เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 76 ทะลวงสองระดับรวด! ขั้นสี่ระดับสาม!
บทที่ 76 ทะลวงสองระดับรวด! ขั้นสี่ระดับสาม!
ไขกระดูกหินเป็นสมบัติชั้นสูงชนิดหนึ่ง มันจะถูกดึงดูดโดยพลังปราณ และเจาะลึกลงไปในร่างกายมนุษย์ แปรเปลี่ยนตัวเองไปเป็นพลังงานลึกลับที่ชำระล้างโครงสร้างร่างกาย ตัดข้อจำกัด ขจัดความมัวหมองไปจากเลือดและเนื้อ ไม่เพียงทำให้หน่วยก้านร่างกายแข็งแกร่ง แต่ยังทำให้มีความเข้ากันได้กับพลังปราณสูงขึ้นด้วย
แต่
ซูเย่ไม่ได้ต้องการชำระล้างโครงสร้างและตัดข้อจำกัด
ไม่ต้องพูดถึงความเจ็บปวดจากการที่โดนเจาะลงไปยังไขสันหลัง
สิ่งที่เขาต้องการในตอนนี้ เป็นการใช้ไขกระดูกหินเพื่อช่วยทะลวงเลื่อนระดับ!
เนื่องจาก ‘โชคลาภ’ ที่ติดตัวเขา ทำให้ขีดจำกัดของการรับนั้นเพิ่มสูงขึ้น และ ‘ห่าวหราน’ ก็เสริมขีดจำกัดที่ว่าขึ้นไปสูงอีกอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน
ความสามารถในการรับพลังปราณพุ่งสูงขึ้นหลายสิบเท่า! หรืออาจจะไปถึงแม้แต่หลายร้อยเท่าในอนาคต!
ซูเย่ปรับความเร็วของการโคจรพลังปราณไปจนถึงขีดสุด!
รอบกายเสมือนกลายเป็นน้ำวน ไขกระดูกหินไหลเข้าร่างกายอย่างรวดเร็ว
หลังจากเจาะผ่านร่างกายเข้าไป มันจึงแปรเปลี่ยนเป็นพลังงาน และไหลไปตามการควบคุมของซูเย่
ก้อนรูปร่างเป็นพลังปราณขนาดใหญ่ ตรงเข้าไปตามจุดที่ยังไม่ถูกเปิด
“ตูม!”
เส้นลมปราณเท้าหยางหมิงกระเพาะอาหารถูกเจาะ!
ขั้นสี่ระดับสอง!
พลังงานจากไขกระดูกหินมหาศาลไหลเข้ามา
กำจัดความมัวหมองทั้งหมดออกจากเส้นลมปราณเท้าหยางหมิง
จากนั้นมุ่งหน้าต่อ ไปยังเส้นลมปราณเท้าไท่หยางกระเพาะปัสสาวะ!
เคลื่อนไปอย่างรวดเร็ว และสร้างผลกระทบอย่างรุนแรง!
ทะลวงเข้าไปยังเส้นลมปราณเท้าไท่หยางทันที ชำระล้างความมัวหมองจากเส้นลมปราณที่ไม่ได้ใช้งานมาเป็นเวลานาน
“ตูม!”
ขั้นสี่ระดับสาม!
ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในไม่กี่นาที
ซูเย่เลื่อนสองระดับรวด!
หากบรรดาลูกรักสวรรค์อีก 35 คนได้มาเห็น พวกเขาคงอิจฉาตาร้อน!
แม้ว่าจะยังสามารถดำเนินการทะลวงระดับต่อไปได้
แต่ซูเย่ก็หยุดลง
ลืมตาและลุกยืนขึ้น
“ฟู่~”
เขาสูดหายใจ สายตาเต็มไปด้วยความตื่นเต้น
ไม่จำเป็นที่จะต้องรีบทำการทะลวงระดับ การได้มาสองระดับในเวลาอันสั้นเช่นนี้ก็ดีมากพอแล้ว และมันจำเป็นจะต้องใช้เวลาในการปรับตัวอีกต่างหาก เมื่อไรที่ปรับตัวและเติมเต็มช่ องว่างระหว่างระดับเรียบร้อย เขาค่อยเริ่มทะลวงเลื่อนระดับต่อจากนั้น
ไม่อย่างนั้น
มันอาจจะเกิดผลข้างเคียงอันใหญ่หลวงในอนาคต
ซูเย่มองดูเหล่าพี่น้องรอบกาย ที่นั่งขัดสมาธิฝึกตนกันอยู่
เพียงแค่เหลือบมอง เขาก็รู้ได้ทันทีว่า ทุกคนต่างเลื่อนขึ้นไปสองระดับ
กำลังของเหล่าพี่น้องทั้งหมด กลายเป็นขั้นสามระดับห้า
ไม่ใช่แค่นั้น สมรรถภาพร่างกายเองก็พัฒนาไปอย่างก้าวกระโดด การฝึกฝนของพวกเขาในอนาคตจะเป็นหนทางอันราบรื่น!
