เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 29 ชีวิตนี้ ฉันจะไม่แต่งงานกับใครอื่น! ซูเย่!
บทที่ 29 ชีวิตนี้ ฉันจะไม่แต่งงานกับใครอื่น! ซูเย่!
อีกด้านหนึ่ง
เมื่ออาจารย์ของไป๋จือหรานเองได้เห็นภาพตรงหน้า ก็อดไม่ได้ที่จะสั่นไปทั้งร่าง
ทันใดนั้นสายตาของไป๋จือหรานกลับมาดูอ่อนโยนอีกครั้ง
ก่อนหน้านี้สายตาของเธอดูน่าประหลาดใจเป็นอย่างมาก
ไป๋จือเหยียนที่ยืนอยู่ด้านข้างเองก็แสดงสีหน้าตกใจ จากนั้นจึงเปลี่ยนเป็นรอยยิ้ม
นี่แหละคือตัวตนพี่สาวของเธอ ภายนอกอ่อนโยน แต่ภายในแข็งแกร่ง
“เธอ……”
ซูเย่ที่ยืนจ้องมองไป๋จือหรานอยู่ รับสัญญาเลือดมา พูดอะไรไม่ออกไปชั่วขณะ
“เอาสิ” ไป๋จือหรานเอ่ยขึ้นพร้อมรอยยิ้ม
สีหน้าของซูเย่แปรเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึม เขากัดนิ้วของตัวเองอย่างรุนแรง!
จากนั้นลงมือเขียนลงไปบนผ้าในมือของไป๋จือหราน ‘ชีวิตนี้ ฉันจะไม่แต่งงานกับใครอื่น!’ จากนั้นลงชื่อของเขา
สัญญาเลือดพร้อมชื่อของทั้งสองเสร็จสมบูรณ์
เมื่อได้เห็นเช่นนี้ ไป๋จือหรานจึงยิ้มออกมาอย่างพึงพอใจ
บรรดาผู้คนทั้งหมดล้วนสะพรึง พวกเขาได้กลายเป็นพยานในการสาบานตนของคู่รักคู่นี้
ซูเย่พาไป๋จือหรานเดินออกไปยังประตูของสำนักอย่างโจ่งแจ้งและกล้าหาญ
ไป๋จือหรานป่าวประกาศความสัมพันธ์ของทั้งสองออกสู่ที่สาธารณะ ยอมกระทั่งการเขียนสัญญาเลือด
ชีวิตนี้ ฉันจะไม่แต่งงานกับใครอื่น! ไป๋จือหราน!
ชีวิตนี้ ฉันจะไม่แต่งงานกับใครอื่น! ซูเย่!
ด้วยรักนี้ จะไม่มีความเสียใจในชีวิต!
บรรดาผู้เป็นสักขีพยานพากันถอนใจออกมาด้วยความโล่ง
“จะว่าไป” ซูเย่ที่เกือบจะกลับออกไปแล้ว นึกอะไรบางอย่างได้ จึงรีบยื่นกระเป๋าให้ไป๋จือหราน และกล่าวขึ้นด้วยระดับเสียงที่มีเพียงสองพี่น้องจะได้ยิน “ในนี้เต็มไปด้วยหญ้าปราณสำหรับเธอและน้อง ใช้ทำยาสำหรับเสริมสร้างรากฐาน มีวิธีการเขียนไว้ให้แล้ว เธอต้องดื่มมันนะ”
“อื้ม” ไป๋จือหรานรับไป และพยักหน้ากลับอย่างมีความสุข
“รอฉันก่อนนะ” ซูเย่กล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“อื้ม!” ไป๋จือหรานตอบรับอีกครั้ง
“ดูแลพี่สาวเธอด้วย” ซูเย่บอกกับไป๋จือเหยียนที่ยืนมองด้วยสีหน้าสดใส
