เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 136 แย่งชิงตำแหน่งกันอย่างบ้าคลั่ง!
บทที่ 136 แย่งชิงตำแหน่งกันอย่างบ้าคลั่ง!
“สวัสดีค่ะ ขอโทษนะคะ แต่คุณเพิ่งแข่งขันศึกแห่งแพทย์แผนจีนกันเสร็จ ไปวางแผนร่วมมือกันได้อย่างไรคะ?”
“ขอโทษครับ แผนของโครงการยื่อยิงจะเริ่มต้นเมื่อไร และมีวิธีการเปิดให้สมัครเข้าร่วมอย่างไรครับ?”
“ในเมื่อเป็นการร่วมมือกันของสามฝ่าย ขอทราบวิธีการแบ่งหุ้นกันได้ไหมคะ?”
เป็นเวลาอยู่พักหนึ่ง
สื่อต่าง ๆ ในงานแถลงข่าวพากันตั้งคำถามขึ้นมาอย่างไม่หยุดหย่อน
ซูเย่และคนอื่น ๆ ถูกคำถามถาโถมกระหน่ำเข้ามาซ้ำแล้วซ้ำอีก
ภายใต้ความวุ่นวายของเสียงถามจากผู้คนมากมาย
ชายหนุ่มคนหนึ่งที่นั่งอยู่ในงาน ฟังเสียงแสนโกลาหลของผู้คนในสถานที่แห่งนั้น พลางเปิดดูประเด็นร้อนบนเวยป๋อด้วยโทรศัพท์ของเขา ทันใดนั้นได้เผยอยิ้มยกมุมปากขึ้นมา
“เริ่มเป็นเรื่องใหญ่แล้วนะเนี่ย ไม่แปลกใจเลยที่ฉันต้องออกมายับยั้งการพัฒนาของแพทย์แผนจีนด้วยตัวเอง”
“และเด็กคนนี้ชื่อซูเย่”
เขาเงยหน้าขึ้นมองซูเย่ที่อยู่บนเวที ทำท่าเหมือนผู้ชมคนอื่นในงานอย่างสมบูรณ์ ระหว่างที่ยิ้มอยู่ก็พึมพำ “ได้ยินมาว่าต้นเหตุที่ทำให้แผนล่มก็มาจากเด็กนี่ นึกว่านักศึกษามหาวิทยาลัยจะไม่มีปัญญาทำอะไรเสียอีก ตอนนี้ดูเหมือนว่าเขาคงมีความลับอยู่สักสองสามอย่าง”
“ถ้าปล่อยให้เขาทำต่อไป วงการแพทย์แผนจีนจะต้องก้าวหน้าอย่างแน่นอน”
รอยยิ้มบนใบหน้ายังคงอยู่ไม่เปลี่ยนแปลง
ดวงตาหรี่เล็กลง ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง
จากนั้นจ้องมองไปยังซูเย่ กล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้มฉีกกว้าง “ตอนนี้ก็ถือว่าทำได้ดี เดี๋ยวฉันมีอะไรจะเซอร์ไพรส์ให้โดยที่ไม่รู้ตัว ต่อไปจะเป็นการประลองของปรมาจารย์แพทย์แผนจีนใช่ไหม?”
“ปล่อยให้หมามันกัดกันไปก่อน”
ยิ่งพูดเยอะเท่าไร รอยยิ้มของเขายิ่งฉีกกว้างมากขึ้นเท่านั้น
“แต่โชคร้ายหน่อย ที่อาจารย์ของแกจะต้องตาย”
กล่าวจบ เขาก็เดินออกไปโดยที่ยังยิ้มอยู่
ขณะนั้นเอง
ซูเย่ที่คอยตอบคำถามอยู่บนเวที สังเกตได้ว่ามีคนคอยจ้องเขาเขม็ง ทันใดนั้นจึงเงยหน้าหันไปยังทิศทางที่เขาสัมผัสได้ถึงความผิดปกติ
ผลปรากฏว่าจุดที่เขามองไป ทุกคนล้วนจ้องมองเขากลับมา
“สงสัยคิดไปเองมั้ง?”
