เดิมพันเสน่หา - ตอนที่ 309 อันตรายคืบคลานเข้ามาใกล้
พ่อบ้านและสาวใช้ในวิลล่ามู่หวาเห็นมู่เฉิงซีพาเวินอี๋กลับมา พวกเขาพากันดีใจ ไม่ว่าใครก็ดูออก ตลอดระยะเวลาที่เวินอี๋ไม่อยู่ มู่เฉิงซีทุกข์ทรมานแค่ไหน เวินอี๋กลับมาแล้ว เท่ากับว่าเจ้านายของพวกเขาก็จะกลับมามีความสุขอีกครั้ง
เมื่อเข้าไปในห้องนั่งเล่น พ่อบ้านก็เดินมาทักทายด้วยรอยยิ้ม “คุณชายมู่ คุณเวิน”
มู่เฉิงซียิ้มด้วยความสดใส “นับตั้งแต่วันนี้เรียกเวินอี๋ว่าคุณผู้หญิง”
“?” พ่อบ้านเงยหน้าขึ้นมาทันที มองดูแก้มแดงระเรื่อของเวินอี๋ด้วยความไม่เข้าใจ
มู่เฉิงซีแสดงสีหน้ารำคาญ ชูสมุดเล่มสีแดงเล็กๆ ในมือให้พ่อบ้านดู “ฉันแต่งงานแล้ว ภรรยาของฉันคือเวินอี๋”
“?” พ่อบ้านยังคงทำตัวไม่ถูก คุณผู้หญิงมู่คือซย่าอี่มั่วไม่ใช่เหรอ แต่เขาก็ไม่กล้าถามอะไร ยิ้มแล้วโค้งตัวทำความเคารพเวินอี๋ “คุณผู้หญิง”
เวินอี๋ก้มหน้าลง แก้มของเธอแดงก่ำยิ่งกว่าเดิม เธอรู้สึกว่าวันนี้มู่เฉิงซีขี้อวดเกินไปแล้ว
มู่เฉิงซีไม่สนใจความเขินอายของเวินอี๋ จับมือเธอแล้วพาขึ้นไปชั้นบน บอกกับพ่อบ้านด้วยน้ำเสียงมีความสุข “คุณผู้หญิงท้องแล้ว บอกให้พ่อครัวเตรียมอาหารสำหรับคนท้องด้วย”
พ่อบ้านที่เพิ่งตกใจไปเมื่อครู่ เวลานี้มองไปยังแผ่นหลังของมู่เฉิงซีด้วยความดีใจและตกใจ พูดเสียงดังหนักแน่น “ครับ คุณชายมู่”
หลังจากเหลิ่งรั่วปิงกินอาหารเช้าเสร็จไม่นาน อวี้หลานซีก็มาถึงวิลล่าหย่าเก๋อ สีหน้าของเธอเต็มไปด้วยความกังวล
หนานกงเยี่ยมองไปที่อวี้หลานซี รู้สึกปวดใจเล็กน้อย แต่เขาก็ทำอะไรไม่ได้ ภารกิจนี้จำเป็นต้องให้ก่วนอวี้ทำ คนอื่นไม่มีวันทำภารกิจนี้สำเร็จ “หลานซี ไม่ต้องกังวลนะ ผมไม่ได้ส่งก่วนอวี้ไปตาย ไม่ว่าภารกิจในครั้งนี้จะสำเร็จหรือไม่ เขาก็ต้องกลับมาอย่างปลอดภัย”
อวี้หลานซีพยักหน้า ไม่ได้โอดครวญแต่อย่างใด สามีของเธอเป็นคนของตระกูลหนานกง มีหน้าที่ต้องถวายชีวิตให้กับตระกูลหนานกง เธอไม่มีอะไรจะพูด แต่เธอเชื่อในความรู้สึกที่หนานกงเยี่ยมีต่อก่วนอวี้ เธอรู้ดี ไม่ว่าเมื่อไหร่ หนานกงเยี่ยก็เห็นชีวิตของก่วนอวี้สำคัญเป็นอันดับหนึ่ง ทว่าจะไม่ให้เธอเป็นห่วงสามีของตนเองได้ยังไง
เกาะส่วนตัวของตระกูลหนานกงที่อยู่ทางมหาสมุทรตอนใต้ อวี้หลานซีเคยไปหนึ่งครั้ง ที่นั่นอันตรายแค่ไหน เธอรู้ดี ไม่ต้องพูดถึงกับดักต่างๆ ที่ซ่อนเอาไว้ และไม่ต้องพูดถึงอาวุธต่างๆ ที่เตรียมพร้อมตลอดเวลา แค่โขดหินต่างๆ และงูพิษที่อยู่ในป่า ก็เพียงพอที่จะทำให้คนที่บุกรุกเข้าไปกลับออกมาไม่ได้แล้ว
