เด็กสาวผู้กลืนกินยมทูต - ตอนที่ 4 พายเนื้อสีแดงสดอร่อยสุด ๆ
ภายในประวัติศาสตร์ของทวีปมุนโดโนโวนั้น คงพูดได้เต็มปากว่าช่วงเวลาที่มีเรื่องราวเล่าขานเกิดขึ้นมากที่สุดนั้นคือยุคสมัยนี้ เริ่มตั้งแต่การบุกโจมตีโดยอสูรในเมืองเขาวงกตอาร์ท การล่มสลายของศาสนจักรดารา การจัดตั้งกองกำลังปลดแอกนครหลวง สงครามภายในอาณาจักร ที่นำพาไปถึงมหาสงคราม
มีวีรชนมากหน้าหลายตาปรากฏขึ้น มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมายเท่าดวงดาวบนท้องฟ้า และจะถูกส่งต่อไปยังรุ่นหลัง
ในเรื่องเหล่านั้น ที่โด่งดังที่สุดในหมู่ประชาชนของอาณาจักรใหม่คือ เจ้าหญิงที่เป็นผู้นำกองกำลังปลดแอก อัลทูร่า・ยูซ・ยูนิคาเฟ
บุคคลที่เข้ามาแทนที่บิดาของตนที่เสียชีวิตไปแล้วหลังถูกเนรเทศจากการที่แพ้ในศึกแย่งชิงอำนาจสืบทอด เธอเป็นคนที่ยืนหยัดขึ้นเพื่อผู้ที่ทุกข์ทนการกดขี่ เป็นผู้ที่ประชาชนรัก ในท้ายที่สุดเธอได้โค่นล้มราคาไร้ความสามารถลง สถาปนาอาณาจักรยูซใหม่ และปกครองในฐานะราชินีองค์แรก ในบันทึกชีวประวัติ คำพูดและการกระทำอันจริงใจของเธอได้คว้าหัวใจของผู้คนไว้ได้มาก
ต่อมาคงจะเป็นอลัน เจ้าชายลำดับที่สองของจักรวรรดิที่ได้กลายเป็นสามีของเธอหลังจบสงคราม มีเรื่องราวกล่าวถึงความรักชายหญิงจากประเทศคู่อาฆาตเกิดขึ้นมามากมาย แม้บางอันจะเกิดจริงไปบ้างก็ตาม เขาได้รับการยกย่องอย่างสูงในฐานะนักรบ และได้แสดงความเป็นเลิศด้านการนำทัพศึกที่เขาเข้าร่วมออกมาอีกด้วย ในประวัติศาสตร์ของอาณาจักรยูซได้บันทึกไว้ว่าเขาได้พยายามต่อรองกับจักรวรรดิบ้านเกิดของเขาอย่างเต็มที่เพื่อช่วยเหลือปรองดองกับองค์ราชินี
บุคคลนอกเหนือจากนี้ได้แก่ฟินน์ ผู้ที่ออกมาจากเมืองเพื่อเดินบนเส้นทางของวีรบุรุษ ดีเนอร์ นักวางกลยุทธ์ที่นำพากองกำลังปลดแอกไปสู่ชัยชนะ และเบห์รูซ พอเอกไร้พ่าย เป็นต้น
ภายใต้ความเจิดจรัสของผู้ชนะ ก็มีประวัติศาสตร์ของผู้แพ้ด้วยเช่นกัน
บุคคลที่ปรากฏขึ้นบ่อย ๆ ในฐานะตัวร้ายก็มีนายพลเก่าชารอคห์ ยัลเดอร์ผู้ไม่ย่อท้อหรือซิดาโม่ผู้ซื่อสัตย์กระมัง นอกจากนี้ก็มีขุนนางชนชั้นสูงดาวิดและนายกรัฐมนตรีฟาร์ซาม
แน่นอนว่าเรื่องราวของพวกเขาถูกบิดเบือนไป ถูกรับหน้าที่เป็นผู้ถูกกองกำลังปลดแอกขยี้
ในบันทึกที่ถูกบิดเบือนเหล่านั้น ยังมีบุคคลที่ถูกวาดเขียนออกมาโดดเด่นอยู่อีกหนึ่ง
―’ยมทูตเชอร่า・ซาด’
