เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 69 ทองคำนับสิบกิโลกรัม?!
บทที่ 69 ทองคำนับสิบกิโลกรัม?!
“ผมยังทำไม่ได้ เขาก็ทำไม่ได้แน่!”
ตู้ฉางอวี่ที่เพิ่งเดินกลับมา กล่าวอย่างเสียใจผิดหวัง “นอกจากจะเรียกพี่สาวหรือผู้อาวุโสที่ตระกูลมาแล้ว ก็คงไม่มีใครเปิดประตูแดนลับนี้ได้หรอก”
เจียงซานไม่ได้กล่าวอะไร เพียงแต่จ้องไปยังซูเย่
“ถ้าอย่างนั้น ผมเข้าไปเลยนะครับ?” ซูเย่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
“ได้” เจียงซานพยักหน้า และขอให้ซูเย่เริ่มได้เลย
เมื่อได้รับคำสั่ง ซูเย่จึงก้าวเดินออกไปทันที
ทุกสายตาจับจ้องไปยังร่างของซูเย่
“เจ้าเด็กนั่นพูดว่าอะไรนะ?” ทันใดนั้นเจียงซานก็รู้สึกตัว และกระซิบถามเกาหรงกวงที่ยืนอยู่ด้านข้าง “เขาไม่ได้บอกว่าจะเปิดประตู แต่จะเข้าไปเลยใช่ไหม?”
“ดูเหมือนว่าจะเป็นเช่นนั้นนะครับ” เกาหรงกวงย้อนนึกอย่างละเอียด จากนั้นพยักหน้าเป็นการยืนยัน
ขณะนั้นเอง
ภาพที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าของทุกคน ทำให้พวกเขาต้องตกตะลึง!
ซูเย่เข้าไปแล้วจริง ๆ
เขาแค่ตรงเข้าไป อย่างกับเขาเดินเข้าประตูบ้านตัวเอง หายเข้าไปเลย……
เพียงครึ่งทาง เมื่อร่างอีกครึ่งยังอยู่ด้านนอก เขาหันหัวกลับมากล่าวกับเจียงซานที่ยืนตาค้าง “ผู้บัญชาการเจียง ผมเข้าไปจริง ๆ แล้วนะ! เดี๋ยวผมเข้าไปดูก่อนแล้วออกมาเล่าใ ให้ฟังทีหลัง!”
กล่าวจบ
เขาเดินเข้าไปในแดนลับและหายไปจากสายตาของทุกคน ไม่ให้โอกาสเจียงซานได้ทันโต้ตอบใด ๆ
“เวรเอ๊ย!”
เสียงสบถของเกาหรงกวงดังขึ้นมา
บริเวณนั้น
เจียงซาน หยางเทียนหลิน และตู้ฉางอวี่ยังคงตกตะลึงกันอยู่
นี่มันเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
“เป็นไปไม่ได้!” ตู้ฉางอวี่ส่ายหัวอย่างแรง ชี้ไปยังจุดที่ซูเย่หายเข้าไป และกล่าวขึ้นด้วยความไม่อยากเชื่อ “เป็นไปได้อย่างไร เขาจะเดินเข้าไปง่ายดายเช่นนี้ได้อย่างไร? เป็นไป ปได้อย่างไร?”
เขาเป็นถึงอัจฉริยะจากตระกูลเทียนสุ่ย!
จากทั่วทั้งโลกแล้ว ตระกูลเทียนสุยถือเป็นตระกูลมั่งคั่งระดับต้น ที่ร่ำเรียนและศึกษาเกี่ยวกับค่ายกลมาอย่างเนิ่นนาน แม้แต่สามสำนักโบราณ ยังไม่อาจดูถูกความสามารถในศาสตร์แห่ งค่ายกลของตระกูลเทียนสุย
เป็นเหตุผลว่าทำไม เจียงซานจึงได้ส่งคำเชิญไปให้ตระกูลเทียนสุ่ย
และเนื่องจากเขาเป็นอัจฉริยะ ตระกูลจึงส่งเขามาเป็นตัวแทน
แต่ในตอนนี้
ประตูแดนลับที่เขาเปิดไม่ได้ แม้จะใช้หกวิธีรวด กลับโดนซูเย่เดินฝ่าเข้าไปเฉย ๆ?
