เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 307 เหลิ่งรั่วปิงกำลังจะฆ่าคน
พูดถึงเรื่องนี้ เวินอี๋โมโหหนักกว่าเดิม เธอหันไปมองมู่เฉิงซีด้วยความโกรธ “เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของคุณ คุณมันคนฉวยโอกาส”
มู่เฉิงซีรีบพูดเสียงอ่อน “ครับๆๆ คุณคิดพิจารณาก่อนก็ได้ครับ รอให้พวกเราไปจดทะเบียนสมรสด้วยกัน คุณค่อยกลับมานั่งคิด ให้เวลาคุณคิดทั้งชีวิตเลยดีไหม”
ขอแค่เธอเป็นภรรยาของเขา เธออยากจะคิดอะไรยังไงก็แล้วแต่ คิดจนได้อะไรขึ้นมาก็ไม่มีความหมาย เพราะถึงยังไงเธอก็ยังคงเป็นผู้หญิงของเขา
ตอนที่แสงอาทิตย์สาดส่อง เหลิ่งรั่วปิงค่อยๆ ตื่นนอน พอเธอลืมตาขึ้นมาก็มองเห็นใบหน้าพระเจ้าประทานของหนานกงเยี่ยนอนอยู่ข้างๆ มือหนาของเขาโอบเอวของเธอเอาไว้ ถึงแม้เขาจะนอนหลับไปแล้ว แต่ใบหน้าของเขายังแสดงความรู้สึกผิด คิ้วดกดำขมวดเป็นปม
เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกสงสารเขาอีกครั้ง เกือบจะทำความผิดครั้งใหญ่ เขารู้สึกผิดต่อเธอ บวกกับความสัมพันธ์ของพ่อลูกที่ห่างเหิน ทำให้เขาเครียดและเจ็บปวดอย่างมาก หนานกงเยี่ยขาดความอบอุ่นตั้งแต่เด็ก เธอควรจะรักเขา เข้าใจเขา เปิดใจให้เขา
เมื่อคิดได้แบบนี้ ใบหน้าของเหลิ่งรั่วปิงแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยนและสวยงาม มือเรียวยาวของเธอลูบคิ้วดกดำของเขา อยากจะทำให้คิ้วที่ขมวดเป็นปมนั้นคลายออก แต่เพียงแค่เธอสัมผัสคิ้วของหนานกงเยี่ย เขาก็ตื่นแล้ว
หนานกงเยี่ยยิ้มด้วยความเหนื่อยล้า “ตื่นแล้วเหรอครับ”
“ค่ะ” เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า “ยังเสียใจอยู่เหรอคะ”
หนานกงเยี่ยคลายยิ้มบางๆ “นิดหน่อยครับ แต่ว่าที่ผมเสียใจไม่ได้เป็นเพราะเฉินลู่เหยา คุณอย่าหึงผมนะ” แน่นอนว่าเขาไม่ได้เสียใจเพราะเฉินลู่เหยา แต่ที่เขาเสียใจเพราะพ่อบังเกิดเกล้า เขาไม่เคยร้องขอความอบอุ่นจากผู้เป็นพ่อ แต่เขาก็ไม่อยากให้ผู้เป็นพ่อทำร้ายเขา
เหลิ่งรั่วปิงเงียบ เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้น เธอเองก็ทำอะไรไม่ได้
เงียบอยู่หลายวินาที หนานกงเยี่ยพูดขึ้นอีกครั้ง “วันนี้ผมส่งคนไปรับหลานซีมาอยู่ที่บ้านของเรา ให้เธอพักอยู่ที่นี่สองสามวัน คุณคอยอยู่พูดคุยเป็นเพื่อนเล่นเธอนะครับ”
เหลิ่งรั่วปิงเงยหน้าขึ้นมองด้วยความแปลกใจ “แล้วก่วนอวี้ละคะ?”