พอซูเย่ได้สติ คลื่นคำถามก็ถาโถมเข้าใส่เขาอีกครั้ง
……
เมืองหางโจว
ในคฤหาสน์ตระกูลไป๋
เป็นเวลากว่าสามสิบนาทีหลังจากอาหารเช้า ทว่าไป๋ผู้พ่อก็ยังไม่ได้ออกจากห้องรับประทานอาหาร กลับดูถ่ายทอดสดในโทรทัศน์บนกำแพงต่อไป พร้อมเดินไปมาภายในห้องอาหาร
“เลินเล่อ ฉันประเมินเด็กคนนี้ต่ำเกินไปจริง ๆ”
เขามองไปยังโทรทัศน์ จากนั้นละสายตาแล้วครุ่นคิด ตาหรี่เล็กและพึมพำออกมา “เป็นตลาดที่ใหญ่โตมาก หากทำได้ดี อย่าว่าแต่ภายในประเทศเลย แม้แต่ต่างประเทศเองก็ขยายไปได้ ภายในอนาคตอาจจะมีรายชื่อเรียงเป็นแถว”
“ฉันก็แค่ไม่รู้ว่าตอนนี้เขามีส่วนได้ส่วนเสียมากเท่าไร ตัดสินจากผลงานของอีกสองคนแล้ว ก็น่าจะต้องลงทุนไปเยอะอยู่”
“ถ้าอย่างนั้นไม่ได้หมายความว่าข้อตกลงที่ฉันเคยตั้งให้เขาใกล้จะสำเร็จแล้วหรือ?”
……
อีกด้านหนึ่ง
ผู้นำสิบเอ็ดตระกูลจากสิบสามตระกูลแพทย์แผนจีนพื้นบ้านมีคำด่านับพันคำวิ่งอยู่ในใจพวกเขา
เพิ่งผ่านไปเพียงไม่กี่วัน แต่อีกสองตระกูลกลับร่วมงานกันเสียแล้ว!
ในกลุ่มวีแชต
ผู้นำตระกูลฉินพิมพ์จุดไข่ปลาลงไป ‘…’
ผู้นำตระกูลหย่วน ‘…’
ผู้นำตระกูลเกา ‘…’
……
สุดท้ายแล้วผู้นำทั้งสิบเอ็ดคนได้พิมพ์จุดไข่ปลาเรียงกันลงมา
พวกเขาหมดคำพูด
‘ฮ่าฮ่า’
ผู้นำตระกูลเว่ยตอบกลับ ‘เด็กมันเล่นกันเองน่ะ อย่าไปโทษพวกเขาเลยนะ’
ผู้นำตระกูลหลี่ ‘ใช่ใช่ใช่ เด็กมันไปคุยกันอีท่าไหนไม่รู้ พวกเราคนแก่ไปห้ามไม่ได้หรอก ปล่อยไปเถอะ ให้พวกเขาได้เรียนรู้ความสูญเสียกันเอง’
ผู้นำตระกูลฉิน ‘…’
ผู้นำตระกูลหย่วน ‘…’
ผู้นำตระกูลเกา ‘…’
……
สูญเสีย?
เรื่องมันดำเนินมาถึงขนาดนี้แล้ว มีกระทั่งจัดงานแถลงข่าว และยังได้รับความสนใจจากผู้คนอย่างล้นหลาม จะเอาอะไรมาสูญเสีย?
ที่สำคัญคือไม่ต้องใช้เงินลงทุนด้วยซ้ำ เพียงแค่คิดค้นวิชาสำหรับนำไปสอนต่อ เอาตรงไหนมาบอกว่าสูญเสีย?
แม้จะบอกว่าเด็กเล่นกัน แต่พวกเขาใช้ชื่อเสียงของตระกูลไปออกสื่อ จะทำได้อย่างไรหากไม่ได้รับอนุญาตจากจากผู้นำ?
ตาแก่หัวหมอทั้งสอง!
