เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 27 ผมมีวิชาที่หายสาบสูญของสำนักท่าน
บทที่ 27 ผมมีวิชาที่หายสาบสูญของสำนักท่าน
ยังมีอีก?
ของขวัญชิ้นที่สาม?
เมื่อสิ้นสุดคำพูด ก็ทำเอาบรรดาผู้ชมตกตะลึงอย่างต่อเนื่อง
ชิ้นที่สองก็ล้ำค่ามากแล้ว แต่ยังมีชิ้นที่สามอีกเหรอ?
ไปเอามาจากขุมสมบัติของทีมสืบสวนหรืออย่างไร?
ผิดแล้ว!
เพราะดูเหมือนผู้บัญชาการทั้งหกเองก็ไม่เคยเห็นของพวกนี้มาก่อน แล้วเด็กคนนี้ไปเอามาจากไหน?
เหล่าผู้บัญชาการเองก็คิดเช่นเดียวกัน ต่างเหลือบมองหน้ากันด้วยสายตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ พร้อมกับออกอาการกระสับกระส่าย
เจ้าเด็กคนนี้คงไม่ได้มีของล้ำค่าไปกว่านี้อีกใช่ไหม?
เจ้าสำนักหยิงเองก็จ้องมองซูเย่ด้วยดวงตาเป็นประกาย
ส่วนผู้คุมกฎของหอบัญชาการก็อยู่ในสภาพดวงตาเบิกกว้างแสดงออกถึงความตกใจ
ทั้งไป๋จือหรานและไป๋จือเหยียนเองก็เช่นกัน มองด้วยความประหลาดใจ
ของที่ซูเย่เตรียมมาล้วนมหัศจรรย์?!
แต่ในขณะเดียวกัน ไป๋จือหรานก็รู้สึกอึดอัดใจ
“การหาของเหล่านี้มาคงไม่ใช่เรื่องง่ายแน่ เขาคงต้องลำบากมาก...”
ในเวลานี้ สายตาของผู้คนนับไม่ถ้วนล้วนจับจ้องไปยังซูเย่
พวกเขาต้องการทราบเดี๋ยวนี้ ว่าของชิ้นที่สามคืออะไร?
มันจะยิ่งน่าสะพรึงกว่าสองชิ้นแรกไหม?
“ชิ้นที่สาม ตราคำสั่งสร้างนคร!” ซูเย่กล่าวเสียงดัง
คำสั่งสร้างนคร?
มันคืออะไร?
ทุกคนพากันสงสัย พวกเขาไม่เคยได้ยินมาก่อน
จากบรรดาผู้คนทั้งหมด มีเพียงผู้บัญชาการทั้งหกที่ยังคงหน้าขรึม
คำสั่งสร้างนคร?
ฟังดูเหมือนเป็นระบบจากในเกม ทว่าขณะนี้ Fantasy Dream ยังไม่มีกำหนดให้ก่อสร้างเมืองเพิ่มเติมแต่อย่างใด จึงไม่มีแผนการที่จะสร้างเมือง
ถ้าอย่างนั้น คำสั่งสร้างนครที่ซูเย่กล่าวหมายถึงอะไร?
โลกจริง? หรือว่าดินแดนภูผามหานที?
ถ้าหากใช้ในดินแดนภูผามหานทีได้ คำสั่งสร้างนครที่ว่าคงไม่ใช่ของธรรมดา!
“เจ้าของชื่อประหลาดนั่นคืออะไร?” ผู้คุมกฎของหอบัญชาการเอ่ยถามด้วยใบหน้าบึ้งตึง
เจียงซานเลิกคิ้วพร้อมกับกล่าว “เข้าใจง่ายมากเลย!”
จากนั้นซูเย่ตอบกลับเสียงดัง “เป็นสิ่งที่ใช้สำหรับช่วยในการก่อตั้งเมืองแห่งใหม่”
“เมื่อใช้พลังจากของสิ่งนี้ จะสามารถสร้างขอบเขตที่ปลอดภัยอย่างสมบูรณ์แบบ เป็นระยะ 50 กิโลเมตรจากใจกลางพื้นที่ระดับสี่ได้”
“มันสามารถต้านทานการโจมตีทุกรูปแบบจากมอนสเตอร์ในพื้นที่ระดับสี่ได้ รับประกันได้ว่าเมืองที่อยู่ภายในขอบเขตจะยั่งยืนยาวนาน”
เมื่อสิ้นสุดคำพูด ทั้งหอก็เหลือแต่ความเงียบงัน
ทุกคน รวมไปถึงผู้บัญชาการทั้งหกและเจ้าสำนักเมฆาคราม ล้วนจ้องมองซูเย่ด้วยความตกตะลึงอีกครั้ง
ไม่มีใครเชื่อคำพูดนั้นได้ลง
ในดินแดนภูผามหานทีของจริง จะมีสิ่งของเช่นคำสั่งสร้างนครอยู่ และยังอยู่ในครอบครองของเด็กตรงหน้าพวกเขาอีกด้วย!
มีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?
“เป็นไปไม่ได้” ผู้คุมกฎของหอบัญชาการกล่าวออกมาอย่างเด็ดขาด “ดินแดนภูผามหานทีเป็นโลกที่มีอยู่จริง จะมีของที่คุณสมบัติเหนือธรรมชาติเช่นนั้นได้อย่างไร และยังมีมอนสเตอร์ในพื้นที่ระดับสี่ไม่ต่ำกว่าหนึ่งร้อยล้านตัว เป็นไปได้อย่างไรที่จะต้านทานการโจมตีทั้งหมดไหว!”
“ยิ่งไปกว่านั้น พื้นที่ระยะ 50 กิโลเมตรมันใหญ่เกินไปที่จะเชื่อ!” แม้แต่ผู้บัญชาการทั้งหกเสริมด้วยความสงสัย
“แม้ผมจะยังไม่ทราบว่าคำสั่งสร้างนครมีหลักการทำงานอย่างไร แต่หากมันถูกสร้างในยุคสมัยโบราณ หมายความว่ามันต้องมีพลังจากยุคนั้นใช่ไหมครับ?” ซูเย่เอ่ยถามขึ้น
ผู้คุมกฎของหอบัญชาการนิ่งไป
มาจากยุคสมัยโบราณ? กักเก็บพลังจากยุคสมัยนั้นไว้?
เรื่องนั้นไม่ใช่ว่าจะเป็นจริงเสมอไป!
แต่ถึงอย่างนั้น ปัจจุบันเองก็ยังคงมีพลังจากในตำนานหลายอย่างที่ยังคงไหลเวียนอยู่ และมีแม้กระทั่งพลังที่เปิดประตูเชื่อมระหว่างสวรรค์และโลกมนุษย์ ไม่ต้องพูดถึงการสร้างเขตแดน 50 กิโลเมตรเลย
ขณะนั้น ทุกคนในที่แห่งนี้ยังคงตกอยู่ในความรู้สึกเช่นเดิม
พวกเขารู้ดี เนื่องจากเหตุการณ์กองทัพมอนสเตอร์ ทำให้พื้นที่ระดับสี่อยู่ในสภาพดั้งเดิม ยังไม่เคยผ่านการสำรวจและพัฒนา ไม่อาจทราบได้เลยว่ามีสมบัติซ่อนอยู่มากมายเพียงใด
ยิ่งไปกว่านั้น พื้นที่ระดับสี่ยังมีความกว้างใหญ่ยิ่งกว่าพื้นที่ระดับสามมากมายหลายเท่า หากสามารถสร้างเมืองที่ปลอดภัยขึ้นในพื้นที่ระดับสี่ได้จริง ให้บรรดาผู้ฝึกยุทธ์ที่มีระดับขั้นต่ำได้ใช้เป็นฐานที่มั่น เป็นไปได้ไหมว่าจะทำให้พวกเขามีทรัพยากรสนับสนุนต่อเนื่องสำหรับการฝึกตนต่ำกว่าขั้นห้า?
หรือเก็บค่าผ่านทางเข้าเมือง หยกปราณหนึ่งก้อนต่อหนึ่งคน หยกปราณเป็นล้านก้อนต่อเดือน…
ดวงตาของทุกคนยิ่งเป็นประกายมากกว่าเดิม
“ของสิ่งนี้จะสามารถช่วยเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของกองทัพได้อย่างแน่นอน” ผู้บัญชาการทั้งหกเหลือบมองกัน
กองกำลังหลักจำเป็นที่จะต้องฝึกฝนผู้ฝึกยุทธ์หน้าใหม่อย่างต่อเนื่องเพื่อความมั่นคง ทรัพยากรที่ไม่เคยถูกแตะต้องจึงเป็นสิ่งสำคัญสำหรับใช้ในการฝึกฝน
ทว่ามอนสเตอร์ในพื้นที่ระดับสี่มักจะเกิดอาการคลั่งได้ง่าย หากมีเมืองให้สามารถเข้าไปหลบซ่อนได้ตลอดเวลา กองทัพมอนสเตอร์ก็จะไม่ใช่สิ่งที่น่ากังวลอีกต่อไป
มีค่าอย่างหาเปรียบเทียบไม่ได้!