ตระกูลหนานกงอยู่บนเกาะนั้นมานานกว่าสี่ร้อยปี บั้นปลายชีวิตของบรรพบุรุษตระกูลหนานกงล้วนอยู่ที่นั่น เกาะแห่งนั้นลึกลับและคงอยู่มาอย่างยาวนาน เป็นฐานทัพลับสุดยอดของตระกูลหนานกง ตลอดสี่ร้อยปีที่ผ่านมา โลกของเรามีการเปลี่ยนแปลงมากมาย แต่ไม่มีใครกล้าบุกเข้าไปบนเกาะส่วนตัวของตระกูลหนานกง เพราะเมื่อไหร่ที่เข้าไปแล้วก็ยากี่จะมีชีวิตรอดกลับมา
แน่นอน หนานกงเยี่ยมั่นใจมากในการส่งก่วนอวี้ไปที่นั่น ก่วนอวี้รู้จักเกาะนั่นเป็นอย่างดี ทั้งยังให้เขาเอาสุดยอดอาวุธเข้าไปในเกาะอีกด้วย ไปถึงบนเกาะก็ใช่ว่าจะต้องสู้กันจนตายไปข้างหนึ่ง เพราะถึงอย่างไรก็เป็นพวกพ้องเดียวกัน ย่อมดีกว่าสู้กับศัตรูอยู่แล้ว
เหลิ่งรั่วปิงไม่รู้ตื้นลึกหนาบางเรื่องของตระกูลหนานกง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้พูดอะไร แต่เธอเข้าใจความรู้สึกของผู้หญิง ด้วยเหตุนี้จึงจับมืออวี้หลานซี “หลานซี ก่วนอวี้เป็นคนฉลาด ร่วมเป็นร่วมตายกับคุณหนานกงเยี่ยมามากมาย ไม่ว่าจะสถานการณ์ไหน เขาต้องเอาตัวรอดได้แน่นอน ก่วนอวี้ออกเดินทางเมื่อคืน ช้าสุดเที่ยงวันนี้ก็ถึงมหาสมุทรทางตอนใต้แล้ว อีกไม่นานพวกเราก็จะได้ข่าวของก่วนอวี้ เธออดทนรอหน่อยนะ”
อวี้หลานซีเป็นผู้หญิงฉลาด มีความเป็นสุภาพสตรี ทั้งยังรู้มารยาท เธอยิ้มพร้อมกับพยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้ว”
หลังพูดคุยกับอวี้หลานซีไปพักหนึ่ง เวินอี๋ก็โทรมาหาเหลิ่งรั่วปิง น้ำเสียงของเวินอี๋มีความสุขเล็กน้อย ทั้งยังมีความกลัวปะปนอยู่ด้วย “พี่รั่วปิง ฉัน…ฉันจดทะเบียนสมรสแล้วค่ะ” เธอกลัวเหลิ่งรั่วปิงตำหนิว่าตนไม่มีความหนักแน่น สุดท้ายก็ยอมใจอ่อนให้มู่เฉิงซีอีกครั้ง
เป็นไปตามคาด เหลิ่งรั่วปิงลุกขึ้นยืนด้วยความโมโห “เวินอี๋ ถึงแม้เธอจะยอมให้อภัยมู่เฉิงซี แต่ก็ไม่ถึงขั้นต้องรีบจดทะเบียนสมรสเร็วแบบนี้ ต้องคิดสักหน่อยก่อนรึเปล่าฮะ”
เวินอี๋เหมือนเด็กน้อยที่ทำความผิด “พี่รั่วปิง อันที่จริงฉัน…ฉันอยากจะคิดทบทวนอยู่ค่ะ แต่ว่า…” เธอไม่อยากบอกว่าตนเองถูกมู่เฉิงซีหลอกไปที่ว่าการอำเภอ “ฉัน…ฉันท้องแล้วค่ะ”
“?” ความรู้สึกของเหลิ่งรั่วปิงในตอนนี้ก็คือ ลูกสาวของตนเองถูกผู้ชายนิสัยไม่ดีหลอกลวงไป แต่งงานกันเพราะลูกในท้อง เวินอี๋เป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างมาก เหลิ่งรั่วปิงกัดฟันกรอด “ไปตามมู่เฉิงซีมารับโทรศัพท์!”
