เซียนอมตะ 2,500 ปี [我只有两千五百岁] - บทที่ 81 ภายในห้าปี! เป็นหมอเทวดา!
บทที่ 81 ภายในห้าปี! เป็นหมอเทวดา!
ปรมาจารย์ฮัวติดต่อผู้เชี่ยวชาญในสาขาการแพทย์แผนจีนหลายคน ที่รู้จักกันเป็นการส่วนตัวให้มาหาเขาเป็นครั้งแรก
คืนนั้น
ซูเย่คอยดูแลหวังห่าวอยู่ในห้องหนึ่งของบ้านปรมาจารย์ฮัว ส่งพลังปราณไปในร่างของหวังห่าวอย่างต่อเนื่อง เพื่อต่อเวลาชีวิตเขาไว้
วันถัดมา ปรมาจารย์อีกสองท่านมาถึงตั้งแต่เช้า
ซูเย่เคยเห็นทั้งสองมาก่อน
ทั้งสองเคยปรากฏตัวในพิธีรับศิษย์ของเขา หลิวชิงเฟิงและว่านเฉิงหยาง!
ในเช้านั้น ไม่มีแม้แต่เวลาสำหรับอาหารเช้า ทั้งสามไปยังห้องที่หวังห่าวอยู่และปรึกษาหารือกัน
ทันทีที่เข้าห้องไป
หลิวชิงเฟิงรีบเริ่มวินิจฉัยอาการบาดเจ็บของหวังห่าว
เป็นเวลาอยู่ห้านาที
เดินออกมาอย่างเงียบเชียบ
จากนั้นว่านเฉิงหยางผลัดเปลี่ยนเข้าไปตรวจดูอาการหวังห่าว
ห้านาทีเช่นเดียวกัน
หลังจากตรวจสอบ ว่านเฉิงหยางสูดหายใจลึก มองไปยังหลิวชิงเฟิงและปรมาจารย์เหล่า จากนั้นถอนใจและส่ายหัว
ซูเย่รีบเอ่ยถาม
“ท่านทั้งสอง มีวิธีการรักษาไหมครับ?”
“ไม่มี”
ทั้งหลิวชิงเฟิงและว่านเฉินหยางถอนใจออกมาพร้อมกัน
ความเมตตากรุณาของแพทย์
และ พวกเขาเป็นถึงปรมาจารย์แพทย์แผนจีน
ขอเพียงมีความหวัง แม้จะริบหรี่ ทั้งสองคงไม่ให้คำตอบที่ชัดเจนเช่นนี้แน่นอน
หมดหนทางช่วยหวังห่าวแล้วจริงหรือ?
สายตาของซูเย่ลดต่ำ
“ด้วยความสามารถระดับพวกฉัน ไม่สามารถรักษาได้”
หลิวชิงเฟิงกล่าวออกมาด้วยสีหน้าคร่ำเครียด “ร่างกายของเขาถึงขีดจำกัดแล้ว สมดุลเองก็แทบจะสลายไปหมด จุดปราณตามร่างกายเองก็กำลังตายลง”
“อาการเช่นนี้ นอกเสียจากหมอวิเศษ …ไม่ซิ แม้แต่หมอวิเศษเองก็ทำไม่ได้ หากต้องการรักษาอาการบาดเจ็บนี้ จะต้องเป็นผู้ที่เหนือกว่าหมอวิเศษเป็นหมอเทวดา เมื่อไรที่เธอเรียน นรู้ไปถึงขอบเขตของหมอเทวดา เธอก็ไม่พบโรคร้ายใดที่ทำการรักษาไม่ได้”
“ใช่ อาการบาดเจ็บเช่นนี้ มีเพียงหมอเทวดาอย่างเปี่ยนชวี่ยและฮวาถัวเท่านั้นที่รักษาได้”
ว่านเฉิงหยางถอนใจและส่ายหัว
“หมอเทวดา?” ซูเย่ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด
เขามีชีวิตมา 2,500 ปี และมีหมอเทวดาเพียงไม่กี่คนที่เขาเคยได้ยินชื่อ แต่ผู้คนเหล่านั้นล้วนจากไปแล้วอย่างเนิ่นนานตามประวัติศาสตร์
“ยังคงมีหมอเทวดาในยุคสมัยนี้ไหมครับ?” ซูเย่รีบเอ่ยถามทันที
ปรมาจารย์ทั้งสามมองหน้า ก่อนจะส่ายหัวออกมาพร้อมกัน
“ปัจจุบันยังไม่มีแม้แต่หมอวิเศษเลย ไม่ต้องพูดถึงหมอเทวดา” ปรมาจารย์ฮัวกล่าวตอบพร้อมยิ้มเจื่อน
สายตาของซูเย่มืดมน เขาถามทั้งที่รู้คำตอบอยู่แล้วในใจ แต่เผื่อว่าจะยังพอมีความหวังริบหรี่
มองไปยังหวังห่าวที่กำลังหายใจอย่างแผ่วเบา สีหน้าของซูเย่ในขณะนั้นช่างไม่น่ามอง
อย่างนี้ก็สรุปได้ว่า หมดหนทางสำหรับหวังห่าวแล้วใช่ไหม?