นี่แหละคือความได้เปรียบของการไร้ใบรับรองทางการแพทย์!
เหล่าผู้นำตระกูลถอนใจกันออกมา
พวกเขาเองก็ให้ความเคารพกับซูเย่ในฐานะผู้บริหารแผนการพัฒนาวงการแพทย์แผนจีน ด้วยความสามารถของตระกูลเว่ยกับตระกูลหลี่และชื่อเสียงของซูเย่ เมื่อไรที่โครงการนี้ประสบความสำเร็จ ทั้งสองตระกูลคงไม่รู้ว่าจะทำเงินได้มากขนาดไหน!
น่าอิจฉาเหลือเกิน!
……
วันถัดมา
เนื้อหาจากงานแถลงข่าวถูกลงจนเต็มทั่วบนอินเทอร์เน็ตตลอดทั้งวัน และกระแสความร้อนแรงก็ยังคงสูงอยู่
ผู้คนมากมายจากทั้งประเทศตรงดิ่งไปเมืองจี้หยาง
เหล่าผู้คนที่ต้องการร่วมเปิดสาขารวมตัวกันอยู่ในหอประชุมหมายเลขหนึ่งของเภสัชกรรมกู่เต๋อ รอคอยซูเย่มาพบพวกเขาอย่างกระวนกระวายใจ
บรรยากาศค่อนข้างตึงเครียด ทุกคนต่างเห็นอีกฝ่ายเป็นศัตรูซึ่งกันและกัน
……
ในห้องทำงานของข่งอวี้โจว
“นี่คือราคาสำหรับการสมัครเป็นตัวแทนที่ผมคิดไว้”
ข่งอวี้โจวชี้ไปยังตัวเลขที่อยู่บนแผนของโครงการซึ่งวางอยู่บนโต๊ะกาแฟ และกล่าวบอกเว่ยเย่ชิงกับหลี่เผียวชุน
ทั้งสองมองดูตัวเลขแล้วถึงกับพูดไม่ออก
“หา?”
พวกเขามองหน้ากันและอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลายอึกใหญ่
“นี่ นี่ไม่ราคาสูงไปหน่อยเหรอครับ?”
หลี่เผียวชุนมองข่งอวี้โจวและพูดออกมาอย่างกระอักกระอ่วน
“ไม่สูง ไม่สูงเลยสักนิด” ข่งอวี้โจวยิ้มและส่ายหัว จากนั้นกล่าว “ฉันยังคิดว่ามันถูกไปด้วยซ้ำ”
ทั้งสองคนผงะ
นี่ถือว่าน้อยไปเหรอ?
“ไม่ใช่ว่าฉันมั่นใจเกินไปหรอก แต่พวกนายมองศักยภาพของตัวเองกับซูเย่น้อยเกินไป” ข่งอวี้โจวยังคงยิ้ม “ยิ่งไปกว่านั้น นี่เพียงแค่เริ่มต้น ฉันเลยยังไม่กล้าขอมากนัก สิ่งที่จะทำเงินให้อย่างแท้จริง คือกระแสของผู้บริโภคที่มาอย่างไม่ขาดสายมากกว่า”
กล่าวจบ
หลี่เผียวชุนและเว่ยเย่ชิงพากันสูดหายใจลึก พยายามสงบสติอารมณ์ในใจ
ยังได้มากกว่านี้อีกเหรอ?
การร่วมมือทำธุรกิจนี่ทำเงินให้ได้มากจริง ๆ!
“เอาล่ะ” ข่งอวี้โจวส่งแผนให้กับหลี่เผียวชุน กล่าวต่อ “ผู้ร่วมลงทุนเปิดสาขาจากทั่วประเทศน่าจะมาถึงแล้ว ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับนาย จะเป็นการดีที่สุดหากไปด้วยตัวเอง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือให้พวกเขา”
“ไป! ไปสู่สมรภูมิ!”