หนานกงเยี่ยถอนหายใจเล็กน้อย “ผมส่งก่วนอวี้ไปเกาะส่วนตัวตระกูลหนานกงที่มหาสมุทรทางตอนใต้ เพื่อไปควบคุมคุณพ่อ อาจจะต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะกลับมา”
เหลิ่งรั่วปิงเงียบไปพักหนึ่ง ริมฝีปากคู่สวยเอ่ยขึ้น “ค่ะ”
ผู้หญิงที่ฉลาดอย่างเหลิ่งรั่วปิง แค่เสี้ยววินาทีก็เข้าใจทุกอย่าง การไปของก่วนอวี้ในครั้งนี้ มีโอกาสรอดกลับมาน้อยมาก ไม่แปลกที่หนานกงเยี่ยดูเศร้าแบบนี้ ที่แท้ก็เป็นเพราะพวกเขาพ่อลูกเดินมาถึงขั้นนี้แล้ว
ทั้งสองเปลี่ยนเสื้อผ้า เดินลงไปชั้นล่างเพื่อเตรียมกินอาหารเช้า แต่กลับเห็นถังเฮ่า หลินมั่นหรู อวี้ไป่หัน ไซหย่าเซวียน มู่เฉิงซีและเวินอี๋ นั่งกันอย่างพร้อมหน้าพร้อมตาบนโซฟาในห้องนั่งเล่น พวกเขากำลังพูดคุยกันอย่างออกรส
เมื่อเห็นหนานกงเยี่ยพยุงเหลิ่งรั่วปิงลงมาชั้นล่าง อวี้ไป่หันพูดหยอกล้อ รอยยิ้มของเขาร้ายกาจ “ว้าวๆๆ หนานกง ตอนนี้แกยิ่งอยู่ก็ยิ่งควบคุมภรรยาตัวเองได้แล้ว เหลิ่งรั่วปิงที่เคยหยิ่งทะนง มาวันนี้กลับยอมให้แกไปลักกินขโมยกินของข้างนอกได้อย่างนั้นเหรอ”
พวกเขาทุกคน เป็นกังวลเกี่ยวกับเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนมาโดยตลอด กลัวว่าจะเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นระหว่างหนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิง ดังนั้นจึงมาที่วิลล่าหย่าเก๋อแต่เช้า อยากจะมาช่วยเกลี้ยกล่อมให้ทั้งสองคืนดีกัน แต่ใครจะไปรู้พอมาถึงพ่อบ้านบอกว่าทั้งสองรักกันดี พวกเขาจึงพากันงงงวยไปหมด
มู่เฉิงซีทำคดีมามากมายนับไม่ถ้วน เขาวิเคราะห์สถานการณ์เก่งที่สุด หลังจากฟังเรื่องที่เกิดขึ้นคร่าวๆ เขาก็เข้าใจต้นสายปลายเหตุของเรื่องทั้งหมดทันที จากนั้นทุกคนจึงกระจ่างชัด ดูท่าเมื่อวานซย่าอี่มั่วต้องการล่อให้มู่เฉิงซีออกไป เพื่อไม่ให้อ่านเกมออกได้ง่ายๆ
หนานกงเยี่ยเกลียดคำพูดของอวี้ไป่หันอย่างมาก ด้วยเหตุนี้เขาจึงมองค้อนไปที่อวี้ไป่หันด้วยแววตาเย็นเยียบ ทำเอาอวี้ไป่หันไม่กล้าพูดอะไรอีก