ซูเย่รู้ดีว่าตำแหน่ง ‘ปรมาจารย์แพทย์แผนจีน’ ในขณะนี้ ถือว่าเป็นจุดสูงสุดของยุคสมัยแล้ว ดังนั้นจึงไม่มีทางที่จะมีหมอวิเศษและหมอเทวดา
หรือเขาจะทำได้เพียงเฝ้ามองวันสิ้นลมของหวังห่าว?
ไม่!
ซูเย่กำหมัดของเขาแน่น ดวงตาถมึงทึง
หากไม่มีหมอเทวดาอยู่ในยุคสมัยนี้ ก็จงกลายเป็นหมอเทวดาด้วยตัวเอง!
หากมีบุคคลในประวัติศาสตร์เคยเป็นหมอเทวดา นั่นหมายความว่ามีหนทางอยู่
ถ้าคนอื่นเป็นได้ เขาก็ต้องเป็นได้เหมือนกัน!
ไม่ว่าหนทางจะลำบากยากเข็ญเพียงไหน เขาก็จะต้องเป็นหมอเทวดาให้ได้
ซูเย่ตัดสินใจอย่างเด็ดขาด
ไม่เพียงแค่เป็นหมอเทวดา แต่ยังต้องเป็นผู้ยืนอยู่เหนือสุดของยุทธภพให้เร็วที่สุดอีกด้วย!
ไม่ใช่แค่รักษาหวังห่าว แต่จะต้องมีพลังที่ใช้ในการปกป้องครอบครัว เพื่อนและพี่น้อง!
หวังห่าวจะต้องรอด!
สิ่งที่หวังห่าวมอบให้กับเขา ก่อเกิดเป็นทั้งความปลื้มปีติและความรู้สึกผิด หากเขาไม่สามารถช่วยชีวิตหวังห่าวไว้ได้ ความรู้สึกผิดนี้คงจะฝังลึกในใจของซูเย่ไปตลอดกาล
ด้วยความรู้สึกผิดในใจ จะทำให้การฝึกยุทธ์เพื่อไปยังจุดสูงสุดกลายเป็นเรื่องยาก
ต่อให้เขาไม่ใช่ผู้ฝึกยุทธ์ แต่เขาก็ต้องช่วยชีวิตคนที่ยอมตายเพื่อเขาอยู่ดี!
“ขอบคุณท่านทั้งสองมากครับ” ซูเย่โค้งคำนับขอบคุณหลิวชิงเฟิงและว่านเฉิงหยาง จากนั้นหันไปโค้งให้กับปรมาจารย์ฮัวอีกครั้ง ก่อนจะกล่าว “ขอบคุณมากครับท่านอาจารย์ ในเมื่อไม่มีห หนทางรักษา ศิษย์จะหาวิธีการอื่นครับ”
กล่าวจบ
เขาจึงแบกหวังห่าวและออกจากที่นั่น
เมื่อออกมา ก็ได้พบว่ารถที่มาส่งเขาเมื่อวาน ยังคงจอดรออยู่นอกสวน
“กลับไปสำนักงานสืบสวนครับ” ซูเย่กล่าวบอกเมื่อขึ้นรถไป
เขายังช่วยหวังห่าวในตอนนี้ไม่ได้ แต่เขาสามารถยื้อชีวิตหวังห่าวได้!
