เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 21 เธอไม่คู่ควรกับลูกสาวฉัน!
บทที่ 21 เธอไม่คู่ควรกับลูกสาวฉัน!
แม้ว่าจะคาดไว้แต่แรกแล้ว แต่ซูเย่ก็ยังรู้สึกตกใจมากอยู่ดี คฤหาสน์ที่หรูหรา และยังมีทิวทัศน์รอบ ๆ เป็นทะเลสาบ ไหนจะขนาดของคฤหาสน์หลังนี้มีขนาดใหญ่มาก และมีผู้คุ้มกันยืนเฝ้าที่ประตูนี่อีก
“บ้านรวยจริงด้วย!”
เมื่อลงจากรถ ซูเย่เดินเข้าไปในคฤหาสน์โดยตรง
“คฤหาสน์ส่วนตัว คนนอกห้ามเข้า”
ก่อนที่ซูเย่จะไปถึงประตู ผู้คุ้มกันทั้งสองรั้งเขาไว้ทันทีและขวางทางซูเย่ไว้ด้วยความระมัดระวัง แต่ซูเย่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะเข้าไปแบบปกติอยู่แล้ว ทันทีที่ฝีเท้าของเขาเคลื่อนไป ตัวของเขาก็หายผ่านไปตรงหน้าของผู้คุ้มกันทั้งสองคน
ในช่วงพริบตาเดียว เขาก็เข้ามาในคฤหาสน์ได้สำเร็จ!
“นั่นใคร?”
เพิ่งเดินเข้าไปได้ไม่กี่ก้าว ก็ได้ยินเสียงปริศนาเอ่ยถาม
สวบ——
ผู้ฝึกยุทธ์สองคนพุ่งเข้ามาจากระยะไกลอย่างกะทันหัน
ซูเย่หันไปมองตามเสียง ตัดสินจากบรรยากาศโดยรอบ ทั้งสองคนนั้นคือผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสาม
“เจ้าของบ้านอยู่ที่ไหน?”
ซูเย่เอ่ยถาม
“ที่นี่ไม่ใช่ที่ที่ใครจะเข้ามาก็ได้ รีบออกไปง่าย ๆ จะดีกว่า”
ทั้งสองจ้องมองซูเย่อย่างไม่เป็นมิตร
ซูเย่ขี้เกียจเกินไปที่จะพูดเรื่องไร้สาระกับพวกเขา ดังนั้นชายหนุ่มจึงทะยานเข้าไปหาคนทั้งสองโดยพลัน เห็นได้ชัดว่าทั้งสองคนยังไม่ได้ได้ตอบโต้กลับ และพวกเขาก็ต้องตกใจมากกว่าเดิมเมื่อพบว่าไม่สามารถต้านทานซูเย่ได้เลย
เพียงหนึ่งกระบวนท่า ทั้งสองถูกซูเย่จับยันไว้กับพื้นสนาม
“พาผมไปหาเจ้านายของพวกคุณ”
ซูเย่เอ่ยกับอีกฝ่าย
“เด็กไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงคนนี้มาจากไหน!”
น้ำเสียงสุขุมดังก้องขึ้น
ซูเย่หันศีรษะไปมองผู้มาใหม่
ด้านหน้า คือ ชายวัยกลางคนที่กำลังเดินออกจากคฤหาสน์มายังพื้นหญ้าในสวน เขาดูสงบนิ่ง และมองไปที่ซูเย่โดยสายตาที่ไม่แยแสอีกฝ่าย
“ขั้นสี่ระดับสาม?”
ซูเย่ค่อย ๆ ปล่อยมือออกจากสองก่อนก่อนหน้า
ไม่น่าล่ะ พ่อของไป๋จือหรานมองผู้ฝึกยุทธ์ว่าทำงานขายชีวิต เพราะเขาเลี้ยงผู้ฝึกยุทธ์เอาไว้ส่วนตัว!
“จะขวางกันงั้นเหรอ?”