เมื่อเห็นเช่นนั้น ซูเย่จึงกล่าวพร้อมยิ้มออกมา “ไม่เสียแรงที่ฉันคิดและทำตามแผนการณ์ ความเจ็บปวดที่ทุกคนต้องทนเองก็จะไม่สูญเปล่าแน่นอน”
ในบ่อไขกระดูกหินขณะนั้น ลดเหลือน้อยจนมองเห็นก้นบ่อ
ซูเย่รีบกระโดดออกจากบ่อและยืนรออย่างเงียบ ๆ
ไม่นาน ไขกระดูกหินในบ่อทั้งหมดก็แห้งเหือด ไม่เหลือแม้แต่หยดเดียว
เหล่าพี่น้องทยอยกันลืมตาตื่นจากการฝึกตน คนแล้วคนเล่า
สายตาของพวกเขาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
“เป็นอย่างไรกันบ้าง?” ซูเย่เอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
ทุกคนกระโดดออกจากบ่อ มองหน้ากันและกัน อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้าตื่นเต้น
“สุดยอดมากเลย!”
“โคตรเจ๋งเลย รู้สึกสดชื่นและสมองโล่งแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน!”
“ไม่ใช่แค่พละกำลังนะที่แข็งแกร่งขึ้น แต่สิ่งที่เคยไม่เข้าใจก็สามารถเข้าใจได้แล้ว รู้สึกได้เลยว่าหนทางการฝึกในอนาคตจะต้องสว่างไสวและราบรื่น!”
“ฉันก็รู้สึกเหมือนกันเลย!”
“ขอบคุณมากลูกพี่ซู”
หลังจากพูดคุยกัน ทุกคนหันไปยกกำปั้นเคารพซูเย่อย่างสุดหัวใจ
“เหล่าพี่น้องของฉัน” ซูเย่ยิ้ม
ทุกคนพยักหน้าตอบรับ
พวกเขาจะจดจำพระคุณในครั้งนี้ไว้ตลอดชีวิต
“ไปกันเถอะ ได้เวลากลับออกไปแล้ว ทำเหมือนเดิม เงียบ ๆ ห้ามส่งเสียงดัง!” ซูเย่กล่าว
พาเหล่าพี่น้องไปยังช่องที่กำแพง ฉีกปราการเปิดออกให้เคลื่อนผ่านไปได้
“กลับไปรวมตัวกันที่จุดนัดพบ”
“รับทราบ!” เหล่าพี่น้องตอบรับเป็นเสียงเดียวกัน
“ไม่ ฉันทนไม่ไหวแล้ว ขอไปก่อนนะ”
เมื่อกำลังของเขาเพิ่มพูนขึ้น ทำให้ความรู้สึกของเขาก็หนักหนาและชัดเจนมากกว่าเดิม เขาจึงรีบพุ่งเพื่อที่จะออกไป
แต่ผลคือ
ซูเย่จับเขาไว้
“ทุกคนกลับไปได้ แต่ไม่ใช่นาย”
“ทำไมล่ะ?” จินฟานถามด้วยใบหน้าที่บิดเบี้ยว
“เดี๋ยวก็รู้เอง” ซูเย่ยังคงจับจินฟานไว้ไม่ปล่อย “นายจะขอบคุณฉันทีหลังแน่นอน”
กล่าวจบ เขาโบกมือเป็นสัญญาณให้ทุกคนกลับออกไป
“จินฟาน ฉันจะคิดถึงนาย”
ซูชือที่เดินผ่านมาจับมือจินฟานไว้ ทำหน้าตาฝืนใจจากลา
พี่น้องคนอื่น ๆ เองก็ยื่นมือมาแตะบ่าของจินฟานทีละคน ทีละคน
“แม่ง ไอ้พวกเลว!” จินฟานสบถออกมา “ฉันอาจจะได้เจออะไรดี ๆ ก็ได้นะ ดีจนพวกแกไม่คาดคิดเลย! แล้วพวกแกจะต้องอิจฉาตาร้อน!”