สีหน้าของเหลิ่งรั่วปิงไม่ได้เปลี่ยนไปจากเดิมเท่าไหร่ เธอมองดูทุกคนด้วยแววตานิ่งเฉย สุดท้ายสายตาของเธอจับจ้องไปที่เวินอี๋ เมื่อเห็นเวินอี๋นั่งตัวติดกับมู่เฉิงซี ใช้หัวแม่เท้าคิดก็รู้ว่าเมื่อคืนเกิดเรื่องอะไรขึ้น เหลิ่งรั่วปิงขมวดคิ้วเป็นปม แต่เธอยังไม่ทันได้เอ่ยปากพูด มู่เฉิงซีก็ชิงพูดก่อน “รั่วปิง คุณคิดจะจัดการเฉินลู่เหยายังไง”
มู่เฉิงซีที่เคยชินกับความเลือดเย็น ใช้ความรุนแรงจัดการปัญหา เวลานี้เรียนรู้ที่จะเปลี่ยนเรื่องด้วยความชาญฉลาด เขาไม่อยากถูกเหลิ่งรั่วปิงสาดคำพูดเย็นชามาให้ตน ทั้งที่เพิ่งทำให้เวินอี๋ยอมใจอ่อน
เหลิ่งรั่วปิงจับจ้องไปที่เวินอี๋ ไม่ได้พูดอะไรอีก เธอเข้าใจ สุดท้ายเส้นทางทุกอย่างล้วนขึ้นอยู่กับเวินอี๋จะเลือกเดิน เช่นเดียวกับในอดีตที่เหลิ่งรั่วปิงห้ามไม่ให้เวินอี๋คบกับมู่เฉิงซีไม่ได้ ตอนนี้เธอก็ห้ามไม่ให้เวินอี๋คืนดีกับมู่เฉิงซีไม่ได้เช่นกัน ความรักมีทั้งเรื่องสุขและทุกข์ เป็นทั้งความเจ็บปวดและปลอบประโลมหัวใจ ต้องสัมผัสมันด้วยตนเองจึงจะเข้าใจ การจะตัดใจหรือยืนหยัดในความรักนั้น ทั้งหมดขึ้นอยู่กับตนเอง
เหลิ่งรั่วปิงเหยียดตัวลงนั่งบนโซฟาด้วยความสง่างาม หนานกงเยี่ยยื่นนมอุ่นๆ ให้เธอ “ดื่มนมก่อนนะครับ เดี๋ยวผมไปตักบะหมี่มาให้”
พูดจบ ภายใต้สายตาเย้ยหยันของทุกคน ผู้ชายที่คนในสังคมยกย่องให้เป็นเทพบุตรมาจุติก็หมุนตัวหันหลังเดินไปทางห้องครัว
มู่เฉิงซีพูดเอาใจเหลิ่งรั่วปิงต่ออีก “รั่วปิง ตอนนี้มีหลักฐานชัดเจนแล้ว ถ้าคุณต้องการ ผมส่งคนไปจับเฉินลู่เหยาตอนนี้เลยก็ได้ เอาตัวเธอไปสอบปากคำที่สถานีตำรวจ จับขังคุกก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร”
เหลิ่งรั่วปิงดื่มนมจนหมดแก้วด้วยความสง่างาม เธอหยิบกระดาษทิชชู่บนโต๊ะขึ้นมาเช็ดปาก จนกระทั่งวางแก้วลง จึงหันไปยิ้มให้อวี้ไป่หัน “ไป่หัน ฉันมีเรื่องอยากจะให้คุณช่วย” เสียงของเธอไพเราะราวกับเสียงร้องของนกในหุบเขา
อวี้ไป่หันตกใจเล็กน้อย รีบรับปากทันที “คุณพูดมาเลย ต่อให้เป็นหมื่นๆ เรื่องผมก็พร้อมจะช่วยคุณจัดการ”
รอยยิ้มของเหลิ่งรั่วปิงสวยราวกับดอกไม้ ใครจะไปคาดคิดว่าเธอกำลังวางแผนการร้ายกาจที่คลุ้งไปด้วยกลิ่นคาวเลือด “ฉันนอนอยู่บ้านทุกวัน จนแทบจะเป็นบ้าแล้ว อยากจะหาอะไรสนุกๆ ทำ รบกวนคุณช่วยจัดงานเลี้ยงเต้นรำสุดหรูให้ฉันที จัดที่โรงแรมอิมพีเรียลนี่แหละค่ะ”
งานเลี้ยงเต้นรำสุดหรู?