ซูเย่มองอีกฝ่ายอย่างเย็นชา
“เหอะเหอะ”
ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนเริ่มออกกระบวนท่าทันที ซูเย่เองก็โจมตีอีกฝ่ายกลับอย่างทันท่วงที
ผู้ฝึกยุทธ์วัยกลางคนขั้นสี่ระดับสาม ฉายแววดูถูกเหยียดหยามในคราแรก แต่เมื่อปะมือกับซูเย่ สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที
เขาพบว่าตนเองไม่สามารถจัดการเด็กหนุ่มขั้นสามระดับหกคนนี้ได้ และยังถูกฝ่ายตรงข้ามไล่ต้อนตั้งแต่ครั้งแรกของปะทะกัน
นี่มันอะไรกัน?
เขาผงะไปครู่หนึ่ง เริ่มคุมสติไว้ไม่อยู่ ในฐานะที่เป็นยอดฝีมือขั้นสี่ระดับสาม ภายในสองกระบวนท่า เขากลับถูกเด็กขั้นสามระดับหกกดไว้อยู่หมัด และไม่สามารถโต้กลับได้เลย!
“ผลั่ก!”
ซูเย่ฝาดสันมือไปที่หลังคอของอีกฝ่ายจนสลบไป จากนั้นเขาก็หันหลังกลับ มองเข้าไปในคฤหาสน์สุดหรูนั้น
ในยามนี้ เงาร่างของชายวัยกลางคนที่ดูคุ้นเคย ก็ก้าวออกมาจากเรือนบ้านอย่างเชื่องช้า คนนั้นก็คือพ่อของไป๋จือหราน
“พวกสวะ!”
เขาเหลือบมองไปที่ผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสามสองคนที่ซ่อนตัวอยู่ในระยะไกลและไม่กล้าต่อสู้กับซูเย่ จากนั้นมองไปที่ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสี่ที่ซูเย่โคนลงได้ คุณพ่อไป๋ พ่นลมหายออกมาอย่างรุนแรงด้วยความไม่พอใจ
มีแววความประหลาดใจเล็กน้อยในสายตาของเขาที่มองซูเย่ เขาไม่ได้คิดว่าซูเย่จะมีความสามารถเช่นนี้ ยอดฝีมือคนที่ซูเย่ปะทะด้วย คือยอดฝีมือที่เขาจ้างมา 10 ล้านหยวนต่อปี แต่อีกฝ่ายกลับถูกซูเย่โจมตีอย่างง่ายดาย
แต่ถึงอย่างนั้น เขาก็ยังไม่มองซูเย่อยู่ในสายตาของเขาอยู่ดี
“บุกรุกบ้านคนอื่นแบบนี้เลยเหรอ?”
พ่อของไป๋จือหรานมองซูเย่พลางเอ่ยอย่างเฉยชา “จากข้อมูลที่ฉันสืบมา เธอกับไป๋จือหรานรู้จักกันได้ไม่นาน เวลาที่คบกันยังสั้นอยู่ คงไม่ได้รักลึกซึ้งอะไรมากมายหรอกใช่ไหม”
“ผมจริงจัง”
ซูเย่เอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ผมไม่ชอบถูกท้าทาย และไม่ชอบให้คนอื่นมายุ่งเรื่องของผม”
“ฮึ”
พ่อของไป๋จือหรานยกยิ้มมุมปาก เอ่ยอย่างดูแคลน “ไม่เจอกันไม่กี่วัน ปากร้ายกว่าเดิมเสียแล้ว ก็ถือได้ว่ามีความสามารถอยู่บ้าง แต่เธอมาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะมันสายไปแล้ว”
“มาช้าไป..”
ซูเย่เอ่ยถามทันที “จือหรานอยู่ที่ไหนครับ?”
พ่อของไป๋จือหรานถอนหายใจพลางเอ่ยกับซูเย่
“ตอนแรกนายไม่คู่ควรกับลูกสาวฉัน ตอนนี้นายยิ่งไม่คู่ควรกับเธอ!”