เหล่าพี่น้องเดินออกไปด้วยเสียงหัวเราะและรอยยิ้ม
รอคอยให้ทุกคนออกไปจนหมด
ซูเย่จึงซ่อมแซมปราการบนกำแพงอีกครั้ง
“เสี่ยวเย่ บอกฉันมาตรง ๆ นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน?” จินฟานกล่าวออกมาอย่างฉุนเฉียวพร้อมจับแขนซูเย่ไว้ “ฉันรู้สึกแย่ขึ้นตลอดเวลาเลย เหมือนมีใครเอาเชือกมาผูกที่เอวไว้แ แล้วดึงฉัน แต่ฉันเอามันออกไม่ได้”
ซูเย่เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มว่า “จำได้ไหมว่าฉันบอกอะไรเกี่ยวกับที่นี่?”
“แดนลับที่มีมรดก?” จินฟานกล่าวออกไป ทันใดนั้นสายตาเขาแปรเปลี่ยนเป็นตกตะลึง พร้อมกับเอ่ยถาม “ไม่จริงน่า นายหมายถึงฉันเหรอ? ฉันจะมีโอกาสได้จริงเหรอ?”
“ใช่!” ซูเย่พยักหน้ายืนยัน และกล่าวต่อ “อาจจะเป็นนายก็ได้”
ดวงตาของจินฟานเป็นประกาย เขารีบเค้นต่อ “มรดกของใคร? ดีไหม?”
“อย่างน้อยก็ขั้นเก้า” ซูเย่ตอบ
จินฟานถอนใจด้วยความโล่ง “ถ้าอย่างนั้นก็ไม่เลว”
จากนั้นมีบางอย่างผุดขึ้นมาในหัว เขาจึงถามออกมาอย่างเป็นกังวล “ผู้ชายหรือผู้หญิง?”
ซูเย่จึงตอบกลับไปว่า “ผู้ชาย ชายคลั่งนครจือ ผู้หยุดรถม้าของขงจื๊อในยุคชุนชิว”
ในที่สุด ความอึดอัดในใจของจินฟานก็สลายหายไป
ไม่สำคัญว่านั่นเป็นใคร แค่เป็นผู้ชายก็เพียงพอแล้ว
เขาไม่อยากจะจินตนาการ หากเขาต้องรับสืบทอดมรดกจากหญิงในอดีตกาล.…..
“ไปกัน!”
ซูเย่รีบนำจินฟานไปยังอีกทิศทางหนึ่ง
ไม่ใช่ใจกลางเมือง
แต่เป็นวิหารยักษ์ทางทิศตะวันออก
เป็นสถานที่ที่สำคัญที่สุดในเมืองแห่งนี้ เสมือนเป็นสิ่งก่อสร้างหลักของจตุรัส
ขณะนั้นเอง
อีก 35 คนได้เดินทางผ่านใจกลางเมือง พบบททดสอบมากมาย และได้ตรงไปวิหารตะวันออก
ซูเย่ไม่ได้เข้าจากประตูหน้า เขาพาจินฟานเดินไปรอบวิหาร และพบประตูด้านข้าง จึงให้จินฟานเข้าไป
“จำไว้นะ นี่เป็นโอกาสของนาย!” ซูเย่กล่าวกับจินฟาน “แรงที่ดึงตัวนายไว้คือแรงดึงดูดจากมรดก อย่ากลัวและอย่าปฏิเสธมัน ตามมันไป ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับนายแล้ว!”
“ได้เลย! ขอบคุณนะเสี่ยวเย่!”
จินฟานสูดหายใจลึก กล่าวกับซูเย่อย่างเคร่งขรึม และก้าวเท้าเดินเข้าไปข้างใน
“โชคดีนะ”
ซูเย่ยิ้มออกมา เขาไม่ได้เข้าไปด้วย โอกาสนี้มีเพียงหนเดียว และมันควรจะเป็นของจินฟาน
การเข้าไปเองนั้นไม่มีประโยชน์ใด ๆ ยิ่งไปกว่านั้นเขาก็ไม่ต้องการมันด้วย
และที่สำคัญ ยังคงมีสมบัติที่ใหญ่โตเสียยิ่งกว่า รอคอยเขาอยู่!