เวินอี๋ไม่กล้าเถียง รีบยื่นโทรศัพท์ไปให้มู่เฉิงซี มู่เฉิงซียังคงมีความสุขที่ได้จดทะเบียนสมรสกับเวินอี๋ รับสายอย่างอารมณ์ดี “รั่วปิง”
ทว่าน้ำเสียงของเหลิ่งรั่วปิงกลับเต็มไปด้วยความไม่พอใจ “มู่เฉิงซี คุณมันสารเลว!”
มู่เฉิงซีรู้สึกเหมือนแก้วหูจะแตก เขาขมวดคิ้วเป็นปม ไม่รู้ว่าผู้หญิงคนนี้กำลังคิดอะไร พวกเขาแต่งงานและมีลูกด้วยกันเป็นเรื่องที่ดีไม่ใช่เหรอ ทำไมต้องโมโหแบบนี้ด้วย “เป็นอะไรไป เหลิ่งรั่วปิง คุณทำแบบนี้หมายความว่ายังไง”
เสียงเย็นยะเยือกของเหลิ่งรั่วปิงเหมือนดาบที่ฟันทะลุโทรศัพท์ “มู่เฉิงซี ฉันขอบอกคุณนะ เวินอี๋ของฉันเป็นผู้หญิงใสซื่อ แต่กลับถูกคนอย่างคุณหลอกไป อีกทั้งตอนนี้ยังท้องอีก จนถึงขั้นต้องแต่งงานจดทะเบียนสมรส วันข้างหน้าถ้าคุณกล้ารังแกเธออีก ฉันไม่ปล่อยคุณไว้แน่”
ไม่ว่าจะฟังยังไงประโยคนี้ก็เหมือนแม่ภรรยาด่าลูกเขยที่ไม่เอาไหน มู่เฉิงซีหัวเราะด้วยความเข้าใจเหลิ่งรั่วปิง “ครับๆๆ คุณพี่สาวของภรรยา ผมจะดูแลเวินอี๋ให้ดี คุณวางใจเถอะนะครับ ผมจะรักและทะนุถนอมเธอเป็นอย่างดี”
ในที่สุดเหลิ่งรั่วปิงก็รู้สึกสบายใจขึ้นมาเล็กน้อย เธอบอกให้มู่เฉิงซีเอาโทรศัพท์ให้เวินอี๋ จากนั้นก็ถามเวินอี๋ถึงเรื่องที่เกิดขึ้นด้วยความเป็นห่วง “เวินอี๋ ท้องกี่เดือนแล้ว”
“สามเดือนค่ะ”
“ถ้าอย่างนั้นก็พอๆ กับพี่ แล้วท้องกี่คนละ”
“หนึ่งคนค่ะ”
เหลิ่งรั่วปิงรู้สึกดีใจขึ้นมากะทันหัน “อื้ม แบบนี้ก็ดี ถึงเวลาพวกเราจะได้จับคู่ให้ลูก”
“ดีค่ะๆ พี่รั่วปิง”
ผู้หญิงทั้งสองพูดคุยกันอย่างมีความสุข แต่หนานกงเยี่ยที่นั่งอยู่ข้างเหลิ่งรั่วปิงกลับมีสีหน้าเคร่งขรึม เขาพูดบ่นในใจ เขาจะยอมให้ลูกสาวของตนเองแต่งงานกับลูกชายของมู่เฉิงซีได้ยังไง คนที่ขี้โมโห เหี้ยมโหด ไร้รสนิยมแบบนั้น ต้องมีกรรมพันธุ์ที่ไม่ดีแน่นอน
แน่นอนว่าเขาไม่กล้าพูดออกมา เพราะเหลิ่งรั่วปิงต้องโต้กลับว่า คุณรู้ได้ยังไงคะว่าเด็กในท้องเป็นผู้หญิง อีกอย่าง จะว่าใครไม่ดีก็ได้ แต่ห้ามบอกว่าเวินอี๋ไม่ดี และยิ่งดูถูกลูกของเวินอี๋ไม่ได้อีกด้วย
เหลิ่งรั่วปิงวางสาย อวี้หลานซีมองไปที่เธอด้วยแววตาเป็นประกาย “เวินอี๋ก็ท้องแล้วเหรอ”