“หึ!” ไป๋จือหรานทำเสียงไม่พอใจ และหันหน้าหนีเพื่อจะเมินเขา
ซูเย่หันหลังเดินตามฝูงชนออกไปจากสำนักเมฆาคราม
เมื่อได้เห็นสำนักเมฆาครามปิดประตูต่อหน้าเขา ซูเย่จึงเริ่มเดินทางกลับ
ในขณะนั้น ผู้บัญชาการทั้งหกได้กลับไปเป็นเวลาพักใหญ่แล้ว
ผู้คนจากหลากหลายสำนักก็แยกย้ายกันไป
ซูเย่เริ่มเร่งความเร็วกลับไปยังเมืองจงชวน จนถึงสนามบิน เขาจองเที่ยวบินไปสู่เมืองหางโจว มณฑลเจ้อเจียง
สู่คฤหาสน์ตระกูลไป๋
แม้ว่าไป๋ผู้พ่อดูจะไม่ชอบเขาสักเท่าไร แต่เนื่องจากเขาตัดสินใจเลือกไป๋จือหรานเป็นคู่ชีวิตแล้ว เขาจึงต้องเคารพพ่อตาสักหน่อย
ไม่กี่ชั่วโมงต่อมา ซูเย่มาถึงคฤหาสน์ตระกูลไป๋
ในครั้งนี้ ยามหน้าทางเข้าคฤหาสน์ รวมไปถึงผู้ฝึกยุทธ์ขั้นสี่หนึ่งคน และขั้นสามทั้งสองคนในคฤหาสน์ ไม่มีใครกล้าขวางซูเย่ แต่รีบแจ้งไป๋ผู้พ่อทันทีเมื่อซูเย่ปรากฏตัว
“ตามผมมา” มีพ่อบ้านออกมารับและกล่าวบอกซูเย่ “นายท่านรออยู่ในห้องนั่งเล่น”
กล่าวจบ เขาจึงนำทางซูเย่ไปยังห้องหรูกลางคฤหาสน์
ด้วยการนำทางของพ่อบ้าน ซูเย่จึงมาถึงห้องนั่งเล่นที่ชั้นสองอย่างรวดเร็ว
ในขณะนั้น ไป๋ผู้พ่อนั่งเอนกายโซฟาพลางจิบชา
“มาทำอะไรอีกล่ะ?”
“เรื่องทุกอย่างของไป๋จือหรานเป็นไปได้ด้วยดีครับ” ซูเย่ไม่อ้อมค้อมและกล่าวตรงไปตรงมา “ผมมาเพื่อแจ้งให้ทราบ แต่อีกอย่างหนึ่งคือ ผมมาบอกว่าจะยังคงทำตามสัญญาที่เซ็นไว้กับคุณอยู่”
“หือ?” เมื่อไป๋ผู้พ่อได้ยินก็ถึงกับลุกนั่งหลังตรง และถามกลับด้วยความประหลาดใจ “เธอไปสำนักเมฆาครามมาแล้วเหรอ? ได้พบกับหรานเรียบร้อยแล้วเหรอ?”
“ใช่ครับ” ซูเย่พยักหน้าตอบรับ
“โอ้?” ไป๋ผู้พ่อสบตาซูเย่ พร้อมสีหน้าแปลกใจที่ต่างจากปกติ
ดูเหมือนเขาจะประเมินซูเย่ต่ำไป
หลังจากนิ่งไปสักพัก เขาจึงกล่าวออกมา “ก็ได้! ฉันจะรอดู 250 ล้านของเธอ!”
“อย่างไรก็ตาม ฉันสงสัยว่าผู้ฝึกยุทธ์แบบเธอ นอกจากหาเงินด้วยทรัพยากรในดินแดนภูผามหานทีแล้วจะทำอย่างไรได้อีก?” ไป๋ผู้พ่อถามออกมาด้วยความฉงน
“รอดูได้เลยครับ” ซูเย่ยิ้มเล็กน้อย
ขณะนั้นเอง เสียงประกาศข่าวดังขึ้นจากโทรทัศน์ใหญ่บนกำแพง
“ข่าวล่าสุดค่ะ คอมพิวเตอร์ปัญญาประดิษฐ์ อัลฟ่า พบกับนักกีฬาหมากล้อมอันดับหนึ่งของโลก เจียงเสี่ยวหลิว ผลคือเจียงเสี่ยวหลิวแพ้สามเกมรวดค่ะ!”