ในขณะนี้ ผู้คนจากสำนักต่าง ๆ ในหอรู้สึกร้อนระอุกันถ้วนหน้า
แม้แต่เจ้านำสักเมฆาครามเองก็รู้สึกหวั่นไหว
หากสิ่งที่ซูเย่เล่ามาเป็นเรื่องจริง สิ่งนี้คงอยู่เหนือขอบเขตของคำว่า ‘สมบัติ’ อย่างน้อยเรียกได้ว่าเป็นสิ่งของในระดับ ‘ตำนาน’ ได้เลยทีเดียว!
“ของสิ่งนั้นอยู่ที่ไหน?” ผู้คุมกฎของหอบัญชาการเอ่ยถามขึ้นมา
ทันใดนั้น ซูเย่ก็กลับมาเป็นจุดสนใจอีกครั้ง
รวมไปถึงสองพี่น้องไป๋ ทุกคนในที่แห่งนั้นต้องการทราบว่าตราคำสั่งสร้างนครที่พูดถึงมีจริงหรือไม่!
“เฉิงหวง!” ซูเย่ตะโกนออกมากึกก้อง
มีกลุ่มหมอกจางที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า ปรากฏขึ้นข้างกายเขาทันที
ก้อนหมอกควันนั้นแผ่ขยายใหญ่ขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพียงพริบตาก็กลายเป็นกลุ่มก้อนที่ชัดเจน
ในไม่ช้า เฉิงหวงก้าวเดินออกมาจากกลุ่มหมอกควัน โดยคาบตราคำสั่งสร้างนครไว้ในปาก มันมองไปรอบกายด้วยความสับสน
พอได้เห็นมอนสเตอร์ปรากฏขึ้นต่อหน้า พวกเขาจึงแน่นิ่งไปด้วยความสะพรึง
มอนสเตอร์?
นี่มันมอนสเตอร์จากดินแดนภูผามหานที!
ซูเย่พามอนสเตอร์ออกมาที่โลกจริงได้อย่างไร?
เกิดเรื่องอะไรขึ้น?
“ตึง!”
ผู้บัญชาการทั้งหกลุกยืนขึ้นพร้อมสีหน้าตื่นตกใจ พวกเขาจ้องซูเย่เขม็ง
พวกเขาทนต่อไปไม่ไหวแล้ว
นี่มันเรื่องอะไรกัน?
มอนสเตอร์มาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?
ถือเป็นเรื่องผิดกฎหมายสำหรับการนำมอนสเตอร์จากดินแดนภูผามหานทีมายังโลก ทางการเคยทดลองแล้ว แต่ไม่ว่าจะใช้วิธีการใด ก็ไม่สามารถนำออกมาได้สำเร็จ
ที่สำคัญที่สุดคือ ผู้บัญชาการทั้งหกเองก็เคยทำการทดลอง แม้พวกเขาจะพบโอกาสและพามอนสเตอร์มายังโลกได้สำเร็จ พวกมันก็สามารถอยู่ได้เพียงเวลาสั้น ๆ เนื่องจากพวกมันจะเกิดอาการคลั่ง หลังจากนั้นจะล้าและตายไป
ซูเย่ทำได้อย่างไร?
ทำไมเฉิงหวงถึงอยู่ที่นี่?
ผู้บัญชาการทั้งหกยังคงจ้องเขม็ง และพร้อมที่จะกำจัดเฉิงหวงหากมันเกิดอาการคลั่ง
“ไม่ต้องกังวลไปครับ”
พอได้เห็นว่าทุกคนมีสีหน้าแสดงความกังวล ซูเย่จึงยื่นมือไปลูบหลังเฉิงหวงพร้อมกล่าว “ขอตราคำสั่งสร้างนคร”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น เฉิงหวงจึงเอาปากไปไว้ที่มือซูเย่และคายเหรียญตราออก
“วางใจได้ครับ มันจะไม่คลั่งแน่นอน”
หลังจากได้รับเหรียญตรามาแล้ว ซูเย่จึงหยิบคริสตัลปราณออกมาสองสามก้อน ก่อนจะป้อนให้เฉิงหวงและลูบหัวมัน จากนั้นกระซิบเบา ๆ “ไปได้แล้ว”
กล่าวจบ จึงเกิดหมอกพวยพุ่งออกมาจากบริเวณเท้าเฉิงหวง
กลุ่มก้อนหมอกขยายตัวอย่างรวดเร็ว และเมื่อหมอกจางลง เฉิงหวงก็หายไปจากสายตาของทุกคน
พวกเขาทำได้เพียงจ้องมองด้วยความตกตะลึง
เรียกมอนสเตอร์ออกมาได้ และยังสั่งให้หายไปได้ด้วย?