ท่ามกลางเหล่าทหารอันอ่อนแอของอาณาจักร ว่ากันว่าเธอเป็นทหารหญิงชั้นสัญญาบัตรที่ทำให้กองกำลังปลดแอกต้องหลั่งเลือดมากที่สุด เธอได้รับสืบทอดนามสกุล ‘ซาด’ มาภายหลัง ไม่รู้ต้นกำเนิดของนางเลยแม้แต่น้อย เป็นตัวตนปริศนาที่ไม่รู่แม้กระทั่งอายุ เธอปรากฏตัวครั้งแรกใน ‘สงครามอัลเชีย’ นี่เป็นสงครามครั้งแรกที่กองทหารแห่งอาณาจักรและกองกำลังปลดแอกนครหลวงต่อสู้กันด้วยทัพขนาดใหญ่
กำลังพลของทัพอาณาจักรมีแปดหมื่นนาย กองกำลังปลดแอกนครหลวงมีเพียงสี่หมื่น
เป็นศึกที่ไม่ว่าผู้นำของอาณาจักรคนไหนก็เชื่อมั่นว่าจะชนะ
ปราสาทย่อยอันติกัว บ้านร้างทางป่าตอนเหนือ
โบลูร์กำลังถูกเด็กสาวที่เด็กพอเป็นลูกสาวของเขาได้กดดันอย่างสมบูรณ์ เขาพยายามแทงอย่างสุดแรงเพื่อจัดการให้จบในครั้งเดียว แต่ก็ถูกปัดออกอย่างง่าย ๆ การโจมตีของเด็กสาวรุนแรงเสียจนหอกเกือบหลุดออกจากมือ โบลูร์ได้เปลี่ยนความคิดที่มีต่อเธอแล้วโจมตีอย่างหนักหน่วงขึ้น
แทง กวาด ฟาด
เขาโจมตีด้วยทุกกระบวนท่าที่มีแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เชอร่าหลบอย่างรวดเร็ว และใช้เคียวรับการโจมตีที่เธอมองว่าไม่สามารถหลบได้ พร้อมกันนั้นก็ยิ้มให้ราวกับว่ากำลังหยอกล้ออยู่
เหมือนกับกำลังรอให้โบลูร์หมดแรงไปก่อน
ผ่านมาหลายนาที หรือเป็นสิบนาทีแล้วกันนะ เหงื่อไหลรินลงจากหน้าผากของเขา ลมหายใจของโบลูร์เริ่มหอบมากขึ้นเรื่อย ๆ
“งั้น คราวนี้ฝั่งนี้ขอลุยบ้างนะ”
“―แฮ่ก แฮ่ก”
“คอยรับให้ดี ๆ นะ เหมือนที่ฉันทำไง”
เชอร่าเริ่มใช้เคียวโจมตีเช่นเดียวกันกับที่โบลูร์โจมตีมาก่อนหน้านี้ ร่างกายใหญ่โตของโบลูร์ไม่สามารถหลบได้ ทำให้ใบมีดของเคียวที่ยื่นออกมาจากด้ามจับปักลงบนเกราะของเขา เกราะเหล็กกล้าที่ปัดป้องได้แม้กระทั่งลูกศรถูกเจาะอย่างง่ายดาย เขาพยายามใช้หอกใหญ่ปัดออก แต่แรงกระแทกจากเคียวนักหนักหนาเกินไป
มันทำมาจากอะไรกันแน่นะ
จะอย่างไรก็ตาม การโจมตีทุกครั้งรุนแรงอย่างมาก มือรู้สึกชาไปหมด เข่าเริ่มอ่อนแรงลง เขาเลือดไหลและกำลังกายกำลังหมดลง
“อุก! แก เป็นใครกันแน่ ไม่ใช่แค่ทหารธรรมดาแน่”
“ชื่อเชอร่าน่ะ”
เชอร่าควงเคียวในมือแล้วตอบคำถามกลับไป
“ถ้าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ต้องกลายเป็นภัยพิบัติต่อกองกำลังปลดแอกในภายหลังแน่นอน เธอต้องถูกฆ่าให้ตายที่นี่เดี๋ยวนี้”
“พยายามเข้านะ”
“แก!”