“หลังการแข่งนี้ บริษัท AI จึงประกาศท้าแข่งผู้เชี่ยวชาญหมากล้อมทั่วทั้งโลก ผู้ใดที่สามารถเอาชนะอัลฟ่าได้ จะได้รับรางวัลจากบริษัทเป็นจำนวน 10 ล้านค่ะ”
เมื่อได้ยินข่าว ซูเย่จึงหันหน้าไปดูทันที
10 ล้าน?
ไป๋ผู้พ่อหันตามไป พบว่าสีหน้าของซูเย่ดูจริงจังมาก คงจะรู้สึกสนใจ
เขาหัวเราะเบา ๆ ก่อนจะเอ่ยถาม “คงไม่ได้คิดจะไปหาเงินจากนี่ใช่ไหม?”
“ลองดูก็ไม่เสียหายครับ” ซูเย่พยักหน้า
ไป๋ผู้พ่อนิ่งเงียบไปสักพัก จากนั้นจึงถามต่อ “เอาจริงเหรอ?”
ซูเย่พยักหน้าอีกครั้งเป็นการยืนยัน
ไป๋ผู้พ่อกล่าวขึ้นมาด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ฉันขอความรู้สึกดี ๆ ที่มีให้เมื่อสักครู่คืนแล้วกัน กลับไปได้แล้ว!”
เขาคิดว่าเด็กคนนี้จะมีศักยภาพบางอย่างที่เขายังไม่ทันได้เห็นกับตา แต่ดูเหมือนจะคิดไปเอง!
อันดับหนึ่งของโลกยังเอาชนะไม่ได้ แล้วแกอยากจะหาเงินจากนี่เหรอ แกอายุเท่าไรกัน!
เขาสืบประวัติของซูเย่มาอย่างละเอียดแล้ว ตั้งแต่เกิดจนถึงปัจจุบัน
เขาไม่ปฏิเสธว่าซูเย่มีความสามารถในการเรียนรู้ที่รวดเร็ว
ทว่าซูเย่ไม่เคยเล่นหมากล้อมสักครั้งตั้งแต่เด็ก จะเรียกว่าไม่เคยแตะต้องเลยก็ได้
แต่ตอนนี้คิดจะพึ่งวิธีนี้ในการหาเงินเนี่ยนะ?
ไม่คิดเลยว่าจะหน้ามืดตามัวเช่นนี้!
ความมั่นใจของเด็กคนนี้ทำเอาเขาพูดไม่ออกเลย
ไม่สิ! ไม่ใช่ความมั่นใจ!
จากสายตาของไป๋ผู้พ่อ เขาก็แค่อวดดี!
ซูเย่ยิ้มออกมาพร้อมลุกยืนขึ้น เตรียมตัวกลับเมืองจี้หยาง
ขณะที่มองแผ่นหลังของซูเย่ ไป๋ผู้พ่อนึกในใจ ‘ดูเหมือนจะเชื่อถือคำพูดของเขาในตอนแรกไม่ได้แล้ว ใครจะรู้ว่าเขาได้ไปพบหรานและเหยียนมาแล้วจริง ๆ ต้องสอบถามจากแหล่งที่น่าเชื่อถือก่อน’
ในตอนนั้นเอง ที่ชั้นสามของคฤหาสน์ มีหญิงผู้งดงามแต่งกายด้วยเสื้อผ้าหรูหรา มาพร้อมบรรยากาศรอบตัวที่ดูไม่ธรรมดา และมีใบหน้าคล้ายไป๋จือเหยียน กำลังเดินลงบันไดมา
ผู้หญิงคนนี้ เป็นแม่ของไป๋จือหราน
“ทำไมคุณถึงทำแบบนี้?”
เมื่อเดินลงมาจนถึงห้องนั่งเล่น เธอจึงนั่งลงด้วยใบหน้าผิดหวัง จากนั้นจับจ้องไปยังไป๋ผู้พ่อและเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงโกรธ “หรานเป็นลูกสาวของคุณนะคะ แล้วคุณก็มีเงินทองมากมายแล้ว ใครจะมาเป็นแฟนของเธอมันก็เหมือนกันสำหรับคุณ ทำไมคุณถึงต้องวัดคุณค่าของคนที่เงินด้วยคะ?”