แถมตราคำสั่งสร้างนครยังมีอยู่จริงอีก?
ขณะที่บรรดาผู้คนพากันตกใจ ซูเย่ที่ได้เห็นเฉิงหวงหายไปกลับรู้สึกโล่ง
สิ่งที่เขาเคยคาดคิดไว้ได้รับการยืนยันแล้ว
เฉิงหวงที่ออกมายังโลกจริงจะมีพลังปราณที่ไม่เสถียร และเบาบางลงตลอดเวลา
จากการคาดการณ์แล้ว คงอยู่ได้เต็มที่หนึ่งชั่วโมง หากเกินกว่านั้นมันจะอ่อนแอลงจนถึงขั้นอันตรายได้
ดูเหมือนว่าจะต้องเตรียมคริสตัลปราณไว้เป็นปริมาณมากสำหรับการเรียกออกมาในอนาคต
และเมื่อจบเรื่องของเฉิงหวงแล้ว ซูเย่จึงหันไปมองบรรดาผู้คนทั้งหมดในหอและชูตราคำสั่งสร้างนครขึ้นมา
“เป็นอย่างไรครับ?”
จากนั้นเขาหันไปยังสำนักเมฆาครามพร้อมเอ่ยถาม “ของขวัญจากผมเป็นอย่างไรบ้างครับ ท่านเจ้าสำนัก?”
เจ้าสำนักหยิงยิ้มอย่างไร้อารมณ์ตอบกลับ “ธรรมดา”
หญ้าเซียนระดับกลาง? แม้ว่าจะมีค่า แต่ทางสำนักเมฆาครามไม่ได้ขาดแคลน
วิชาควบคุมอสูร? ส่งต่อให้ทางการไปแล้ว ไม่ใช่วิชาลับอีกต่อไป
และสำหรับตราคำสั่งสร้างนคร หากสามารถสร้างเมืองแห่งใหม่ขึ้นในพื้นที่ระดับสี่ได้จริง ทางสำนักของเธอก็ไม่ได้เป็นเจ้าของสักหน่อย
“ธรรมดาเหรอครับ?” ซูเย่ยิ้มขึ้นมาเล็กน้อยก่อนจะกล่าวต่อ “แล้วถ้าผมบอกว่า ผมมีวิชาที่หายสาบสูญของสำนักเมฆาครามล่ะ?”
อะไรนะ???
สมาชิกสำนักเมฆาครามจ้องมองซูเย่อย่างไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน
ได้ยินผิดไปหรือเปล่า?
วิชาที่หายสาบสูญของสำนักเมฆาคราม?
หลังจากผ่านการสืบทอดและพัฒนามาร่วมสองพันปี จริงอยู่ที่มีบางวิชาของสำนักเมฆาครามที่หายสาบสูญไป
หากได้วิชาเหล่านั้นกลับคืนมา กำลังของสำนักเมฆาครามคงไม่ใช่แบบที่เป็นอยู่ทุกวันนี้แน่!
แต่ทำไมเขาถึงมีมันอยู่?
“พูดจาไร้สาระ!” ผู้คุมกฎของหอบัญชาการตะโกนเสียงดัง เธอรู้สึกเหมือนโดนซูเย่เปิดโปงจุดอ่อนของสำนักเมฆาครามกลางหมู่ผู้คนมากมาย
เจ้าสำนักหยิงเองก็จ้องมองซูเย่ไม่ละสายตาด้วยสีหน้าไม่เป็นมิตร
เธอรู้สึกว่าซูเย่กำลังล้อเล่นกับสำนักเมฆาครามของเธออยู่
ซูเย่พ่นลมหายใจเย้ยหยันก่อนจะเอ่ยขึ้นมา “รอเดี๋ยวนะครับ”
สิ้นสุดคำพูด ซูเย่เริ่มก้าวขยับเท้าไปมาอย่างรวดเร็ว ในทุก ๆ ก้าวที่เขาขยับเปลี่ยนที่ เกิดเป็นภาพของตัวเขาซ้อนขึ้นมาจนเต็มไปหมด ไม่สามารถแยกแยะได้ว่าร่างไหนจริงหรือปลอม
ทันใดนั้น
“หยุด!”
สีหน้าผู้คุมกฎของหอบัญชาการแปรเปลี่ยนไปแสดงออกถึงตกใจ เธอรีบออกตัววิ่งไปยังด้านข้างของโถง ซึ่งมีเพียงเส้นทางที่จะนำไปสู่แดนต้องห้ามหลังเขาของสำนักเมฆาคราม
ที่จริงแล้วซูเย่ต้องการจะบุกรุกไปยังแดนต้องห้ามหลังเขาของสำนักเมฆาคราม?