ด้วยสภาพของหวังห่าวในขณะนี้ การจะยื้อชีวิตเขาต้องใช้หยกปราณปริมาณมหาศาล ซูเย่ไม่สามารถหาได้ แต่ทีมสืบสวนหาได้
รถติดเครื่อง
ย้อนกลับไปยังสำนักงานสืบสวนด้วยเส้นทางเดิม
เมื่อกลับมาแล้ว ซูเย่พบว่าเจียงซานยังคงรออยู่
“เป็นอย่างไรบ้าง พอมีหนทางไหม?” เจียงซานรีบเอ่ยถามทันที เขาเองก็มีความหวังเล็ก ๆ อยู่ในใจ
“ผมต้องการเสนอข้อแลกเปลี่ยนกับท่านครับ”
ซูเย่ไม่ตอบคำถามของเจียงซาน ทว่าจ้องมองกลับไปพร้อมกับกล่าวสวน
“หือ?” เจียงซานผงะ
“ผมจะช่วยดำเนินการแผนฟื้นฟูวงการแพทย์แผนจีนของประเทศชาติ เพื่อเป็นการแลกเปลี่ยน ผมต้องการให้ทางการช่วยผมยื้อชีวิตของหวังห่าวไว้ คอยเตรียมการและจัดหาหยกปราณให้เพียงพอ อสำหรับเขา เพื่อที่จะรับรองได้ว่าเขาจะไม่ตายจนกว่าผมจะสามารถรักษาเขาได้!”
เจียงซานสูดหายใจลึก
สายตาของซูเย่นั้นเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เขาไม่เคยคิดว่า ซูเย่จะเป็นคนเช่นนี้
และเขาก็ไม่เข้าใจเช่นกัน ว่าทำไมหวังห่าวจึงยอมสละขีวิตเพื่อซูเย่
แต่ในขณะนี้
ดูเหมือนเขาจะได้เข้าใจแล้ว
“เธอมีหนทางฟื้นฟูวงการแพทย์แผนจีนเหรอ?” เจียงซานเอ่ยถามอย่างประหลาดใจ
“มีครับ!” ซูเย่ตอบกลับอย่างมั่นใจ
เจียงซานขมวดคิ้ว
ขณะนี้หวังห่าวนั้นอยู่ในระยะสุดท้าย จะกล่าวว่าทำได้เพียงต่อลมหายใจโดยปราณจากหยกก็ได้ ไร้หนทางรักษา
การทำให้เขาไม่ตาย ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย
นอกเสียจากว่าจะใช้หยกปราณหนึ่งพันก้อนต่อวัน เพื่อสนับสนุนค่ายกลรวบรวมปราณของซูเย่ สำหรับการต่อลมหายใจให้หวังห่าว
หยกปราณหนึ่งพันก้อนต่อวัน
ไม่ใช่จำนวนที่น้อยเลย
การทำเช่นนี้จะคุ้มค่าหรือเปล่า?
ในขณะที่เจียงซานกำลังชั่งใจนั้น
“ถ้าหากแผนการฟื้นฟูวงการแพทย์แผนจีนยังไม่พอ ผมเพิ่มสิ่งนี้ให้ครับ”
เมื่อกล่าวเช่นนั้น ซูเย่จ้องมองเจียงซานพร้อมกับนำเมืองขนาดเล็กออกมายื่นให้เขา
เครื่องมืออาคม เมืองยักษ์แห่งแดนลับ!
เจียงซานตกตะลึง
นี่ไม่ใช่แบบจำลอง แต่เป็นเมืองของจริง
เพื่อที่จะช่วยชีวิตหวังห่าว ซูเย่ยอมกระทั่งนำสิ่งนี้มาแลก?
“เอาจริงเหรอ?”
เจียงซานลุกยืนขึ้นถามทันที นี่คือสิ่งของที่ทีมสืบสวนกำลังต้องการเป็นอย่างมาก เพื่อการใช้ควบคู่กับตราคำสั่งสร้างนคร ในพื้นที่ระดับสี่ของดินแดนภูผามหานที!