โบลูร์ก้มต่ำลง ใส่แรงแทงเข้าไปด้วยกำลังทั้งหมดที่มี เร็วมากเสียจนคนที่อยู่รอบ ๆ มองตามไม่ทัน การโจมตีอันสมบูรณ์แบบที่ใส่จิตวิญญาณเข้าไปด้วย
เป็นการแทงที่ยอดเยี่ยม ถึงกระนั้นก็ตาม
“―บะ บ้าน่า”
“เหมือนจะช้าไปหน่อยนึง ถ้างั้นก็ ขอรับหัวนั่นไปเลยนะ”
เป็นการโจมตีสุดตัวที่ตนคิดว่าน่าจะแทงทะลุเธอไปแล้ว
หอกที่ยื่นออกไปเข้าไปถูกเคียวเกี่ยวเอาไว้จนปลายหอกปักลงกับพื้น พริบตาที่เขาส่งเสียงร้องออกมาด้วยความตกใจ ใบมีดเคียวก็คืบคลานเข้าไปหาดั่งอสรพิษ บั่นคอที่โบลูร์ที่ฝึกฝนมาอย่างดีไปอย่างง่ายดาย
“พะ พันเอกโบลูร์―”
“พะ พันเอกโดน…”
เหล่าสมาชิกฝ่ายข่าวกรองต่างก็อึ้งจนพูดไม่ออก ผู้หนีทัพได้แต่ยืนงงต่อภาพเบื้องหน้า
“ถ้ามีหัวหมอนี่น่าจะได้กินของอร่อย ๆ อีกล่ะนะ คุ้มค่าที่อุตส่าห์ตามพวกสุนัขมาจริง ๆ”
เชอร่าหยิบหัวที่มีใบหน้าตื่นตระหนกขึ้นมาอย่างร่าเริง หน่วยข่าวกรองคนหนึ่งได้พยายามหยุดเรื่องบ้าบอนี้
―ในตอนนั้นเอง
“อ้ากกกกกกกกก!!!”
“อย่ามากวนได้มั้ย?”
“ตะ ตาฉัน ตาฉันนนนนน!!!”
เธอขว้างเคียวตัดหญ้าเล็ก ๆ ที่ซ่อนไว้ที่เอวออกไปเข้ากลางหน้าฝ่ายข่าวกรองโดยแทบไม่ได้ขยับตัว ปลายเคียวที่ไม่ค่อยคมนักปักทะลุดวงตาฝ่ายข่าวกรองที่ยังไม่ทันได้ตั้งตัว
หลังจากดิ้นทุรนทุรายด้วยความเจ็บปวด ไม่นานนัก ชายผู้น่าสงสารที่ถูกฟาดเข้าหัวเพราะ ‘น่ารำคาญ’ ก็เงียบไปในที่สุด
สมาชิกฝ่ายข่าวกรองที่เหลือเริ่มตัวสั่นด้วยความกลัว ตัวตนที่เป็นดั่งร่างจำแลงของยมทูตกำลังขยับใกล้เข้ามาหาตน ดวงตาของพวกเขามองไม่เห็นเด็กสาวอีกต่อไป มีแต่เงาของยมทูตเท่านั้น ไม่มีทางที่จะชนะยมทูตได้ ตัวเลือกเดียวที่เหลืออยู่คือภาวนาเท่านั้น
“เอาล่ะ ไปล่าสมบัติดีกว่า อุตส่าห์มาถึงขนาดนี้แล้ว เอาแค่คออย่างเดียวคงน่าเบื่อเกินไปหน่อย”
เธอทิ้งพวกอ่อนแอที่ยืนค้างไว้ แล้วเดินควงเคียวเข้าไปในบ้านร้าง หลังผ่านไปสักพักก็มีเสียงร้องดังกับเสียงกรีดร้องดังออกมาจากข้างใน แล้วเชอร่าที่ตัวเปื้อนเลือดก็ออกมาอย่างอารมณ์ดี
พร้อมยัดพายเนื้อสีแดงไว้เต็มปาก
“กล้องส่องทางไกลนี่ดูมีประโยชน์ดี ขอด้วยเลยแล้วกันนะ เจ้าของใช้ไม่ได้แล้วคงไม่ว่าอะไรหรอกเนอะ”