“คุณกำลังวิพากษ์วิจารณ์พ่อแม่ของคุณเองอยู่เหรอ?” ไป๋ผู้พ่อหัวเราะขึ้นมาพร้อมสวนกลับด้วยคำถาม
ไป๋ผู้แม่ผงะไป สีหน้าของเธอดูผิดธรรมชาติเล็กน้อย
“นั่นน่ะ คือสิ่งที่พ่อแม่ของคุณทำกับผม” ไป๋ผู้พ่อพ่นลมออกมาและกล่าวต่อ “ในตอนนั้นคุณก็ไม่เห็นคัดค้านการที่ผมถูกทดสอบเลยไม่ใช่หรือ?”
“ทีตอนนี้จะมาทำเป็นรับไม่ได้? ฮ่าฮ่า!”
“หากไม่ใช่เพราะพ่อของคุณ ตอนนี้ผมคงเป็นเหมือนซูเย่ ผู้ฝึกยุทธ์ซึ่งมากพรสวรรค์! ทั้งหมดเป็นเพราะพ่อของคุณ ผมถึงต้องยอมละทิ้งจุดตันเถียนตัวเอง!”
กล่าวจบ ไป๋ผู้พ่อสูดลมหายใจลึก แล้วต่อด้วย “ผมแค่ต้องการทดสอบซูเย่ หากเขาทำไม่สำเร็จ ก็ไม่ต้องมาเป็นลูกเขยผม!”
“แต่คุณพ่อคุณแม่รักลูกสาวของเรามากไม่ใช่เหรอ? พวกท่านน่าจะสบายใจกว่าไหมถ้าไม่มีเรื่องต้องห่วงลูกสาวเรา?”
“แหม ผมก็แค่ทดสอบแฟนของหลานสาวพวกท่าน ด้วยวิธีการเดียวกับที่พวกท่านทดสอบผมเอง ผมไม่เห็นเลยว่าพวกท่านจะมีอะไรมาคัดค้าน!”
สิ้นสุดคำพูดนั้น
ตึง!
ไป๋ผู้แม่ลุกยืนขึ้นและจ้องไป๋ผู้พ่อเขม็ง “คุณไม่สนใจความสุขของลูกสาวเลยหรืออย่างไร?”
“จริงเหรอ?”
ไป๋ผู้พ่อยืนขึ้นพร้อมกล่าวเย้ยหยัน “ผมเรียนรู้มาจากพ่อของคุณ ท่านน่าจะเห็นด้วยนะที่ผมทำแบบนี้ เดี๋ยวสักครู่ผมจะโทรบอกท่าน ท่านจะได้มีความสุข ผมอยากเห็นปฏิกิริยาของท่านเต็มทนแล้ว!”
ใบหน้าของไป๋ผู้แม่ดูน่าเกลียดยิ่งขึ้นไปอีก
“คุณแค่ต้องการแก้แค้น!” หลังจากกล่าวออกมาเธอก็กัดริมฝีปาก
“ถูกต้อง” ไป๋ผู้พ่อพยักหน้า สูดลมหายใจแล้วกล่าวต่อ “ผมแค่ต้องการแก้แค้น!”
“ย้อนกลับไป ครอบครัวของคุณก็เป็นเหมือนกับผมตอนนี้ไม่ใช่หรือ?”
“สมัยนั้น พ่อแม่ของคุณเป็นถึงเจ้าหน้าที่ระดับสูง พวกท่านเคยมองหน้าผมไหม? พวกท่านเคยเห็นใจผมไหม?”
“หากผมไม่หมดหนทางและยอมรับข้อตกลงจากพ่อแม่ของคุณ ผมคงไม่ต้องสูญเสียจุดตันเถียน ละทิ้งพรสวรรค์ที่ยิ่งใหญ่ของผมไป!”
“ชีวิตผมคงแตกต่างไปจากตอนนี้มาก แต่เป็นเพราะพ่อแม่ของคุณ ผมต้องเปลี่ยนจากอัจฉริยะที่หาจับตัวได้ยาก กลายเป็นคนธรรมดาสามัญแค่มีหน้ามีตาทั่วทุกหนแห่ง พวกท่านดึงผมลงมาจากตำแหน่งอัจฉริยะ ให้ผมต้องมาเดินฝ่าขวากหนามและกองไฟ จมดิ่งอยู่ในท้องทะเลแห่งธุรกิจและการค้า กว่าผมจะได้ขึ้นมาหายใจ!”