“ครับ” ซูเย่พยักหน้า และกล่าวอย่างจริงจัง “ในชีวิตนี้ผมจะไม่ทำให้ใครผิดหวัง ผมรู้ว่าการต่อชีวิตให้หวังห่าวต้องการหยกปราณปริมาณมาก แลกเปลี่ยนด้วยของเท่านี้เพียงพอไหมค ครับ?”
“ได้!” เจียงซานสูดหายใจลึก นั่งหลังตรงและกล่าว “แม้ว่าจะต้องใช้หยกปราณหนึ่งพันก้อนทุกวัน เพื่อต่อลมหายใจให้เขาด้วยค่ายกลรวบรวมปราณ ฉันก็จะรอคอยจนกว่าเธอจะหาหนทางร รักษาเขาได้”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น
ซูเย่จึงถอนใจออกมาด้วยความโล่ง
แม้ว่าจะยังไร้หนทางสำหรับรักษาหวังห่าวในขณะนี้ แต่อย่างน้อยก็รับรองได้ว่าเขาจะไม่ตาย
ตราบใดที่ยังไม่ตาย ก็ย่อมมีหนทางรักษา!
“เข้ามา!” เจียงซานเอ่ยออกมาอย่างกะทันหัน “พาเขาไปห้องพักฟื้น”
สมาชิกทีมสืบสวนหลายคนเดินเข้ามาทันที
นำตัวหวังห่าวออกไป
ซูเย่โล่งใจเป็นอย่างมาก
ในเมื่อเจียงซานเอ่ยปากตกลงแล้ว หมายความว่าทางการเองก็จะช่วยต่อลมหายใจให้หวังห่าวได้
“ไม่ต้องเป็นห่วง” เจียงซานกล่าวกับซูเย่ “ฉันสัญญาแล้ว รับรองว่าหวังห่าวจะไม่ตายง่าย ๆ”
ซูเย่พยักหน้า
“ต่อไป ได้เวลาคุยกันเรื่องข้อต่อรองของเธอแล้ว” เจียงซานพาซูเย่ไปยังห้องสำนักงาน “มาคุยกันเรื่องแผนการฟื้นฟูวงการแพทย์แผนจีนของเธอ”
“ผมต้องการเป็นหมอเทวดา” ซูเย่บอกไปตามตรง “โดยการขับเคลื่อนความก้าวหน้าของวงการไปทั้งหมดพร้อมกัน”
“หืม?” เจียงซานผงะ จ้องมองซูเย่ พร้อมกล่าวขึ้นมาอย่างรับไม่ได้กับสิ่งที่ได้ยิน “แล้วเธอต้องใช้เวลานานขนาดไหน ถึงจะได้เป็นหมอเทวดา?”
แม้ว่าเขาจะไม่ได้ศึกษาด้านแพทย์แผนจีน
แต่เขาก็รู้ดีว่ามันยากแค่ไหน หากโลกนี้ต้องการสร้างหมอเทวดาขึ้นมาสักคน
แม้แต่แพทย์แผนจีนที่เก่ง ๆ เอง ยังเคยมีเพียงแค่ 10 คน
ปัจจุบันกระทั่งหมอวิเศษยังไม่มี ไม่ต้องให้พูดถึงหมอเทวดา!
ไม่ว่าซูเย่จะมีศักยภาพที่ดีแค่ไหน แต่ก็เป็นไปไม่ได้ที่เขาจะกลายเป็นหมอเทวดาในเวลาอันสั้น
“เธอต้องเข้าใจให้กระจ่างด้วยนะ ว่าแผนการฟื้นฟูวงการแพทย์แผนจีน คือการเพิ่มจำนวนบุคลากรทางการแพทย์หนึ่งล้านคนภายในห้าปี” เจียงซานกล่าวขึ้นหน้านิ่วคิ้วขมวด
เขารู้สึกอย่างกับตกหลุมพรางของซูเย่เข้าแล้ว
“ก็ภายในห้าปีไงครับ!” ซูเย่ตอบกลับ
“หือ?” เจียงซานตกตะลึง
ห้าปี?