ถ้าเขาเป็นอัจฉริยะ แล้วซูเย่ล่ะ?
หรือจะเป็นเพราะว่า… นั่นคือจุดกำเนิดค่ายกล?
ตู้ฉางอวี่รีบก้าวออกไปและพุ่งใส่จุดที่ซูเย่เดินเข้า
“ตูม!”
เขากระเด็นกลับมากองอยู่บนพื้น
เจียงซานถึงกับสะดุ้ง การเข้าไปยังจุดเดียวกันกับซูเย่นั้นยังไม่สามารถทำได้
เขากล่าวออกมาพร้อมดวงตาที่เบิกกว้าง “เจ้าเด็กนั่นทำได้อย่างไร?”
หยางเทียนหลินเองก็ได้แต่มองตาค้างในจุดที่ซูเย่หายตัวไป สีหน้าของเขาเป็นสีหน้าของคนที่ทำใจเชื่อในสิ่งที่เห็นไม่ได้
……
รกร้างและพังทลาย
ภายใต้ท้องฟ้าที่มืดครึ้ม มีกลิ่นของความอาฆาตพยาบาทไหลเวียนอยู่ทุกหนแห่ง
สายลมพัดพาฝุ่นทรายล่องลอยไปทั่ว มีเพียงความเงียบงัน
ซูเย่ได้แต่หยุดยืนนิ่งและมองดูบรรยากาศตรงหน้าอย่างประหลาดใจ
เบื้องหน้าของเขา ปรากฏเป็นกำแพงเมืองขนาดยักษ์
มีร่องรอยความเสียหายอยู่เต็มทั่วทั้งกำแพง ทว่านั่นก็ไม่ได้ทำให้ความยิ่งใหญ่ของมันลดลงเลย
คราบเลือดแห้งกรังบนกำแพง ดูเสมือนธงโบกสะบัดปักเอาไว้อยู่
ซากสงคราม!
เพียงมองภาพรอบกายเขา ซูเย่ก็รู้สึกได้เลยว่า ที่แห่งนี้ต้องเคยผ่านสงครามอันน่าสยดสยองมาก่อน
ซูเย่ก้าวเดินออกไป
สู่สมรภูมิที่อยู่หน้ากำแพงยักษ์
ในนั้นมีอนุสรณ์หินตั้งอยู่
มีตัวหนังสือสลักไว้อยู่หนึ่งบรรทัดเขียนว่า ‘ลู่ตงฆ่าอสูร ณ ที่แห่งนี้’
ลู่ตง?
ซูเย่สั่นไปทั้งร่าง ภาพของบุคคลหนึ่งปรากฏขึ้นในหัวของเขาทันที
ชายคลั่งนครจือในยุคชุนชิว ลู่ตง ลู่เจียหยวี?
“ข้าคือชายคลั่งนครจือ เฟิ่งเกอหัวเราะเยาะขงจื๊อ”
ซูเย่จำได้อย่างชัดเจนว่าเคยได้ยินเรื่องของเขาเมื่อ 2,500 ปีก่อน มีฤๅษีอยู่ในนครจือชื่อลู่ตง ในยุคสมัยนั้น เขาก็มีกำลังอยู่ที่ขั้นเก้าแล้ว!
“เขามาที่นี่ได้อย่างไร?” สีหน้าของซูเย่เต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ตำนานที่สุดท้ายได้หายสาบสูญไป ทำไมถึงได้มาปรากฏอยู่ในที่แห่งนี้?
ชายคลั่งนครจือฆ่าอสูรอะไรไป?
“ที่นี่เป็นส่วนของดินแดนภูผามหานทีเหรอ? ทำไมถึงได้มีคริสตัลปราณจากมอนสเตอร์อยู่บนพื้น?”
ซูเย่ที่มองไปรอบกาย ได้พบกับคริสตัลปราณกองอยู่เต็มพื้น
คริสตัลปราณพวกนี้ถูกฝังอยู่ในกองทรายทั้งสีดำและสีเหลือง เมื่อสายลมพัดผ่านพาทรายล่องลอยขึ้น จึงทำให้เห็น
ดูจากคุณภาพแล้ว นี่เป็นถึงคริสตัลปราณระดับเก้า!