“ผมแค่ต้องการแก้แค้น!”
“คุณรู้ไหมว่าผมใฝ่ฝันที่จะได้เป็นผู้ฝึกยุทธ์อย่างมีความสุข! ผมแค่ต้องการอิสระโดยไม่ต้องสูญเสียคนรักไป! แต่พ่อแม่ของคุณบังคับให้ผมต้องเป็นเช่นนี้! มีแต่กลิ่นเหม็นทองแดง!”
“ไม่ใช่พวกท่านเคยพูดว่าผู้ฝึกยุทธ์มีอยู่เต็มไปหมดและไร้ค่าหรอกหรือ?”
“ผมก็แค่สืบสานปรัชญาของพวกท่าน”
“ให้พวกท่านได้หวนคืนสู่ความสุขในแบบที่พวกท่านสร้าง นี่แหละความกตัญญูอันยิ่งใหญ่จากผม! พวกท่านจะต้องมีความสุขมากแน่!”
กล่าวจบไป๋ผู้พ่อจึงหายใจอย่างรุนแรง
“คุณ!”
ไป๋ผู้แม่ชี้นิ้วไปด้วยความโกรธ แต่เธอก็พูดอะไรไม่ออก จึงทำได้เพียงสะบัดมืออย่างรุนแรงก่อนจะกลับขึ้นบันไดไป
หลังจากไป๋ผู้แม่ออกไปแล้ว
ไป๋ผู้พ่อจึงนั่งลงอีกครั้ง สีหน้าเศร้าหมอง พึมพำกับตัวเองเบา ๆ “คนเป็นพ่อจะไม่รักลูกสาวตัวเองได้อย่างไร?”
“ฉันก็แค่อยากทดสอบเขา ไม่ใช่ว่าทุกคนจะคู่ควรกับลูกสาวของฉัน!”
……
เพียงเพิ่งลงจากเครื่องบินได้ไม่นาน
เสียงโทรศัพท์จากกระเป๋ากางเกงของซูเย่ก็ดังขึ้น
เขามองดู พบว่าเซียวจวิ้นโทรมา
“ฮัลโหล?” ซูเย่รับโทรศัพท์
“เบื้องบนสั่งมา ขอให้นายไปสำนักงานใหญ่ทันทีที่กลับมา” เสียงของเซียวจวิ้นดังขึ้นมาจากอีกฝั่งของโทรศัพท์ เขาเอ่ยถามต่อด้วยความกังวล “นายไปทำอะไรมา? เป็นอะไรไหม?”
“ผมสบายดีครับ” ซูเย่ตอบพร้อมยิ้ม
ชายหนุ่มรู้ดีว่าสาเหตุคงมาจากการที่เขาไปสำนักเมฆาคราม สร้างจุดสนใจเป็นอย่างมากต่อผู้บัญชาการทั้งหก และตอนนี้คงต้องไปให้การเกี่ยวกับจุดประสงค์ของเขา
เขาไม่ได้เกรงกลัวอะไร
“นายต้องบอกฉันนะหากมีเรื่องอะไร ฉันจะหาทางช่วยเหลือเอง” เซียวจวิ้นยังคงเป็นห่วงอยู่ “หัวหน้าส่งต่อพวกนายให้ฉันดูแล ฉันต้องคืนเขาให้ได้เหมือนเดิม แล้วตอนนี้ก็หายไปถึงสองคนอีก ฉันจะปล่อยให้เสียไปอีกไม่ได้”
“วางใจได้ครับ ไม่มีอะไรจริง ๆ” ซูเย่กล่าวตอบ
“ก็ดี” เซียวจวิ้นพยักหน้า “เดี๋ยวฉันจะส่งตำแหน่งสำนักงานใหญ่ไปให้ ไว้ถึงเมื่อไรก็รายงานชื่อกับพวกเขาไป ก็น่าจะมีคนพาเข้าไปข้างในเอง”
“ได้ครับ” ซูเย่พยักหน้าและวางสาย