คือเมืองแห่งนี้!
แวบแรกที่เห็น เขาก็อยากได้เมืองนี้ ซึ่งเป็นเครื่องมืออาคมในทันที
ซูเย่มองไปทั่วทั้งเมือง และเริ่มออกเดินไปรอบ ๆ
หลังจากเดินเรียบร้อยแล้ว ซูเย่ก็ได้เห็นทุกมุมและพบว่าไม่มีสิ่งอื่นใดให้นำกลับไปได้อีก
“ถ้าทั้งเมืองนี้คือเครื่องมืออาคม แล้วฉันจะนำกลับไปอย่างไร?”
ซูเย่มายังใจกลางเมืองและนั่งลง
แยกพลังลมปราณแฝงบางส่วน นำพลังปราณของเขาเทไหลไปยังพื้นดิน และแผ่ขยายออกไปทั่วทุกทิศทาง
เขาต้องการตรวจสอบให้ละเอียด
ว่าเมืองแห่งนี้ คือเครื่องมืออาคมอะไรกันแน่
พลังลมปราณแฝงขับเคลื่อนไปโดยไร้อุปสรรค
ในไม่นาน พลังปราณของซูเย่ก็เจาะลงไปถึงแกนกลางของเมืองแห่งนี้ 100 เมตรใต้พื้นดิน
ณ ตำแหน่งนั้น ซูเย่รู้สึกได้ถึงค่ายกลขนาดใหญ่อย่างหาที่เปรียบไม่ได้
มันคือค่ายกลที่ปกปักษ์รักษามรดกของที่แห่งนี้ไว้
ทว่า ใจกลางของค่ายกล ซูเย่รู้สึกได้ถึงมวลสารพลังงานอันหนาแน่น
เป็นรูปแบบพลังงานที่ไม่สามารถอธิบายได้
แตกต่างจากพลังงานทั่วไป เสมือนมีตัวตนแยกออกมาเป็นหนึ่งเดียว
หรือ
เป็นพลังงานที่สามารถเปลี่ยนแปลงตัวเองได้
“พลังวิญญาณ!”
หลังจากได้สัมผัสอย่างละเอียดแล้ว ซูเย่ก็ต้องตกตะลึงไป
เหตุผลที่ว่าทำไมเครื่องมืออาคมถึงถูกเรียกเช่นนั้น เนื่องมาจากผู้ทรงพลังในอดีตกาล ได้ใช้หลากหลายกระบวนการวิเศษ เพื่อขัดเกลาเครื่องมืออาคมให้แฝงไว้ด้วยพลังวิญญาณบริสุทธิ์
เช่นเดียวกับต้นไม้ใบหญ้า เราไม่สามารถมองเห็นพลังชีวิตของมันเป็นรูปธรรมได้ แต่ทุกคนรู้ว่าพวกมันมีชีวิต
พลังวิญญาณ ก็เหมือนกัน ‘ชีวิต’ ของเครื่องมืออาคม!
ในขณะเดียวกัน มันก็เป็นรากฐานของเครื่องมืออาคม หน้าที่ของมันยังคงเป็นปริศนา
หากเปรียบเทียบกับเทคโนโลยียุคสมัยใหม่
พลังวิญญาณ ก็คือเครื่องยนต์ของเครื่องมืออาคม
ไม่ต้องใช้แผงควบคุม พลังวิญญาณสามารถควบคุมได้ด้วยพลังปราณ
ทว่าเครื่องยนต์นี้มีปัญหาบางอย่าง
มันถูกปิดกั้นไว้อย่างแน่นหนาโดยค่ายกลของมรดก ดูเหมือนจะหลอมรวมเป็นหนึ่งไปแล้ว
“แม้ว่าจะควบคุมพลังวิญญาณได้ แต่ก็ไม่สามารถนำเมืองนี้ออกไปได้อยู่ดี มีหนทางเดียวคือ ต้องเปิดค่ายกลออกก่อน แล้วจึงควบคุมพลังวิญญาณของเครื่องมืออาคมนี้”
ความคิดผุดขึ้นมา
ซูเย่เริ่มเตรียมการทำลายค่ายกลลงทันที โดยตามหาจุดกำเนิดของมัน
หากหาจุดกำเนิดของค่ายกลพบ เขาจะสามารถควบคุมได้ทั้งค่ายกลมรดก และพลังวิญญาณของเครื่องมืออาคม
หลังจากค้นหาทั่วทั้งค่ายกลแล้ว เขาจึงพบตำแหน่งของจุดกำเนิด
จุดกำเนิดของค่ายกลมรดกโบราณนี้ ไม่ได้อยู่ในตัวของมันเอง
แต่อยู่บนท้องฟ้าเหนือค่ายกล
เป็นจุดที่พลังปราณทั้งหมดบรรจบกัน!