เหลิ่งรั่วปิงพยักหน้า มองแววตาที่เปี่ยมไปด้วยความคาดหวังของอวี้หลานซีอย่างเข้าอกเข้าใจ “เธอกับก่วนอวี้ยังไม่คิดจะมีลูกเหรอ”
อวี้หลานซีพูดด้วยความลำบากใจเล็กน้อย “กำลังเตรียมมีลูก แต่ว่าเรื่องแบบนี้ใจร้อนไม่ได้” เธออยากจะมีลูกมาก ทุกครั้งที่เห็นเหลิ่งรั่วปิง เธอรู้สึกอิจฉาอย่างยิ่ง
เหลิ่งรั่วปิงยิ้ม “ไม่ต้องใจร้อน เธอกับก่วนอวี้เพิ่งแต่งงานกันไม่นาน พยายามเข้าหน่อย อีกไม่นานก็ต้องมีแน่ๆ”
หนานกงเยี่ยยิ้มปลอบโยน “เดี๋ยวรอให้ก่วนอวี้กลับมา ผมจะให้เขาหยุดงานยาวๆ คุณท้องเมื่อไหร่ผมค่อยให้กลับมาทำงาน”
อวี้หลานซีพยักหน้าอย่างเขินอาย ยิ้มด้วยใบหน้าที่แดงระเรื่อ “เยี่ยคะ ฉันสังเกตว่าตั้งแต่คุณแต่งงานกับรั่วปิง คุณก็เปลี่ยนไปจากเดิม ตอนนี้คุณพูดล้อเล่นเป็นด้วย”
หนานกงเยี่ยในอดีตไม่พูดอะไรง่ายๆ เขาเย็นชา สง่า นิ่งเฉย เป็นคนพูดน้อยมาโดยตลอด แต่ตอนนี้…ความรักและการแต่งงานสามารถเปลี่ยนคนคนหนึ่งได้จริง
หนานกงเยี่ยเลิกคิ้วขึ้น ยิ้มแล้วดึงตัวเหลิ่งรั่วปิงเข้ามากอด “คุณก็เหมือนกัน ตั้งแต่แต่งงานกับก่วนอวี้ ก็ยิ่งไม่เห็นผมอยู่ในสายตา เมื่อก่อนเวลาอยู่ต่อหน้าผมคุณมักจะประหม่ากลัวว่าตัวเองจะทำอะไรผิด แต่ตอนนี้กลับกล้าพูดตรงๆ กับผมแบบนี้”
เรื่องในอดีตเหมือนเป็นเพียงหมอกควันที่จางหายไปแล้ว ดังนั้นอวี้หลานซีจึงไม่ได้รู้สึกประหม่าแต่อย่างใด ในทางกลับกันเธอรู้สึกอบอุ่นอย่างมาก “เมื่อก่อนฉันทำทุกอย่างแทบเป็นแทบตายเพื่อให้ได้รักกับคุณ แต่คุณกลับไม่เห็นค่า โชคดีที่ก่วนอวี้ไม่เคยตัดใจจากฉัน ทำให้ตอนนี้ฉันมีความรักที่สมบูรณ์แบบ”
หนานกงเยี่ยยิ้ม “ไม่ใช่เพียงแค่คุณที่สมหวังในความรักแล้ว พวกเราทั้งสามคนต่างสมหวังในความรัก ไม่มีเรื่องอะไรมาคั่นกลางระหว่างเรา เราอยู่ด้วยกันเหมือนญาติพี่น้อง ต่างคนต่างมีความสุขเป็นของตนเอง”
แน่นอน หนานกงเยี่ยยังพูดไม่จบ ถ้าได้รับความเห็นดีเห็นงามจากพ่อก็คงจะยิ่งมีความสุข ถึงแม้ความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพอจะห่างเหิน แต่อย่างน้อยการได้รับคำอวยพรจากพ่อก็ดีกว่าได้รับความขัดแย้ง เขากลัวจริงๆ ว่าแม่จะนอนตายตาไม่หลับ ถึงแม้พ่อของเขาจะไม่รักแม่ แต่แม่รักพ่อสุดหัวใจ ถึงแม้ชีวิตจะจบลง แต่เธอก็ยังรักเขา