หลี่เผียวชุนสูดหายใจลึกอีกครั้งและดึงเว่ยเย่ชิงไปยังหอประชุมหมายเลขหนึ่ง
พอเห็นหลี่เผียวชุนและเว่ยเย่ชิงปรากฏตัวขึ้น
ทุกคนในหอประชุมตาเป็นประกาย จ้องมองทั้งสองด้วยความคาดหวัง
ดูเหมือนจะเป็นเพราะมีคนอยู่มากกว่าที่คาดเอาไว้ ทำให้หลี่เผียวชุนประหม่าเกินกว่าจะบรรยายได้ เหงื่อออกจนเต็มมือ
เว่ยเย่ชิงเองก็ประหม่าเป็นอย่างมาก
พวกเขาทั้งสองไม่เคยออกงานใหญ่โตมาก่อน
ทั้งคู่เดินขึ้นไปบนเวทีในหอประชุม
“ก่อนอื่น ยินดีต้อนรับสู่เมืองจี้หยางครับ”
เมื่อมองเห็นคนจำนวนมากแล้ว หลี่เผียวชุนจึงฝืนสะกดกลั้นความรู้สึกตื่นเต้นและกล่าวออกมา “เป็น…เป็นเกียรติอย่างยิ่งเลยครับที่ได้รับความไว้วางใจจากทุกท่าน”
“ถัดไป ผมจะเข้าเรื่องเลยนะครับ”
เขาวางแผนการของข่งอวี้โจวลงบนโพเดียมและอ่านออกมา “แผนการร่วมเปิดสาขากับบริษัทของเราก็จะมี ตัวแทนระดับมณฑลิ ยี่สิบล้าน ตัวแทนระดับเมืองหลวง สามล้าน ตัวแทนระดับเมืองทั่วไป หนึ่งล้าน”
ทุกคนคิดว่าหลี่เผียวชุนจะพูดเยอะกว่านี้ แนะนำรายละเอียดต่าง ๆ ของโครงการก่อน
ไม่มีใครคิดว่า ทันทีที่หมอนี่ขึ้นเวทีมา ก็จะประกาศเรื่องเงินเป็นอย่างแรก
มั่นใจขนาดไหนกัน?
ไม่แม้แต่จะโฆษณาจุดขายพอเป็นพิธีสักหน่อยเหรอ?
ทั้งห้องเหลือเพียงความเงียบงัน
เงียบจนไม่อาจบรรยายออกมาได้ ทำให้หลี่เผียวชุนและเว่ยเย่ชิงตื่นตระหนกเป็นอย่างมาก
“บอกแล้วว่ามันแพงเกินไป คนได้ยินราคาก็กลัวกันหมด เห็นไหม?”
หลี่เผียวชุนพึมพำกับตัวเอง
หันหน้าไปหาเว่ยเย่ชิงทำสายตาขอความช่วยเหลือ
เขาไม่เคยมีประสบการณ์เจรจาด้านธุรกิจมาก่อน นี่เป็นครั้งแรกของเขา
“น่าอายเป็นบ้า”
“หนีกันเลยดีไหม?”
ขณะนี้ หัวใจของหลี่เผียวชุนเต้นแรง
และเมื่อใบหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนไปอย่างกับอับอายจนหายใจไม่ออกนั้น
“ฉันต้องการเป็นตัวแทนระดับเมืองหลวง และเมืองที่ต้องการคือเมือง XX”
“ฉันขอเป็นตัวแทนระดับเมืองทั่วไป!!!”
“ผมขอระดับมณฑลครับ เซ็นสัญญาเดี๋ยวนี้เลย!!”
หลังจากความเงียบ เสียงของทุกคนก็ระเบิดออกมา
หลี่เผียวชุนและเว่ยเย่ชิงชะงักไป
ทั้งสองทำตัวไม่ถูก
พวกเขาไม่เข้าใจเลยว่าเกิดอะไรขึ้น ได้แต่มองดูบรรดาผู้สนใจเข้าร่วมธุรกิจวิ่งตรงกันเข้ามาหา
ทั้งคู่ยังตกตะลึงไม่หาย
ราคาตั้งสูง แต่คนพวกนี้กลับคว้าเอาไว้โดยไม่สนใจ?