กล้องส่องทางไกล อุปกรณ์เวทมนตร์ที่ใช้โดยบุคลากรฝ่ายข่าวกรองจนถึงก่อนหน้านี้ ไม่ใช่ของที่ให้คนอื่นอย่างแน่นอน
―แต่ว่า
“…..วะ ไว้ชีวิตด้วยเถอะ”
“นั่นสิน้า เอายังไงดีล่ะ”
“จะ จะเอาไปด้วยก็ได้ พะ เพราะงั้นอย่าฆ่าฉันเลยนะ ขอร้องล่ะ วะ ไว้ชีวิตฉันเถอะ”
สมาชิกหน่วยข่าวกรองที่แม้จะโดนทรมานก็ไม่เคยปริปากกำลังหวาดกลัวจากก้นบึ้งของหัวใจอยู่ ความกลัวดั้งเดิมที่เหมือนถูกดึงวิญญาณออกจากร่างปรากฏอยู่เบื้องหน้า เป็นความน่ากลัวที่ไม่อาจทนได้
“ถือเป็นการแลกเปลี่ยนกับพายเนื้อนี่ ฉันจะปล่อยไปแล้วกันนะ คุณโชคดีมากนะ อาจจะใช้โชคทั้งชีวิตหมดแล้วก็ได้ ต่อจากนี้ก็ระวัง ๆ ตัวไว้นะ”
เธอกระซิบข้างหูสมาชิกฝ่ายข่าวกรองที่ตัวสั่น ก่อนจะหัวเราะคิกคักออกมา
เชอร่าเริ่มสำรวจรอบ ๆ เนื่องจากสัมภาระเพิ่มขึ้นจึงอยากหาอะไรสะดวก ๆ มาช่วยแบกของ พอตามเสียงร้องไปจนถึงด้านหลังบ้าน เธอก็พบม้าขนสีฟ้ารูปร่างดีตัวหนึ่ง
นี่คือม้าตัวโปรดของโบลูร์ที่เขาขี่มาที่นี่
ม้าส่งเสียงร้องออกมาเสียงดังและแสดงท่าทีขัดขืนเมื่อเห็นมนุษย์ที่จู่ ๆ ก็โผล่ออกมา แต่เมื่อเชอร่าหรี่ตามอง มันก็หยุดนิ่งราวกับถูกสายฟ้าฟาดใส่
“จากนี้ไปฉันจะเป็นคนใช้งานนะ วิ่งไปสนามรบด้วยกันเถอะ”
พอเธอลูบขนมันอย่างอ่อนโยน ม้าตัวนั้นก็ก้มหัวให้เชอร่า ยอมจำนนต่อเธอโดยสมบูรณ์ หลังจากลูบ ‘เด็กดีเด็กดี’ จนพอ เชอร่าก็กระโดดขึ้นขี่อย่างคล่องแคล่วแล้วคุมบังเหียน เธอแสดงทักษะในการคุมม้าอันยอดเยี่ยมไม่ต่างจากผู้เชี่ยวชาญออกมา
“ดะ เดี๋ยวก่อนเชอร่า แล้วพวกฉัน ตะ ต้องทำอะไร”
ผู้บังคับหมวดที่หนีออกมารีบร้อนถามเชอร่าที่กำลังจะจากที่นี่ไป ถ้าเขาถูกทิ้งไว้ที่นี่ เขาอาจจะกลายเป็นผู้ที่ต้องรับผิดเรื่องหัวพันเอกก็เป็นได้
แม้กระนั้น เขาก็ไม่สามารถกลับไปที่ปราสาทย่อยอันติกัวได้อยู่ดี บทลงโทษสำหรับผู้หนีทัพมีเพียงอย่างเดียวเท่านั้น และนั่นก็คือโทษประหาร
“จะไปก็นรก จะกลับก็นรก ชอบอันไหนกว่าก็เลือกอันนั้นเลยไม่ได้เหรอ? พวกคุณโชคดีนะที่เลือกได้”
“บะ แบบนั้นมัน”
“หรือจะให้ฉันตัดฉับเลยก็ได้นะ? ถือเป็นค่าตอบแทนที่พามา”
“วะ เหวอ!”