“เป็นการจัดเรียงที่ปราณีตสวยงามมากจริง ๆ! คงไม่มีใครคาดคิดว่าจุดกำเนิดค่ายกลจะอยู่บนท้องฟ้า”
ซูเย่กล่าวออกมาอย่างรู้สึกโล่งใจ “พังก่อน ควบคุมที่หลัง!”
ทันใดนั้นเขาคุมพลังปราณ นำทางด้วยลมปราณแฝง พุ่งตรงเข้าใส่จุดกำเนิด
พลังปราณไหลเข้าไปแทรกอย่างเชื่องช้า
เพื่อที่จะควบคุมจุดกำเนิดค่ายกลได้ ปราณทั้งหมดที่กักเก็บอยู่จะต้องถูกไล่ออกไป โดยใช้พลังปราณของเขาในการเข้าแทรก
โดยปกติแล้ว ผู้ที่จะทำเช่นนี้ได้ จะต้องมีความแกร่งอยู่ในระดับเดียวกันกับผู้ก่อตั้งค่ายกล
โชคเข้าข้าง ที่เขามีพลังลมปราณแฝงสุดโกงนี้!
ใช้เวลาเล็กน้อย ซูเย่ก็สามารถฉีกเปิดช่องว่างที่ตำแหน่งจุดกำเนิดค่ายกลได้ จากนั้นเขาจึงเทพลังปราณของตนแทรกเข้าไปในจุดกำเนิด
ท้ายที่สุด
เขาสามารถยึดจุดกำเนิดค่ายกลมาได้!
พลังปราณที่ไหลแผ่จากจุดกำเนิดเอง ก็เริ่มหลอมรวมเข้ากับค่ายกลที่ถูกควบคุม
แม้ว่าปราณนี้จะไม่สามารถนำกลับไปใช้ได้ แต่เมื่อจุดกำเนิดถูกยึดไปแล้ว มันสามารถที่จะหลอมรวมกับปราณของซูเย่ และค่อย ๆ ไหลไปตามการควบคุมของเขา
ค่ายกลนี้มีขนาดที่ค่อนข้างใหญ่
ถึงจะมีพลังแฝงสุดโกงอยู่ แต่ซูเย่ก็ใช้เวลาไปเกือบ 30 นาที และในที่สุด เครื่องมืออาคมไร้เจ้าของก็ถูกควบคุมโดยสมบูรณ์
ทว่า เมื่อซูเย่พยายามที่จะควบคุมพลังวิญญาณ ณ ใจกลางของค่ายกลนั้นเอง
กลับพบว่า ไม่มีวิธีการเริ่มควบคุม
“ระดับพลังของฉันยังต่ำเกินไป”
ซูเย่ทำได้เพียงยิ้มเจื่อน
แต่ด้วยเหตุนั้น เขาก็ไม่ได้กังวล
พลังวิญญาณของเครื่องมืออาคมและค่ายกลนั้นผูกมัดอยู่ด้วยกัน หากเขาควบคุมค่ายกลได้ เขาก็ควบคุมเครื่องมืออาคมได้ แม้ว่าจะยังนำออกไปไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้มีผลกระทบมากนัก!
ซูเย่ลืมตาขึ้น พ่นลมหายใจ ยิ้มออกมา และเริ่มสัมผัสได้ถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นทั่วทั้งเมือง
ทันใดนั้น
เกิดเป็นเสียงการปะทะดังขึ้นเสียดหู
แม้จะไม่ได้ฟังอย่างละเอียด ซูเย่ก็รู้ได้อย่างชัดเจนว่าเสียงนั้นดังมาจากวิหารตะวันออก
จินฟาน?
มีเรื่องอะไรหรือเปล่า?
สีหน้าซูเย่เคร่งเครียด เขาลุกยืนขึ้นและมุ่งหน้าไปยังวิหารตะวันออกโดยไม่ลังเล