี”
“หลังจากเทียบแบบนี้แล้วคุณคิดว่ายังไง”
เมื่อได้ฟัง
ผู้กำกับจ้าวผงะ
“มิน่าล่ะตระกูลแพทย์แผนจีนชาวบ้านถึงใจกล้าท้าประลอง”
ผู้กำกับจ้าวถอนหายใจ ก่อนจะเอ่ยขึ้น “ดูท่า ฝ่ายมหาวิทยาลัยจะแพ้แล้ว”
ซูเย่ส่ายหัวเบา ๆ
เขาไม่อยากให้ฝ่ายมหาวิทยาลัยแพ้หรอก
แม้ว่าฝ่ายมหาวิทยาลัยมีความสามารถไม่สู้ตระกูลแพทย์แผนจีนชาวบ้านจริง ๆ แต่หากฝ่ายมหาวิทยาลัยแพ้ แพทย์แผนจีนฝ่ายมหาวิทยาลัยอย่างเขาจะนำวงการแพทย์แผนจีนต่อไปได้ยังไง แล้วจะผล ลักดันพัฒนาแวดวงแพทย์แผนจีนได้ยังไง?
เพราะฉะนั้นไม่ว่ายังไง ฝ่ายมหาวิทยาลัยก็แพ้ไม่ได้!
การประลองดำเนินต่อไป
ลูกหลานตระกูลแพทย์แผนจีนชาวบ้านแยกย้ายกันไปพักผ่อน แต่ละคนมองคู่ประลองตัวเองด้วยสีหน้ามั่นใจ
ฝ่ายมหาวิทยาลัย นักศึกษาทั้งหกเริ่มมีจังหวะการรักษาผิดเพี้ยน แต่ก็มิได้หยุดสิ่งที่ทำอยู่ พวกเขาพยายามรักษาความเยือกเย็นไว้และรักษาต่อไป
จนกระทั่งนาทีสุดท้ายก่อนห้าโมงเย็น นักศึกษาทั้งหกคนจากฝ่ายมหาวิทยาลัยถึงรักษาคนไข้ของตัวเองจนเสร็จสิ้น
“จบการประลอง!”
หลี่เจิ้งต้าวก้าวออกมา “ผลการประลองในครั้งนี้จะประกาศในวันมะรืน การประลองที่จะจัดขึ้นในวันพรุ่งนี้คือการฝังเข็ม ผู้เข้าประลองกรุณาเตรียมพร้อมให้ดี”
สิ้นเสียง
นักศึกษาที่เข้าร่วมประลองก็เดินกลับมา
ดูออกว่าทั้งหกคนอารมณ์หม่นหมองมาก
พวกเขาเป็นการดำรงอยู่ระดับท็อปในมหาวิทยาลัย โดยเฉพาะในวิชาที่พวกเขาถนัด ยิ่งไม่มีใครกล้าหือกับพวกเขา
แต่ความมั่นใจของพวกเขาถูกทลายลงในวันนี้
เจ้าพวกลูกหลานตระกูลแพทย์แผนจีนที่ไม่เคยเรียนมหาวิทยาลัยด้วยซ้ำกลับโค่นพวกเขาได้อย่างสิ้นเชิง ไม่ใช่แค่โค่นธรรมดา แต่โค่นแบบราบคาบไม่เห็นฝุ่น
รักษาคนไข้ห้าสิบคนเหมือน ๆ กัน แต่ลูกหลานตระกูลแพทย์แผนจีนชาวบ้านกลับใช้เวลาน้อยกว่าถึงสองชั่วโมง
ห่างกันเกินไปแล้ว!