เนื่องจากยังตะลึงงันอยู่กับภาพติดตาจำนวนมาก ผู้คุมกฎของหอบัญชาการจึงไม่ตระหนักถึงเจตนาของซูเย่ในตอนแรก เมื่อซูเย่กำลังมุ่งหน้าไปยังทางเข้าหลังภูเขา เธอจึงรีบตามออกไป
ทว่าซูเย่เร็วเกินไป เธอหยุดเขาไว้ไม่ทัน!
เธอท้าทายออกมาว่าถึงอย่างไรซูเย่ก็บุกเข้าไปไม่ได้!
ทันใดนั้น เธอก็รู้ตัวว่าคิดผิดไป
ซูเย่สามารถบุกเข้าไปในแดนต้องห้ามได้สำเร็จ แม้ว่าที่แห่งนั้นจะมีค่ายกลปิดกั้นไว้มากมาย
ผู้คุมกฎของหอบัญชาการทำได้เพียงยืนมองภาพตรงหน้าอย่างไม่เชื่อสายตา
มันเป็นสถานที่เก่าแก่ซึ่งมีอายุยาวนานกว่าสองพันปี
และนับเป็นเวลากว่าพันปีแล้วที่ไม่มีใครย่างกรายเข้าไปได้!
สถานที่แห่งนี้ถูกจัดตั้งให้เป็นแดนต้องห้ามเมื่อคราวก่อตั้งสำนักเมฆาคราม
เป็นเวลายาวนานกว่าพันปีหลังจากการก่อตั้ง ด้านหลังภูเขาถูกสร้างขึ้นมาโดยลูกศิษย์สำนักเมฆาคราม และมีเพียงเหล่าศิษย์ชั้นสูงเท่านั้นที่จะใช้เป็นสถานที่ฝึกตน
ต่อมา ที่แห่งนี้เกิดการสร้างหอคอยขึ้นมากมาย ภายในนั้นจะมีหอคอยเล็กใหญ่ทั้ง สามชั้น ห้าชั้น เจ็ดชั้นปะปนกันไป และมีเพียงแห่งเดียวที่มีเก้าชั้น บ่งบอกได้อย่างชัดเจนว่าเป็นสถานที่ต้องห้ามของสำนักเมฆาคราม
วิชาอันเป็นมรดกของสำนักเมฆาครามล้วนถูกทิ้งไว้ในหอคอยเก้าชั้น!
แม้ว่าจะเป็นแดนต้องห้าม แต่ในทุกยุคทุกสมัย ผู้ฝึกยุทธ์ระดับสูงของสำนักเมฆาครามล้วนทิ้งเคล็ดลับการฝึกและวิชาไว้ภายในนั้น พร้อมกับก่อตั้งค่ายกลปิดกั้น เพื่อเฝ้ารอให้มีผู้ที่เหมาะสมมารับไป
จึงเป็นเหตุผลว่าทำไมจึงไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้หอคอยเหล่านี้ เนื่องจากเต็มไปด้วยค่ายกล
และนอกเหนือจากนั้น ทั่วทั้งแดนนี้ยังถูกปกคลุมไปด้วยพลังงานรุนแรงที่เกิดจากค่ายกลของคนในสำนักเมฆาคราม หากสำนักถูกบุกรุกโจมตี บรรดาลูกศิษย์จะได้รับการปกป้องสามารถเข้ามาหลบซ่อนได้อย่างปลอดภัย
ทว่าเนื่องจากผ่านมาอีกนับพันปี ทำให้วิธีการเข้าแดนต้องห้ามนั้นหายสาบสูญไปด้วย!
ที่ผ่านมาตลอดพันปีจึงไม่เคยมีใครสามารถย่างกรายเข้าไปได้เลย
พวกเธอในสมัยปัจจุบันต่างทดลองมาหลากหลายวิธีการ ล้วนแล้วแต่ไม่ได้ผล
ทำได้เพียงล่วงรู้ว่ามีความลับที่จับต้องไม่ได้ ทำได้เพียงจ้องมองไปยังหอคอยหลังภูเขาและถอนใจด้วยความเศร้า
แต่แล้วก็เกิดเรื่องที่ไม่คาดคิดขึ้น
ซูเย่สามารถเข้าไปได้!
ลูกศิษย์สำนักเมฆาครามทุกคนที่ไล่ตามเขาไปล้วนยืนนิ่งด้วยความตกตะลึง