นี่มันเกิดอะไรขึ้น?
“ฉันอยู่เมือง XX ต้องการเป็นตัวแทนระดับเมืองหลวง มีเงินลงทุนอย่างแน่นอน เก็บที่เอาไว้ให้ฉันด้วยนะ”
ชายหนุ่มผู้ที่ทำธุรกิจแล้วล้มเหลวพุ่งตรงออกมาจากฝูงชน กล่าวบอกหลี่เผียวชุน และใช้โทรศัพท์โทรขอยืมเงินทันที
“คุณคะ ฉันต้องการเงินหนึ่งล้านเพื่อเปิดสาขาในเมืองของเราค่ะ”
แม่บ้านเองก็มา เธอโทรหาสามีของเธอและกล่าว “ถ้าคุณไม่ช่วยฉัน ฉันก็จะไปขอยืมจากเพื่อน”
หลังจากนั้นเธอก็วางสายไปทันที
เพียงพริบตา
หลี่เผียวชุนก็ถูกผู้คนมากมายในหอประชุมรุมล้อม อย่างกับว่าพวกเขากำลังแย่งเพชรแย่งพลอยกันอยู่ แต่ละคนกล่าวรายละเอียดต่าง ๆ กับเขาเพื่อที่จะขอเข้าร่วม
‘บ้ามาก คนพวกนี้บ้าไปแล้ว…’ นี่คือความคิดที่ผุดขึ้นมาในใจของหลี่เผียวชุน
เนื่องจากภาพตรงหน้านี้มันบ้าเกินไป
หลี่เผียวชุนและเว่ยเย่ชิงมองหน้ากันเองด้วยความตื่นตกใจ พยายามระงับความรู้สึกให้สงบลง และรีบเริ่มทำการเจรจาพร้อมบันทึกรายละเอียดทีละคน
ผ่านไปหนึ่งชั่วโมง
หลี่เผียวชุนและเว่ยเย่ชิงก็ทำงานจนเสร็จ
ถึงตอนนี้ พวกเขาทั้งคู่ยังตกอยู่ในความสับสน
ด้วยความช่วยเหลือจากข่งอวี้โจวและเจ้าหน้าที่บางส่วน สัญญาทั้งหมดถูกเซ็นเรียบร้อย และจำนวนเงินลงทุนเปิดสาขามียอดอยู่ที่หกร้อยล้านหยวน
นี่มันบ้าเกินไปแล้ว!
“ฉันไม่ได้ฝันไปใช่ไหม?”
หลี่เผียวชุนมองเว่ยเย่ชิงอย่างเหม่อลอย
เพียะ!
“ไอ้เชี่ยนี่ ตบหน้าฉันทำไม?” หลี่เผียวชุนกล่าวโดยเอามือกุมหน้าไว้
เว่ยเย่ชิงสูดหายใจลึกและกล่าวบอก “ก็ไม่ใช่ฝันไง”
ทั้งสองมองหน้ากัน สายตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้นและประหลาดใจ
เงินจะต้องถูกแบ่งตามที่ได้ตกลงกันไว้ แต่แม้จะหารตามที่ว่าแล้ว ทางฝั่งของพวกเขาก็ยังได้เงินมากกว่าหนึ่งร้อยล้านอยู่ดี
ประสิทธิภาพในการหาเงินของธุรกิจนี้มันน่ากลัวขนาดนี้เลยเหรอ?
แม้จะใช้ประสบการณ์และความสามารถของทุกคนในตระกูล ทำงานอย่างขยันขันแข็งเพื่อหาเงินตลอดทั้งชีวิต ก็คงไม่มีทางหาเงินจำนวนนี้ได้
หลี่เผียวชุนและเว่ยเย่ชิงยิ่งตกตะลึงมากขึ้นกว่าเดิม
พวกเขากลายเป็นเศรษฐีเข้าแล้ว?
ทำไมชีวิตถึงเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วขนาดนี้?
นี่มันสุดยอดไปเลย!