เมื่อเธอชี้เคียวไปยังผู้บังคับหมวด เขาก็ล้มฝุบไปด้วยความกลัว เชอร่ายิ้มออกมาเล็กน้อย อาจเป็นเพราะเห็นสถานการณ์ตรงหน้าเป็นเรื่องตลก เธอค่อย ๆ เอาพายเนื้อที่กินไปครึ่งหนึ่งใส่ลงกระเป๋าที่เอวอย่างระมัดระวังแล้วปัดมือทั้งสอง บนมือเธอมีเลือดแห้งติดอยู่ ไม่ใช่แค่บนมือแต่ทั้งตัวของเธออาบไปด้วยเลือด แต่เชอร่าไม่รู้สึกตัว
“งั้นก็ ลาก่อนนะ ถ้ามีโอกาสไว้ค่อยเจอกันใหม่”
เธอโบกมือเล็กน้อย ออกแรงเตะที่ท้องของม้าให้มันเริ่มออกวิ่งอย่างขันแข็ง ในมือข้างหนึ่งถือหัวโบลูร์ไว้ ส่วนเคียวพาดไว้บนหลัง
ปราสาทย่อยอันติกัว ห้องสอบสวน
เชอร่าที่ขี่ม้ากลับมาอย่างเตะตาย่อมต้องถูกฝ่ายเฝ้าระวังจับได้ เธอจึงถูกกักตัวไว้แล้วพาไปสอบสวน ยิ่งในมือถือหัวของพันเอกฝ่ายศัตรูมาด้วยยิ่งแล้วใหญ่
“…..เพราะอย่างนั้นก็เลยตามพวกหนีทัพไป เอาหัวของพันเอกฝ่ายศัตรูที่อยู่ที่นั่นด้วยมา จับม้าแล้วกลับมาที่นี่ เธอจะบอกอย่างนี้สินะ”
“ถูกต้อง พูดไปหลายรอบตั้งแต่ตะกี้แล้วนี่นา”
“เรื่องบ้า ๆ แบบนั้นใครมันจะเชื่อ…….ก็อยากพูดแบบนั้นอยู่หรอก แต่หัวของพันเอกนั่นเป็นของจริง เป็นโบลูร์ มือหอกของกองทัพจักรวรรดิไม่ผิดแน่”
“งั้นก็พอแล้วรึเปล่า ฉันง่วง แล้วก็หิวด้วย ช่วยปล่อยไปได้มั้ย?”
หลังจากยืดแขนทั้งสองออกเหมือนบิดขี้เกียจแล้วหาวออกมา เธอก็หยิงพายเนื้อที่กินไปครึ่งนึงออกมาจากกระเป๋าตรงเอว
พายเนื้อสีแดงฉานเปื้อนเลือดที่ได้มาเป็นกำไร กลิ่นของเหล็กและกลิ่นหอมผสมปนเปกัน เชอร่าอ้าปากกว้างแล้วพยายามกัด แต่กลับถูกขวางไว้แล้วชิงไปต่อหน้า
สีหน้าของเชอร่าเปลี่ยนไปทันที
“ตอนนี้อยู่ระหว่างการสอบสวน! เรื่องกินไว้ที―!?”