“จือหรานอยู่ไหนครับ?”
ซูเย่เอ่ยถาม
“เธอเป็นผู้ฝึกยุทธ์ คงจะพอรู้จักสำนักโบราณอยู่บ้างใช่ไหม”
พ่อของไป๋จือหรานย้อนถาม “สำนักเมฆาคราม เคยได้ยินไหม?”
สำนักเมฆาคราม?
ซูเย่ขมวดคิ้วโดยพลัน เขาเคยได้ยินชื่อนี้จริง ๆ แต่ว่าไม่ใช่ในปัจจุบันนี้ แต่เป็นสองพันกว่าปีก่อนในสมัยฮั่นตะวันตก
ในขณะนั้น ซูเย่แทบจะอยู่ที่จุดสูงสุดของเส้นทางการฝึกยุทธ์แล้ว เขาเดินทางไปทั่วโดยไม่ได้วางแผนอะไรเป็นพิเศษ และบังเอิญได้ยินเกี่ยวกับสำนักผู้ฝึกยุทธ์โบราณที่ก่อตั้งขึ้นใหม่
สำนักนั้นก็คือ สำนักเมฆาคราม!
ในอีกร้อยปีต่อมา ซูเย่ยังคงได้ยินข่าวต่าง ๆ เกี่ยวกับสำนักนี้อยู่เรื่อยมา และเขาก็เคยไปที่นั่นด้วย
หลังจากนั้นก็ได้ยินว่าปิดประตูสำนักแล้ว
คิดไม่ถึงว่าอีกสองพันกว่าปีต่อมา เขาจะได้ยินชื่อสำนักเมฆาครามอีกครั้ง ดูท่าว่าคงจะปลีกตัวออกจากเรื่องราวในโลกนี้ไปแล้ว
อย่างไรก็ตาม สำนักนี้ยังคงมีการสืบทอดอยู่ ความจริงที่ว่าสำนักโบราณที่ได้รับการสืบทอดมานานกว่าสองพันปี สามารถพิสูจน์ได้ว่าเจริญรุ่งเรื่องและเติบโตได้มากขนาดไหน ในปัจจุบันนี้ สำนักที่สืบทอดกันมาหลายพันปีต้องมีภูมิหลังที่น่ากลัวมาก
“ใช่แล้ว ฉันยอมรับ”
คุณพ่อไป๋พยักหน้ารับและกล่าวต่อ “จือหรานกับจือเหยียนถูกฉันหลอกให้กลับมา แต่ระหว่างทางกลับบ้าน คนจากสำนักเมฆาครามได้เห็นเข้า และต้องการรับเธอเป็นศิษย์”
“แม้ว่าฉันจะดูถูกพวกที่ฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ แต่ฉันก็ไม่สามารถต่อกรกับสำนักเมฆาครามได้ สถานะของสำนักเมฆาครามไม่ได้ต่ำต้อยเลย ดังนั้นฉันทำได้แค่ตกลงให้ลูกสาวของฉันเข้าร่วมสำนัก”
“ตอนนี้ลูกสาวของฉันมีตัวตนเพิ่มมาอีกชั้นหนึ่ง ส่วนเธอ.. ซูเย่ เธอในเวลานี้ยิ่งไม่คู่ควรกับลูกสาวของฉัน”
“โทรศัพท์ของจือหรานอยู่ที่ไหน”
ซูเย่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วถาม
“ฉันยึดมันไว้แล้ว”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูเย่หันกายเดินจากไปทันที
“ทำไม?”
เมื่อเห็นซูเย่หันหลังและจากไป คุณพ่อไป๋ก็เยาะเย้ยทันที “ตอนแรกกล้ามากไม่ใช่หรือไง พอได้ยินชื่อสำนักเมฆาครามทำไมถึงได้หันหลังกลับง่ายดายขนาดนั้นกันเล่า กลัวงั้นหรือ?”