ทุกคนมองไปที่เหลิ่งรั่วปิงด้วยความไม่เข้าใจ งานเลี้ยงเต้นรำสุดหรู ซึ่งก็หมายความว่าคนชั้นสูงและดาราชื่อดังในเมืองหลงต้องมาร่วมงาน เหลิ่งรั่วปิงไม่ใช่คนที่ชอบงานครื้นเครงแบบนี้มาก่อน
เหลิ่งรั่วปิงเพิกเฉยต่อสายตาของทุกคน เธอยิ้มแล้วมองไปที่อวี้ไป่หัน “ทำไมเหรอคะ มันยากเหรอ”
อวี้ไป่หันดึงสติกลับมาอย่างรวดเร็ว เขาส่ายหน้าไปมา “ไม่ครับๆ จัดงานเต้นรำเป็นเรื่องที่ผมถนัดอยู่แล้ว แต่ว่า ผมแปลกใจนิดหน่อย คุณชอบงานแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่”
เหลิ่งรั่วปิงโน้มตัวลงพิงโซฟาด้วยความเกียจคร้าน “อย่างที่บอกไป ชีวิตมันน่าเบื่อ อีกอย่าง ฉันแต่งงานกับคุณหนานกงเยี่ยแล้ว ฉันถือเป็นตัวแทนของตระกูลอันดับหนึ่งในเมืองหลง แน่นอนว่าต้องเรียนรู้ที่จะทำให้ตัวเองดูสง่าและสูงศักดิ์มากขึ้นไม่ใช่เหรอคะ”
“ฮ่าๆๆ…” อวี้ไป่หันยิ้มด้วยความประหม่า “รั่วปิง คุณอย่าพูดเรื่องนี้กับผมเลย พวกเรารู้ไส้รู้พุงกันดี ผมกลัวแค่ว่าคุณเอาเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้าง แล้วทำงานเต้นรำให้กลายเป็นสมรภูมิรบ” อวี้ไป่หันยิ้มพร้อมกับส่ายหน้าไปมา “ผมอยากรู้จริงๆ ว่าคุณมีแผนการอะไร”
เหลิ่งรั่วปิงเงยหน้าขึ้นด้วยความเกียจคร้าน พูดด้วยเสียงเอื่อยๆ “ถึงเวลาคุณก็รู้เองไม่ใช่เหรอคะ”
“อื้ม” อวี้ไป่หันยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ผมแทบจะอดใจรอไม่ไหวแล้ว สามวัน ให้เวลาผมสามวัน ผมจะจัดงานเลี้ยงเต้นรำที่ยิ่งใหญ่ให้คุณแน่นอน ทั้งยังรับประกันว่าจะมีชนชั้นสูงของเมืองหลงและดาราชื่อดังมาร่วมงานอย่างคับคั่ง”
เหลิ่งรั่วปิงยิ้มจนตาหยี “ขอสำนักข่าวใหญ่ๆ ด้วยนะคะ”
“เอ๋?” อวี้ไป่หันตะลึงเล็กน้อย ตามด้วยรอยยิ้มมีเลศนัยที่ยากจะคาดเดา “ดูท่าแผนการในครั้งนี้คงจะจัดหนักจัดเต็มมาก”
เวลานี้ หนานกงเยี่ยเดินถือบะหมี่เข้ามา เขาวางไว้ตรงหน้าเหลิ่งรั่วปิง ยื่นตะเกียบให้เธอด้วยความใส่ใจ “กินตอนร้อนๆ นะครับ”
อวี้ไป่หันมองไปทางหนานกงเยี่ย “หนานกง ภรรยาของแกจะฆ่าคนแล้ว แกไม่สนใจหน่อยเหรอ”
หนานกงเยี่ยยิ้มบางๆ “ต่อให้ฟ้าถล่มลงมาฉันก็จะแบกรับเอาไว้เอง”
“ชิๆๆ…” อวี้ไป่หันส่ายหน้า “ดูท่าว่า สงครามระหว่างเมียหลวงกับเมียน้อยในครั้งนี้ของตระกูลหนานกง เมียหลวงต้องเอาชนะเมียน้อยได้แน่นอนใช่ไหม แต่แกยังไม่ทันได้ทำอะไรก็ต้องกลับมาตัวเปล่าแบบนี้ ไม่เสียเปรียบเหรอ…เฮ้ย!”
อวี้ไป่หันยังไม่ทันพูดจบ แก้วน้ำในมือหนานกงเยี่ยก็ลอยไปตรงหน้าอวี้ไป่หันแล้ว โชคดีที่เขาหลบทัน สุดท้ายแก้วจึงโดนที่คอของเขาแทน
อวี้ไป่หันจับแก้วน้ำเอาไว้ มองไปที่หนานกงเยี่ยพร้อมกับกัดฟันกรอด “หนานกง ตอนนี้ล้อเล่นนิดหน่อยไม่ได้แล้วเหรอวะ”
หนานกงเยี่ยโมโห ตอนแรกที่เขาทำพลาดไปเป็นเพราะความประมาท ตอนนี้ยังถูกอวี้ไป่หันเอามาล้อเล่นอีก เขาก็ยิ่งรู้สึกผิดมากกว่าเดิม ดังนั้น แววตาของเขาที่มองไปทางอวี้ไป่หันจึงเย็นยะเยือกราวกับก้อนน้ำแข็ง อยากจะทำให้เขาเสียโฉมซะ
อวี้ไป่หันเป็นคนหน้าด้านหน้าทน เขายักไหล่ แล้วยิ้มเหมือนไม่ใส่ใจ โน้มตัวพิงโซฟา ไซ่หย่าเซวียนปรายตามองเขา “ไม่ได้เจอกันหลายเดือน คุณยังเป็นคนที่ชอบทำตัวให้คนอื่นรังเกียจ เป็นอีกาปากพล่อยเหมือนเดิม!”