“―นี่ ถ้าไม่อยากให้หัวหลุดจากบ่าก็เอาพายเนื้อฉันคืนมาเดี๋ยวนี้เลย! ฉันจะไม่พูดซ้ำสองนะ? เอ้า คืนมาเร็ว!!”
จู่ ๆ เชอร่าก็ยื่นมือขวาไปกำคอของสารวัตรทหารไว้ ถึงแม้มือของเธอจะเล็ก แต่สารวัตรทหารก็เริ่มได้ยินเสียงกร๊อบแกร๊บอันน่าสยอง สีหน้าของเธอดุร้ายขึ้น ราวกับสัตว์ป่าที่กำลังหิวโหย
“อุ ดะ เดี๋ยว จะ จะคืนให้ เอามือ ปะ ปล่อย”
เมื่อตัดสินได้ว่าถ้าเป็นแบบนี้ต่อตนต้องตายเป็นแน่ สารวัตรทหารจึงโยนพายเนื้อที่ถือไว้ไปหาเชอร่า
“ช่วยอย่ามารบกวนเวลากินข้าวได้มั้ย? ขอบคุณ”
สัญญาณอันตรายพลันหายไปในทันที แล้วเชอร่าก็เอาอาหารยัดปากอย่างอารมณ์ดี
สารวัตรทหารไอค่อกแค่กออกมาแล้วหันไปมองประตูที่อยู่ด้านหลังเขา ทำท่าทางเหมือนจะบอกว่าไม่เอาแล้วให้คนที่คอยมองดูอยู่หลังกระจก
บุคคลที่กำลังดูอยู่คือชายผู้ถือตำแหน่งหัวหน้าทหารเสนาธิการแห่งทัพที่ 3 ซิดาโม่ อาร์ท
เขาถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ เปิดประตูห้องสอบสวนแล้วก้าวเข้ามาข้างใน
ซิดาโม่กำลังกังวลใจกับจำนวนผู้หนีทัพที่มีเพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ เขามั่นใจว่ามีสายแอบแฝงอยู่ภายใน ทว่าเขาไม่รู้เลยว่าคนที่ปล่อยให้หนีไปคือนายทวารเอง คำให้การของเชอร่าเป็นข้อยืนยันว่าผู้ดูแลประตูคือสายที่แฝงตัวอยู่ จึงทำการจับตัวไปประหารทันที
ตอนที่คิดว่าจบเรื่องแล้วนั่นเอง ตนก็ต้องตกใจกับหัวที่เด็กสาวนำกลับมาด้วย
เขาเป็นชายที่เคยทำหน้าที่ผู้อารักขาตระกูลราชวงค์ของจักรวรรดิที่งานพิธีของศาสนจักรดารา ณ เมืองเป็นที่กลาง อาร์ท ไม่ผิดแน่นอน
สาเหตุที่เขาจำได้ เป็นเพราะซิดาโม่คือคนที่ทำหน้าที่ผู้คุ้มกันจากอาณาจักรนั่นเอง
หากดูจากภายนอกแล้วเขาน่าจะเป็นชายประเภทสู้รบได้เป็นเลิศ และแม้ต่อให้เขาจะมองผิดไป ยังไงก็ไม่ใช่คู่ต่อสู้ที่เด็กสาวเช่นนี้จะปราบได้ แต่ว่าโบลูร์ที่น่าจะผ่านศึกมานับต่อนับกลับผู้บั่นหัวเสียได้
―หรือก็คือ เชอร่า เด็กสาวคนนี้ แข็งแกร่งกว่าโบลูร์
แม้จะฟังดูบ้าบอแต่ก็เป็นความจริง ไม่มีทางอื่นนอกจากต้องยอมรับ
“…..เธอคือร้อยตรีชั่วคราวเชอร่างั้นสินะ การทำร้ายสารวัตรทหารถือเป็นโทษฐานกบฏนะ จากนี้ก็ระวังเอาไว้ด้วย”
“ค่ะ ขออภัยค่ะ”
“แล้วก็ อย่าพูดระหว่างกินอาหารด้วย ถือเป็นโทษหมิ่นประมาทเจ้าหน้าชั้นสูง”
“….ค่ะ!”