“ผมจะไปหาจือหราน!”
ซูเย่ตะโกนตอบโดยไม่หันกลับมามองอีกฝ่าย
“เธอรู้เหรอว่าอยู่ที่ไหน?”
คุณพ่อไป๋ผงะไป
“ในโลกนี้ไม่มีอะไรที่ผมไม่รู้!”
ซูเย่เอ่ยตอบ
เขาจำได้ชัดเจน สำนักเมฆาครามก่อตั้งขึ้นในราชวงศ์ฮั่นตะวันตกและสำนักตั้งอยู่ในเขตเทียนสุ่ย
เขตเทียนสุ่ยในเวลานั้นปัจจุบันคือมณฑลกานซู!
ขณะนั่งแท็กซี่ไปสนามบิน ซูเย่จองเที่ยวบินไปยังกานซูผ่านทางโทรศัพท์มือถือของเขา หลังจากรอที่สนามบินเป็นเวลาหนึ่งชั่วโมงและบินต่ออีกสองชั่วโมงครึ่ง ในที่สุดเครื่องบินก็ลงจอดที่สนามบินนานาชาติจงชวนในมณฑลกานซู
ซูเย่เดินออกจากสนามบิน ซูเย่ไม่ได้เรียกรถมารับ แต่เดินไปที่ภูเขาลูกใหญ่ใกล้สนามบินแทน มุ่งหน้าไปทางสถานที่ที่เคยเป็นที่ตั้งของสำนักเมฆาคราม
ในขณะที่เขารุดไปที่นั่น เขาก็เปิดเว็บบอร์ดผู้ฝึกยุทธ์เพื่อหาข้อมูลเกี่ยวกับสำนักเมฆาคราม
แต่ชายหนุ่มกลับพบว่ามีข้อมูลน้อยมาก มีเพียงข้อมูลทั่วไปที่เขาเองก็รู้อยู่แล้ว
สำนักเมฆาครามเป็นสำนักที่รับศิษย์หญิงเป็นหลัก แต่ก็ยังมีรับศิษย์ชายอยู่บ้าง แต่สัดส่วนค่อนข้างน้อย ถ้านับเรื่องเคล็ดลับการฝึกฝน สำนักเมฆาครามก็เหมาะสำหรับสองพี่สองไป๋จริง ๆ
แต่แฟนของเขาจะต้องไปฝึกเพราะถูกบังคับไม่ได้ ถ้าเธอไม่ยินยอมด้วยตัวเอง!
ในเวลาพลบค่ำ ซูเย่มาถึงเขาอวิ๋นฮวาที่ตั้งของสำนักเมฆาคราม
ภูเขาอวิ๋นฮวาตั้งตระหง่าน สูงไปเกือบถึงชั้นเมฆบนอากาศ
ซูเย่เดินมาเกือบสุดทางแล้ว แต่ไม่มีใครอยู่เลย
เมื่อมาถึงตีนเขา ซูเย่เห็นกระท่อมแต่ไกล ในเวลานี้ปล่องบนหลังคามีควันลอยขึ้นเป็นระลอก
กระท่อมมุงจากสร้างด้วยท่อนซุง และด้านนอกมีรั้วไม้หวายอยู่อีกชั้นหนึ่ง
ด้านซ้ายและขวาของประตูบ้านมีแปลงผักสองแห่ง มีคนสวนร่างกำยำผู้แขวนหมวกฟางไว้บนหลังและกำลังตั้งใจปลูกผักอยู่ในสวน
เมื่ออีกฝ่ายเห็นซูเย่กำลังเดินเข้ามาก็เงยหน้าขึ้น เหลือบมองที่ซูเย่ แล้วทำงานต่อไป
ซูเย่เดินไปที่ประตูกระท่อมมุงพร้อมส่งเสียงตะโกน “ผมตั้งใจมาขอเยี่ยมคนในสำนัก”
คนสวนร่างกำยำไม่ตอบราวกับฟังไม่เข้าใจ
“ผมมาที่นี่เพื่อขอพบไป๋จือหราน ศิษย์ใหม่ของสำนักของคุณ”
ซูเย่เอ่ยพูดอย่างชัดเจนอีกครั้ง
ในเวลานี้ ซูเย่ไม่ได้ก้าวเข้าไปในสวนแม้แต่น้อย ชาวสวนตัวใหญ่ขมวดคิ้วและมองขึ้นไปที่ซูเย่ ทันใดนั้น มือที่ถือจอบก็วางมันลงไว้ข้างกาย
“โปรดรอก่อน”
เขาพูดกับซูเย่หนึ่งประโยค ชาวสวนเดินเข้าในกระท่อม
ซูเย่ยืนรออยู่ด้านนอก
ไม่นาน ชาวสวนร่างกำยำคนเดิมก็เดินออกมา เหลือบมองซูเย่ “ไป๋จือหรานบอกว่าไม่รู้จักคุณ กลับไปซะ!”