ซูเย่ถึงกับอึ้งไป มีความเป็นไปได้เพียงอย่างเดียว!
หรือว่าดินแดนภูผามหานทีเอง ก็เคยปรากฏขึ้นในยุคชุนชิว?”
เมื่อครั้งนั้น เขายังเป็นเพียงเด็กน้อยผู้อ่อนแอและไร้กำลัง เลยทำให้เขาไม่รู้เรื่องนี้?
“ดินแดนภูผามหานทีแห่งนี้กับบนโลกเกี่ยวข้องกันอย่างไร? และทำไมชายคลั่งนครจือถึงอยู่ที่นี่?”
ความเคลือบแคลงผุดขึ้นเต็มในหัวของซูเย่อีกครั้ง
ด้วยความสงสัย ซูเย่จึงนั่งย่อลงและเอื้อมเก็บคริสตัลปราณที่ฝังอยู่ในทราย
“ทรายสีดำพวกนี้ คงจะเป็นซากศพที่ชายคลั่งนครจือฆ่าทิ้งไว้ กลายเป็นทรายเนื่องจากผ่านมานานมากแล้ว”
ผลปรากฏว่า
เพียงนิ้วแตะโดน คริสตัลปราณก็แตกสลายกลายเป็นผุยผง และถูกพัดลอยไปตามสายลม
“แม้แต่คริสตัลปราณเองก็ผุกร่อนได้เหรอ?”
ซูเย่มองภาพตรงหน้าอย่างตกใจ และพึมพำออกมา “นี่เป็นถึงคริสตัลปราณจากมอนสเตอร์ระดับเก้า แต่ก็ไม่สามารถทนทานต่อกาลเวลาได้”
เขาโบกสะบัดมือขวา
พลังปราณพวยพุ่งออกมา พัดกองทรายตรงหน้าเขากระจายออกไป
คริสตัลปราณระดับเก้าก้อนโตปรากฏขึ้น
คริสตัลปราณเหล่านี้แตกต่างจากปกติ พวกมันส่องประกายออกมาเสมือนเป็นสีเงิน
ซูเย่เอื้อมมือไปแตะคริสตัลปราณอีกครั้ง
ผลลัพธ์ยังคงเป็นเช่นเดิม
คริสตัลปราณทุกก้อนที่ถูกแตะต้องโดยซูเย่ แตกสลายลงเป็นผงและปลิวไปตามอากาศ
“มีอยู่ตั้งเยอะตั้งแยะ อย่างน้อยน่าจะมีสักสองสามก้อนสิ ใช่ไหม?”
ซูเย่ยังไม่ลดละ
เขาจะมาเสียเที่ยวไม่ได้!
ตามหาคริสตัลปราณที่ฝังอยู่ในกองทรายไปทั่วทั้งสมรภูมิ
“เจอแล้ว!”
หลังจากตามหาอยู่เป็นเวลานาน ซูเย่ก็สัมผัสได้ถึงความผันผวนของพลังปราณที่รุนแรง
เขาขุดลึกลงไปต่อ สู่ทิศทางที่สัมผัสพลังปราณได้
แน่นอนว่า สุดท้ายเขาจึงได้พบกับคริสตัลปราณระดับเก้าที่ไม่ผุสลาย เนื่องจากมันถูกฝังอยู่ลึกมากที่ใต้ดิน
หลังจากเก็บขึ้นมา ซูเย่ก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะด้วยความตื่นเต้น พลังปราณที่แผ่ออกมาจากคริสตัลนั้น รุนแรงจะเสมือนกับเป็นการเต้นของหัวใจ
คริสตัลปราณระดับนี้ จะต้องมีประโยชน์อย่างแน่นอน!
ซูเย่รีบปลดปล่อยพลังจิตของเขาให้ซึมลงไปในพื้นดิน เพื่อสัมผัสถึงความผันผวนของกระแสพลังปราณจากคริสตัล
ไม่นานนัก เขาก็พบคริสตัลปราณระดับเก้าอีกก้อน
“ความพยายามไม่เคยหักหลังคนโลภอย่างแน่นอน!”
ซูเย่ยิ้มกริ่ม
ยังคงขุดต่อไป!