หลังยัดพายเนื้อแล้วกลืนลงคอเสร็จ เชอร่าก็ลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วทำความเคารพ เมื่อเห็นอิริยาบถตรงหน้า ซิดาโม่ก็ยิ่งขมวดคิ้วเข้าหากันกว่าเดิม ที่เราคิดไว้มันถูกต้องหรือเปล่านะ เริ่มจะไม่มั่นใจเอาเสียแล้วสิ
“ก่อนอื่นเลย เราหาตัวสายได้ ทำได้ดีมาก พวกหนีทัพที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ นี่ทำเอาปวดหัวจริง ๆ เลยล่ะ”
“ค่ะ!”
“จากผลงานนี้ จะเอา ‘ชั่วคราว’ ออกจากยศของเธอให้ ตั้งแต่นี้ไป เธอยืดอกเรียกตัวเองว่าร้อยตรีได้เต็มตัวแล้ว”
“ขอบคุณมากค่ะ!”
“แล้วก็จากการที่ปราบพันเอกโบลูร์ได้ ท่านยัลเดอร์คงยินดีเป็นอย่างมาก แต่ตอนนี้ท่านยุ่งกับเตรียมการบุกโจมตีอยู่ คงมอบรางวัลเกินไปกว่านี้ไม่ได้”
“……….”
“เพราะฉะนั้น ตามความเห็นของฉัน ฉันจะเสนอให้หน่วยพิเศษให้ เธอจะถูกถอดถอนจากหน้าที่บัญชาหมวดแล้วไปเข้ารวมกับหน่วยที่แยกออกมา ถ้าเธอทำผลงานได้ ขอยืนยันเลยว่าเธอได้เลื่อนขั้นมากกว่านี้แน่ ว่ายังไงล่ะ จะยอมรับหรือเปล่า? แน่นอนว่าไม่ได้บังคับหรอกนะ”
“ค่ะ ร้อยตรีเชอร่า ยอมรับค่ะ!”
ตอบกลับในทันทีโดยไม่เว้นช่วงแม้แต่น้อย
“….เยี่ยมมาก ฉันจะบอกรายละเอียดเพิ่มเติมทีหลัง ตอนนี้ก็ไปพักผ่อนร่างกายซะ ไปได้!”
“ค่ะ! ขอตัวค่ะ!”
หลังจากทำความเคารพอย่างงดงาม เชอร่าก็ปิดประตูแล้วออกจากห้องไป
ทันทีที่เธอออกจากห้องสอบสวนก็บ่น ‘เฮ้อ พูดแบบไม่ชินนี่เหนื่อยจัง’ ออกมาเสียงดัง ซึ่งแน่นอนว่ามาถึงหูซิดาโม่ นอกจากนี้ก็ได้ยิน ‘ไปหาอะไรกินดีกว่า’ ด้วย
“หรือว่าจะมองผิดไปจริง ๆ กันนะ…….นายว่ายังไง”
“ผมคิดว่าท่านซิดาโม่มองถูกแล้วครับ เด็กคนนั้น บางที…..ไม่สิ เป็นสัตว์ประหลาดไม่ผิดแน่”
“….งั้นรึ”
เมื่อมองสารวัตรทหารที่กำลังโล่งใจที่รอดชีวิตมาได้ ซิดาโม่ก็กอดอกแล้วครุ่นคิดอยู่สักพัก