พูดจบก็หันไปปลูกผักต่อ
ซูเย่ขมวดคิ้วแน่น ซูเย่จำได้แม่นยำว่าทางเข้าสำนักอยู่ที่ในกระท่อมหลังนี้ และคนสวนก็คือคนเฝ้าประตูสำนัก
สำนักที่สามารถสืบทอดมานับพันปี และที่ตั้งของสำนักเมฆาครามก็คือมิติเล็ก ๆ
โดยสรุปแล้ว ก็คือโลกมิติเล็ก ๆ แห่งหนึ่งที่ไม่มีอยู่จริงบนพื้นโลก ก็เหมือนกับดินแดนภูผามหานที เพียงแต่ดินแดนภูผามหานทีซ่อนอยู่นอกโลกใบนี้ ส่วนสำนักเมฆาครามซ่อนอยู่บนพื้นโลก
เพื่อให้สำนักของตัวเองปลีกวิเวกหลบซ่อนตัวออกจากเรื่องทางโลก หลายสำนักที่มีลักษณะคล้ายกันก็จะวางค่ายกลขนาดใหญ่ไว้ เพื่อแยกตัวออกจากโลกความจริง
จากภายนอกไม่มีทางรับรู้ถึงการมีอยู่ของพวกเขาแน่นอน นอกจากจะเข้าผ่านทางเชื่อมที่มีอยู่ อีกหนึ่งวิธีที่สามารถเข้าไปได้คือทำลายค่ายกลที่บังตาอยู่
ซูเย่ถอยออกมาไกลโดยไม่ต่อปากต่อคำกับชาวสวนคนนั้น
ทางเชื่อมของสำนักหนึ่ง หมายถึงความปลอดภัยของคนทั้งสำนัก
ความสามารถของผู้ที่รับตำแหน่งเฝ้าประตูสำนักเก่าแก่ที่สืบทอดมาสองพันกว่าปีคงไม่ด้อยไปกว่าใคร
“ไม่ให้เข้า งั้นก็ต้องทำลายค่ายกล!”
ซูเย่ยกยิ้มมุมปาก
เมื่อเห็นซูเย่เดินไปไกล และไม่มีอะไรเกิดขึ้นต่อ เขาจึงปลูกผักต่อไป
ซูเย่เดินสำรวจรอบ ๆ อย่างละเอียด แล้วเดินไปทางตรงข้ามกับทางที่เดินมา หลังจากสัมผัสอย่างระมัดระวัง เขาก็สัมผัสได้ถึงพลังปราณบริเวณกลุ่มก้อนหินบนกำแพงหินที่สูงชัน
ซูเย่ก้าวไปข้างหน้าทันทีโดยไม่ลังเลใจและพยายามทำลายค่ายกล
ในการฝึกฝนนับพันปี ซูเย่ได้เห็นค่ายกลต่างๆ นับไม่ถ้วน และเขาคุ้นเคยกับการทำลายค่ายกลต่าง ๆ เป็นอย่างดี แต่ครั้งนี้เพื่อเป็นการประหยัดเวลา เขาจึงตัดสินใจใช้วิธีที่เรียบง่ายและดูหยาบกระด้างเล็กน้อย!