ได้คริสตัลปราณระดับเก้ามาอีก 6 ก้อน พร้อมทั้งดาบยาวและง้าว 2 เล่ม
แม้ว่าจะผ่านมานานนับสองพันปี แต่มันยังคงส่องสว่าง คายแสงที่เย็นยะเยือกออกมา
ซูเย่มองดูบรรดาอาวุธที่ขุดขึ้นมา ส่ายหัวและถอนใจ
“น่าเสียดาย อาวุธเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นมาโดยช่างฝีมือชั้นสูงในสมัยนั้น ถูกฝังมามากกว่า 2,300 ปี ไร้ซึ่งร่องรอยของสนิม แต่เสียหายจากการถูกใช้ในสงครามเมื่อตอนนั้น ทำให้นำกลั บมาใช้ไม่ได้”
เขาทิ้งอาวุธลง หลังจากที่แน่ใจแล้วว่าไม่หลงเหลือคริสตัลปราณระดับเก้าฝังอยู่ในดินอีก ซูเย่จึงมุ่งหน้าไปยังกำแพงเมืองที่ตั้งตระหง่านอยู่
ระหว่างที่เดิน
ทันใดนั้น ซูเย่มองเห็นเนินทรายเล็ก ๆ
เป็นประกายไปด้วยแสงสีทอง
“ทองคำ?!”
ซูเย่ขยี้ตาเพื่อให้แน่ใจว่าเขามองไม่ผิดไป จากนั้นเขาจึงกระโดดโลดเต้นอย่างสุขสันต์
มีทองคำฝังอยู่ในเนินทราย!
เขารีบพุ่งเข้าไป
และพบว่าเนินทรายขนาดเล็กนี้ เกิดขึ้นมาจากกล่องไม้ที่เต็มไปด้วยทองกองสุมกัน
เนื่องจากผ่านมาอย่างเนิ่นนาน กล่องไม้ทั้งหมดจึงผุพัง เหลือทิ้งไว้เพียงทองคำกองโต
“นี่น่าจะหนักหลายสิบกิโลกรัมเลยนะ?”
ดวงตาของซูเย่เป็นประกาย เขาเอื้อมมือออกไปโอบกอดทองเอาไว้
ภายในใจนั้นเต็มไปด้วยความสุข!
จากราคาตลาดในปัจจุบัน ทองคำมีราคา 500 หยวนต่อกรัม ทองหลายสิบกิโลกรัมตรงหน้าเขาก็คงมีค่าหลักสิบล้าน
คุ้มค่าแล้ว
“ขอบคุณมาก รุ่นพี่จือ!”
ซูเย่กล่าวขอบคุณ หอบทองคำไว้อย่างมีความสุขและออกเดินต่อ
ตรงไปยังกำแพงเมืองสูงใหญ่
หลังจากสำรวจไปรอบ ๆ อยู่สักพัก ซูเย่พบว่าไม่มีหนทางไปต่อ
บนกำแพงนั้นไร้ซึ่งประตู เป็นไปไม่ได้ที่จะผ่านเข้าไป
ซูเย่เอื้อมมืออกไปแตะกำแพงด้วยความสงสัย
“ฟิ้ว!”
วินาทีที่แตะลงไป ม่านแสงก็ได้ปรากฏขึ้นทันที
ภายนอกแดนลับ เกิดเป็นระลอกคลื่นพลังปราณอยู่เหนือเมืองซ่างโหลว
ด้วยความผันผวนของกระแสพลังปราณ
เกิดเป็นภาพลวงตาบนท้องฟ้าอีกครั้ง
เป็นภาพเดียวกับที่ปรากฏขึ้นในครั้งก่อนทุกประการ
มีความแตกต่างอยู่เพียงอย่างเดียวคือ
ในครั้งนี้ ที่ขอบของภาพมหานครอันยิ่งใหญ่อย่างหาเปรียบมิได้ มีร่างหนึ่งปรากฏขึ้นเพิ่มเติม
ร่างนั้นทำหน้าตาสับสนอยู่
“ซูเย่?”
เกาหรงกวงเป็นผู้แรกที่ตอบสนอง เมื่อเห็นภาพของซูเย่ปรากฏขึ้นมาโดยไม่คาดคิดมาก่อน พลางชี้นิ้วไปบนท้องฟ้าด้วยใบหน้าตื่นตกใจ
“ร่างนี้……”
เจียงซานแหงนหน้ามองไปยังภาพบนท้องฟ้าทันที และเอ่ยขึ้นอย่างไม่อยากเชื่อว่า “ซูเย่จริงด้วย!”