เธอจะเป็นหมอเทวดาภายในห้าปีหรือ?
ล้อเล่นกันหรือเปล่า?
เพียงแค่การเป็นปรมาจารย์แพทย์แผนจีนในห้าปีได้ก็ปาฏิหาริย์แล้ว!
เจียงซานยังคงจ้องซูเย่
และเมื่อได้เห็นสายตาอันจริงจังของเขา
เขารู้ว่าเด็กหนุ่มตรงหน้าไม่ได้ล้อเล่น เขาตั้งใจไว้อย่างแน่วแน่
ด้วยบางเหตุผล มีความรู้สึกที่อธิบายไม่ได้ เศษเสี้ยวของความหวังปรากฏขึ้นภายในจิตใจของเขา
เขาจ้องมองซูเย่อยู่เป็นเวลาครู่ใหญ่ และแล้วจึงตัดสินใจ
“ได้ ฉันจะเชื่อเธอสักครั้ง! อย่าทำให้ฉันผิดหวังล่ะ!”
“วางใจได้เลยครับ!” ซูเย่ตอบรับอย่างฉะฉาน
“เหล่าพี่น้องต้องการพบเธอ” เจียงซานเปลี่ยนเรื่องในทันใด “ฉันจะพาเธอไปพบพวกเขา”
กล่าวจบ
เขาจึงลุกยืนขึ้นและเดินออกไป
ซูเย่จึงเดินตามไปโดยไม่ห่าง
ไม่นานนัก เจียงซานนำซูเย่มายังโกดังที่มีลานฝึกขนาดใหญ่
ซูชือ จินฟาน และคนอื่น ๆ ล้วนอยู่ที่นั่น
“ลูกพี่ซู!”
เมื่อเห็นซูเย่ กลุ่มของเหล่าพี่น้องตะโกนออกมาด้วยความตื่นเต้นจากระยะไกล ร้องโห่ดีใจและกระโดดไปมา
“ผมพาพวกเขากลับไปได้ไหมครับ?” ซูเย่เอ่ยถามเจียงซานหลังจากทักทายทุกคนแล้ว
“ไม่ได้” เจียงซานตอบกลับและส่ายหัว “ผู้บัญชาการคนอื่นกำลังเดินทางมาที่นี่ ส่วนจินฟานเองที่ได้รับมรดกไป ก็จะต้องถูกส่งตัวไปรับการฝึกพิเศษ”
จากนั้น เจียงซานมองไปยังพี่น้องทั้ง 70 คน และกล่าวขึ้นมา
“ไปกันเถอะ กลับไปยังศูนย์บัญชาการของมหานครตะวันออกกันก่อน”
กลุ่มคนออกเดินทางมุ่งหน้าไปยังสำนักงานใหญ่ใจกลางเมืองจี้หยาง
ซูเย่มาที่นี่เป็นครั้งที่สองแล้ว เขาจึงไม่แปลกใจอะไร
แต่ทว่า
เหล่าพี่น้องทั้ง 70 คนต้องตกตะลึงไปกับสถานที่ตั้งของศูนย์บัญชาการใหญ่
เดินเข้าไปในส่วนลึกของสวนดอกท้อ สู่ตึกสี่เหลี่ยมข้างเต่าเหล็กดำขนาดใหญ่
ที่แห่งนี้เองก็เป็นสนามฝึกขนาดกว้าง
“ผู้บัญชาการจากอีกห้าเขตเองก็กำลังจะมาถึง”
เจียงซานมองทั้ง 70 คนเบื้องหน้าเขาด้วยสายตาเศร้าหมอง ทว่าเบื้องบนออกคำสั่งมาแล้ว เขาทำได้เพียงปฏิบัติตามคำสั่งเท่านั้น
“ฉันจะอธิบายให้พวกเธอฟังก่อนที่พวกผู้บัญชาการจะมาถึง”
“นอกจากจินฟาน ทุกคนจะต้องถูกส่งไปประจำเขตอื่นในฐานะ ‘นักศึกษาเกณฑ์’ เป็นเปลือกนอก”
จากนั้นเจียงซานหันไปกล่าวกับซูเย่ “ตามคำสั่งของเบื้องบนแล้ว ทั้ง 70 คนจะถูกแบ่งเป็นเขตละ 12 คน เหลือเพียง 10 คนสำหรับมหานครตะวันออก เนื่องจากมีเธออยู่ ทำให้พวกเขาตัดสิน นว่าเธอมีน้ำหนักมากกว่า”
เมื่อได้ยินประกาศนี้
ทำให้ยากที่จะมองหน้าของเหล่าพี่น้องพรรคถูโช่วจย้าเทียน
พวกเขาต้องแยกจากกันเหรอ?