เมื่อเขาหาจุดที่แม่นยำเจอ ก็กระตุ้นพลังปราณกำเนิดในร่างกายออกมาเพื่อห่อหุ้มตัวเอง
ปราณต้นกำเนิดเป็นรากฐานของพลังปราณบนโลกนี้ และสามารถผสมผสานกับพลังปราณทั้งหมดในโลกนี้ได้ แม้ว่านี่เป็นครั้งแรกที่เขาใช้ปราณต้นกำเนิดในโลกความเป็นจริง
ภายใต้การห่อหุ้มของพลังปราณต้นกำเนิด ทำให้ซูเย่เข้าไปในค่ายกลสำนักเมฆาครามได้ทันที หากมองจากระยะไกล เหมือนกับว่าร่างของซูเย่หายลงไปในกำแพงหินสูงชัน
แต่สำหรับซูเย่ เขารู้สึกเพียงว่าทิวทัศน์เบื้องหน้าเปลี่ยนไป และเขาก็ปรากฏตัวขึ้นในสถานที่ที่ทั้งคุ้นเคยทั้งแปลกใหม่
เบื้องหน้าคือประตูทางเข้าที่ดูอลังการมาก แตกต่างจากประตูบานเล็กที่ราวกับจะพังแหล่ไม่พังแหล่เมื่อสองพันปีที่แล้วอย่างสิ้นเชิง
ซูเย่มองไปรอบ ๆ และพบว่าเขาอยู่ด้านข้างของสำนักเมฆาคราม ใต้ฝ่าเท้าเป็นหญ้าสีเขียวขจี แต่หากถอยหลังแม้เพียงก้าวเดียว เขาก็ตกลงไปในเหวลึกทันที
ที่ใจกลางของหญ้าเขียวขจีนี้ มีถนนจากแผ่นหินซึ่งนำไปสู่ประตูสูง 10 เมตรที่อยู่ไกลออกไป บนซุ้มประตูมีตัวอักษรสีทองอร่ามเขียนอยู่ ‘สำนักเมฆาคราม’
ซูเย่ก้าวไปข้างหน้าและมองขึ้นไป ด้านหลังประตูเป็นลานหน้าเรือนรูปสี่เหลี่ยมจตุรัสขนาดใหญ่ ทั้งสองด้านเป็นห้องแถวสองชั้น และด้านในสุดเป็นอาคารสูงที่สร้างด้วยไม้มะฮอกกานีซึ่งดูหรูหราตามแบบฉบับโบราณ
ในเวลานี้ ที่ลานหน้าเรือนมีคนไม่มากนัก
“วิชาอำพรางตัว!”
ซูเย่ปกปิดลมหายใจของเขาทันที เขารู้ดีว่าที่นี่จะต้องมียอดฝีมืออยู่มากมายแน่นอน ในสมัยรุ่งเรือง ซูเย่ไม่ได้กลัวพวกนั้นเลยสักนิด แต่ตอนนี้ยังไงก็ต้องควรระมัดระวังไว้ก่อน
ซูเย่เดินไปผ่านประตูและมองไปรอบ ๆ อย่างระมัดระวัง เมื่อมองไปที่ปีกด้านขวา ร่างที่คุ้นเคยสองคนก็ปรากฏขึ้นในทางเดินตรงหน้าซูเย่
สองคนนั้นก็คือสองพี่น้องไป๋!
แววตาของซูเย่พลันเป็นประกาย มุมปากเผยรอยยิ้มเล็กน้อย ซูเย่เดินเข้าไปหาทันที
สองพี่น้องไป๋มองซูเย่ด้วยสีหน้าฉงนใจระคนดีใจ
“นายมาได้ยังไง?”
ไป๋จือหรานหันมาเอ่ยถามอย่างฉงนใจ