อวี้ไป่หันมองไปทางไซ่หย่าเซวียนด้วยความเศร้า เงยหน้าขึ้นฟ้าแล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ ในสายตาของผู้หญิงคนนี้ เขาดูไม่มีข้อดีอะไรเลย เธอรู้ได้ยังไงว่าเขาเป็นคนนิสัยแบบนี้ สไตล์การคบหาเพื่อนที่รู้จักกันมาเป็นยี่สิบปีก็เป็นแบบนี้ ช่างเถอะ เขาเองก็ขี้เกียจจะอธิบาย ถึงยังไงไม่ว่าเขาจะทำอะไรมันก็ขัดหูขัดตาเธอไปหมด ก็แค่จูบเธออีกครั้ง ถึงขั้นต้องทำตัวงี่เง่าไม่หยุดหย่อนแบบนี้ด้วยเหรอ
เห็นหนานกงเยี่ยและเหลิ่งรั่วปิงไม่ได้เป็นอะไร ทุกคนก็สบายใจ หลังจากเหลิ่งรั่วปิงกินอาหารเช้าเสร็จ ทุกคนก็แยกย้ายกันกลับ ตอนแรกเวินอี๋ไม่อยากกลับ แต่เธอทำอะไรกับความดื้อด้านของมู่เฉิงซีไม่ได้ สุดท้ายจึงจำต้องกลับไปกับเขา
นั่งอยู่บนรถ เวินอี๋เบ้ปากด้วยความโมโห มู่เฉิงซีมองไปที่เธอด้วยความขบขัน “ทำไมต้องทำหน้าแบบนี้ด้วยครับ เหมือนว่าผมฉุดคุณมายังไงอย่างนั้น”
เวินอี๋โมโห “แล้วฉันสมัครใจมากับคุณหรือไงคะ”
“ฮ่าๆๆ…” มู่เฉิงซีหัวเราะ “ตอนเช้าเพิ่งมีความสุขด้วยกันแท้ๆ เราทำเรื่องที่แนบชิดกันแบบนั้นแล้ว ตอนนี้คุณยังจะมาคิดเล็กคิดน้อยถือสาผมอีก กระมิดกระเมี้ยนเกินไปแล้ว”
“คุณ!” เวินอี๋ยื่นมือไปฟาดมู่เฉิงซีด้วยความโมโห เสียงหัวเราะของมู่เฉิงซีดังยิ่งกว่าเดิม “ครับๆ อย่าตีผมเลย ผมขับรถอยู่”
เวินอี๋เม้มกัดฟัน แล้วถอนมือกลับ จากนั้นหันหน้าไปมองนอกหน้าต่าง ไม่มองหน้ามู่เฉิงซีอีก
มู่เฉิงซีชำเลืองมองคนตัวเล็กครู่หนึ่ง “ไม่เจอกันแค่เดือนกว่า คุณเปลี่ยนไปเยอะเลย ยิ่งอยู่ก็ยิ่งโมโหเก่ง อะไรนิดอะไรหน่อยก็ตีผม ยิ่งอยู่คุณก็ยิ่งเหมือนยัยบ้าเหลิ่งรั่วปิง”
เวินอี๋หันกลับมาด้วยความขุ่นเคือง จะว่าอะไรใครก็ได้ แต่ห้ามพูดถึงพี่รั่วปิงของเธอแบบนี้!
มู่เฉิงซียอมแพ้อีกครั้ง “ครับๆๆ ผมผิดไปแล้ว ผมไม่พูดแล้วครับ”
เวินอี๋ถอนสายตากลับด้วยความหงุดหงิด ยังไม่ทันได้ทำอะไร จู่ๆ เธอก็รู้สึกคลื่นไส้ขึ้นมา ความรู้สึกคลื่นไส้นี้ รุนแรงอย่างมาก จนเธอควบคุมตนเองไม่ได้