ขณะเดียวกันนั้น
ในเมืองซ่างโหลว
ผู้คนทั้งหมดจ้องมองไปยังภาพลวงตาบนท้องฟ้าเป็นตาเดียว
แม้ว่าจะเคยเกิดขึ้นมาแล้วครั้งหนึ่ง การปรากฏขึ้นมาอีกครั้งของมัน ก็ยังคงดึงดูดความสนใจของผู้คนนับไม่ถ้วน
โดยเฉพาะเมื่อเห็นว่าในขณะนี้มีร่างของคนอยู่ด้วย
ผู้คนในเมืองซ่างโหลวล้วนตกตะลึง
“อะไร? ที่ไหนเนี่ย?”
“ภาพมิราจลวงตาเกิดขึ้นมาอีกแล้ว ไม่สิ? ทำไมถึงมีคนอยู่ด้วยล่ะ? นี่มันมาจากยุคเก่าหรือสมัยใหม่กันแน่?”
“นั่นมันใครน่ะ? ไปโผล่ในภาพลวงตาได้อย่างไร?”
“ดูเหมือนจะเป็นคนจากยุคนี้นะ ดังนั้นภาพลวงตาน่าจะเกิดจากการหักเหของแสง ไม่อย่างนั้นคนจากยุคนี้จะไปโผล่ในภาพลวงตาได้ที่ไหน?”
“แต่แค่สถานที่มันก็ไม่ใช่แล้ว ในประเทศไม่มีที่แบบนี้สักหน่อย!”
“แล้วภาพนี้มาจากที่ไหนล่ะ?”
ภาพถ่ายถูกเผยแพร่ลงบนอินเทอร์เน็ตเป็นครั้งแรก
กลายเป็นประเด็นร้อนอีกอย่างของชาวเน็ต
ในครั้งนี้ ผู้คนไม่ได้พูดคุยกันเรื่องภาพลวงตาอีกต่อไป แต่เป็นเรื่องของบุคคลในภาพ!
เป็นครั้งแรกที่มีร่างนี้ปรากฏในภาพลวงตา
มนุษย์อมตะหรือว่าเทพเจ้า?
……
มหาวิทยาลัยแพทย์แผนจีนจี้หยาง
หอพักชาย
“มีภาพลวงตาเกิดขึ้นที่เมืองซ่างโหลวอีกแล้วเหรอ?”
ทันทีที่กลับหอพัก ซูชือก็รีบนำโทรศัพท์ออกมาเลื่อนดูเวยป๋อ
ผลคือ เพียงแค่เปิดเวยป๋อมาก็ได้พบกับข่าวดังกล่าว
เขาจึงกดเข้าไปดู
“โอ้?”
ซูชือขยายภาพดูทันที จากนั้นกดดูวิดีโอของภาพลวงตา ขยายดูอีกครั้ง และได้เห็นร่างที่อธิบายไม่ได้ปรากฏขึ้นในภาพ
“ฉันจะไป” จินฟานเอ่ยออกมา “ทำไมคนในภาพถึงดูเหมือนซูเย่ขนาดนี้?”
“ก็เหมือนจริงแหละ” ซูชือพยักหน้าเห็นด้วย
คุยกันไปมา
ทั้งสองมองหน้ากัน เห็นว่าท่าทางและรูปร่างเหมือนซูเย่จริง ๆ
……
“หืม?”
วินาทีที่เขาสัมผัสกำแพงเมือง
ในหัวของซูเย่มีข้อความบางอย่างปรากฏขึ้น
‘เข้าได้เฉพาะสูงกว่าขั้นสี่และต่ำกว่าขั้นห้า ข้ามีมรดกจะมอบให้’
‘ในขณะนี้ ยังไม่ถึงเวลาเปิดประเพณีสืบทอดมรดก’
‘สามวันให้หลัง เวลาเที่ยงคืน มีเพียง 36 คนที่จะได้เข้าไป!’
อย่างกับมีเสียงอ่านข้อความดังกล่าวออกมาในหัวของซูเย่