“ท่านผู้บัญชาการครับ!”
จินฟานลุกยืนขึ้นในทันใด พร้อมเอ่ยถาม “ผมอยากทราบว่า ถ้าจะไปฝึกพิเศษที่ศูนย์บัญชาการ ผมต้องลาออกจากมหาวิทยาลัยไหมครับ?”
“ใช่แล้ว!” เจียงซานพยักหน้า
จินฟานกล่าวสวนออกมาในทันทีว่า “ถ้าเช่นนั้นผมขอปฏิเสธโอกาสที่จะได้ไปฝึกพิเศษนี้ครับ ผมขอแค่ได้ติดตามซูเย่”
“พวกผมก็จะไม่ไปครับ!”
“พวกเราต้องการที่จะติดตามลูกพี่ซูตลอดไป”
“เราจะไปที่ไหนก็ได้ที่เราต้องการ นี่คือสิทธิเสรีภาพของเรา ท่านบอกผู้บัญชาการท่านอื่นได้เลยครับว่าไม่ต้องเสียเวลา พวกเราจะติดตามเพียงลูกพี่ซู!”
เสียงของเหล่าพี่น้องพรรคถูโช่วจย้าเทียนดังขึ้นคนแล้วคนเล่า
ความประหลาดใจปรากฏขึ้นในสายตาของเจียงซาน
เขามองดูกลุ่มคนตรงหน้าอย่างไม่เชื่อตัวเอง
ซูเย่สามารถดึงดูดและสร้างความเป็นหนึ่งให้พวกเขาได้ขนาดนี้เชียวหรือ?”
พวกเขายอมละทิ้งโอกาสในการฝึกฝน เพื่อติดตามซูเย่เพียงอย่างเดียว?
เจียงซานกล่าวออกมาด้วยใบหน้าถมึงทึง “นี่เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตนะ ลองไตร่ตรองให้ดีก่อน”
“ผมไม่สนหรอก ขอแค่ได้ติดตามลูกพี่ซู”
“ใช่แล้ว การได้ติดตามลูกพี่ซูก็เป็นโอกาสเพียงครั้งเดียวในชีวิตเหมือนกัน”
“มีเพียงลูกพี่ซูเท่านั้น คนอื่นสั่งผมไม่ได้หรอก”
เหล่าพี่น้องยังคงหนักแน่น
“ผู้บัญชาการเจียง ขอผมคุยกับพวกเขาตามลำพังหน่อยนะครับ” ซูเย่เอ่ยขอออกมา
“ได้” เจียงซานพยักหน้าตอบรับ “ฉันจะให้พื้นที่ส่วนตัวพวกเธอก่อน”
กล่าวจบ เขาหันหลังและเดินจากไป
ซูเย่หันไปมองเหล่าพี่น้อง
“ไม่ต้องมาเกลี้ยกล่อมหรือโน้มน้าวอะไร เพราะต่อให้ทำ ฉันก็จะไม่ไปอยู่ดี!”
ก่อนที่ซูเย่จะทันได้พูด ซูชือก็เอ่ยออกมาก่อน
“ใช่แล้ว พวกเราจะไม่ไปไหน”
“ทุกคนต้องอยู่ด้วยกันสิ ถึงจะเป็นพรรคถูโช่วจย้าเทียน”
“พวกเราเป็นหนึ่งเดียว และจะไม่มีวันแยกจาก”
ทุกคนล้อมและหยุดซูเย่ไว้ด้วยคำพูด
ไม่ให้โอกาสเขาได้แม้แต่จะอ้าปาก!!