ทั้งสามกินมื้อเที่ยงด้วยกัน ไม่ได้กลับเข้าไปพักผ่อน พวกเขากลับเข้าไปนั่งในห้องนั่งเล่น รอก่วนอวี้ติดต่อกลับมา เพราะเมื่อไหร่ที่ก่วนอวี้ไปถึงเกาะหนานกงก็จะติดต่อกลับมาแน่นอน
ประมาณบ่ายสอง เสียงโทรศัพท์ในห้องนั่งเล่นดังขึ้น คนที่โทรมาคือก่วนอวี้ หนานกงเยี่ยรีบรับสาย “ก่วนอวี้”
เหลิ่งรั่วปิงและอวี้หลานซีนั่งข้างหนานกงเยี่ย เงี่ยหูฟัง
เสียงของก่วนอวี้ มีเสียงคลื่นลมดังปะปนมาด้วย น้ำเสียงของเขาดูเป็นกังวลอย่างเห็นได้ชัด “คุณชายเยี่ยครับ แย่แล้วครับ ตอนที่ผมมาถึงบนเกาะ ผมตรวจสอบดูหนึ่งรอบอย่างรวดเร็ว พบว่านายท่านหนานกงไม่อยู่บนเกาะ ผู้หญิงของนายท่านและลูกนอกสมรสก็ไม่อยู่เหมือนกันครับ คนที่อยู่บนเกาะเป็นคนอื่นที่เล่นละครตบตาเท่านั้น หลังจากสอบถามพวกเขา พบว่านายท่านหนานกงออกไปจากเกาะสามวันแล้วครับ”
“!!!” เรื่องนี้ เหมือนฟ้าผ่าลงมาในตอนที่ท้องฟ้าปลอดโปร่ง สายฟ้าฟาดลงมาในสมองของหนานกงเยี่ยอย่างรวดเร็ว
หนานกงจวิ้นวางแผนทำให้การจับตาดูของเขาเกิดความสับสน ตอนนี้ออกไปจากเกาะหนานกงแล้ว ทั้งยังออกไปถึงสามวันแล้ว สามวันนี้เขาสามารถทำอะไรได้มากมาย ทำเรื่องอันตรายได้หลายเรื่อง!
เงียบอยู่ครู่หนึ่ง หนานกงเยี่ยพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “สืบได้ไหมว่าพ่อหนีไปไหน”
ก่วนอวี้ถอนหายใจ “ไม่ได้ครับ ท่านหนานกงออกไปอย่างลับๆ”
หนานกงเยี่ยนึกถึงเรื่องที่ป้าเฉินบอกกับเขาก่อนตาย หนานกงจวิ้นคิดวางแผนทำการใหญ่ซึ่งส่งผลร้ายต่อตน ดูท่าการที่เขาแอบหนีออกไปจากเกาะอย่างลับๆ ในครั้งนี้ต้องมีการวางแผนมานานแล้ว
หนานกงเยี่ยรู้สึกได้ว่าอันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาใกล้ “ก่วนอวี้ นายรีบกลับเมืองหลง ฉันคิดว่าจะมีเรื่องใหญ่เกิดขึ้นแน่นอน รีบกลับมาช่วยฉันอีกแรงเร็วเข้า”
“ครับ ผมจะรีบเดินทางกลับเดี๋ยวนี้ครับ”
หลังวางสาย หนานกงเยี่ยขมวดคิ้วเป็นปม เขากำลังคิดถึงความเป็นไปได้ต่างๆ ที่จะเกิดขึ้น
อวี้หลานซีถามด้วยความเป็นกังวล “เยี่ย พ่อบุญธรรมหายไปเหรอคะ”