เด็กสาวผู้กลืนกินยมทูต - ตอนที่ 7 แอปเปิ้ลสีแดงน่าอร่อยกว่า
กองทัพที่ 3 แห่งอาณาจักรที่กำลังถูกไล่ล่าอยู่ กำลังถอยทัพกลับไปยังปราสาทย่อยอันติกัวอย่างเอาเป็นเอาตาย ทุกคนต่างมีบาดแผล อุปกรณ์เสียหาย และเหนื่อยล้าเป็นอย่างมาก ทหารที่ถูกทิ้งจากทัพหลักถ้าไม่ถูกขยี้ในทันทีก็ต้องทิ้งดาบแล้วขอยอมแพ้
“แฮ่ก แฮ่ก ตะ ต้องกลับไปอย่างน่าอัปยศอย่างนี้เรอะ ถ้าต้องขายหน้า ฉันยอมสู้จนตัวตายดีกว่า! จัดขบวนรบใหม่ เตรียมสู้ชี้ขาดอีกรอบ!!”
ยัลเดอร์ตะโกนออกมาเสียดังด้วยความโมโห
สำหรับชายที่เดินบนเส้นทางแห่งความสำเร็จจนอายุเกือบห้าสิบปีแล้ว นี่คือเป็นความพ่ายแพ้ครั้งแรกของเขา
พลตรีคูรอชและพลตรีดานัชที่เป็นคนนำทัพหนักทั้งคู่ต่างไม่อยู่ ในศึก ณ ที่ราบก่อนหน้านี้ พวกเขาถูกระเบิดจนเสียชีวิตไประหว่างที่กำลังวุ่นวายอยู่
กองกำลังปลดแอกได้วางเหยื่อล่อโดยการให้เจ้าหญิงอัลทูร่าอยู่ที่แนวหน้า ไม่เพียงแค่ล่อกองทัพหนัก แต่ยังล่อทัพหลวงไปพื้นที่สังหารได้สำเร็จ
ซิดาโม่รู้ดีว่าเป็นกับดัก แต่เขาไม่สามารถหยุดเหล่าทหารที่เลือดร้อนอยู่ได้ ทันทีที่พวกเขาเข้าใกล้จนเกือบเห็นศัตรูก็เกิดระเบิดขึ้นที่พื้นเสียงดัง การระเบิดเข้ากลืนกินทัพหลวงจนเสียไปหลายชีวิต
กองพลเหล็กกล้าเกราะหนักที่แสนภาคภูมิใจของยัลเดอร์ถูกทำลายโดยไม่มีแม้แต่การปะทะกัน กองกำลังปลดแอกได้เปลี่ยนรูปขบวนทัพเป็นรูปลูกศรและเริ่มวิ่งตรงใส่กองทัพอาณาจักรที่ตกอยู่ในความวุ่นวาย
เมื่อผู้บัญชาการของตนอย่างยัลเดอร์ตะโกนออกมา ทุกคนต่างก็พยายามตั้งหลักใหม่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปคือตัวตัดสินแพ้ชนะ
ธงจักรวรรดิถูกชูขึ้นให้เห็นจากเนินเล็ก ๆ ต่อด้วยเสียงกระหึ่มของกลองสงครามที่ดังเสียจนเหมือนท้องฟ้าแยกออกจากกัน ทัพจักรวรรดิเต็มรูปแบบเข้าร่วมสงครามนี้ถือเป็นเรื่องผิดคาด
ทันทีที่ทัพทหารม้าของจักรวรรดิเริ่มวิ่งเข้าใส่ ใจสู้ที่เหลืออยู่น้อยนิดของทัพอาณาจักรก็หายไปหมดสิ้น อย่างไรเสียกองทัพอาณาจักรก็เป็นแค่กลุ่มคนที่จัดยัดรวมกันมา มีทหารไม่ถึงหนึ่งในสิบที่พร้อมสละชีวิตตัวเองเพื่อสู้ ไม่มีทางสู้กองทัพปลดแอกที่มีกำลังใจเต็มเปี่ยมได้ จนสุดท้ายก็เดินทัพผิดพลาดทั้ง ๆ ที่มีจำนวนมากกว่าอย่างล้นหลาม
ในตอนนั้นไม่มีทหารคนไหนพร้อมจะรับฟังยัลเดอร์อีกต่อไป ทั้งคูรอชและดานัชที่แยกออกไปก็ถูกโจมตีโดยกองกำลังระดับสูงผู้แบก ‘ธงราชสีห์’ และถูกบั่นหัวไป
พวกเขาจะได้รู้ในภายหลังว่าทหารจักรวรรดิที่ปรากฏขึ้นเป็นทหารปลอม และจักรวรรดิคีย์ลันด์ยังไม่เข้าร่วมสงครามอย่างเต็มที่ ผู้ที่ยกธงขึ้นมาเป็นเพียงชาวบ้านธรรมดาเท่านั้น ส่วนทหารม้าก็เป็นแค่ทหารรับจ้างที่สวมเกราะจักรวรรดิ นี่เป็นกลยุทธ์ปลอมตัวที่ใช้แค่คนไม่เข้าร่วมรบ แต่กองทัพอาณาจักรที่อยู่ในสภาวะสับจนจากกับระเบิดกลับตกหลุมพรางเข้าจัง ๆ เมื่อคนเราเสียความเยือกเย็นไปก็มักจะตัดสินใจผิดพลาดได้ง่าย ๆ
“ท่านครับ เรารอโอกาสตั้งทัพใหม่ในอันติกัวแล้วค่อยล้างชื่อดีกว่า ถ้าเราฝืนสู้ตัดสินในสภาพเช่นนี้ จะชนะหรือแพ้ย่อมชัดเจนอยู่แล้ว น่าเสียดายที่เราไม่มีกำลังเหลือสู้แล้ว”
เมื่อซิดาโม่เตือนขึ้น ยัลเดอร์ก็หันดูทหารรอบ ๆ ตัว
“นะ นี่มัน กองทัพที่ 3 อันภาคภูมิใจของฉันรึ ทำไมกัน ทำไมถึงเป็นอย่างนี้ไปได้! เดิมทีก็ไม่เห็นรู้เลยว่าจักรวรรดิจะเข้าร่วมสงครามด้วย! ไอ้พวกที่อยู่ในอาณาจักรมันทำอะไรกันอยู่!”
“ท่านครับ เรื่องนั้น―”
ขณะที่ผู้บัญชาการกำหมัดแน่น ก็มีผู้ส่งสารอีกสองคนโผล่มารายงานข่าวร้ายเพิ่ม
“ท่านพลเอกยัลเดอร์!”
“คราวนี้อะไรอีก! สหพันธ์มันเข้าร่วมสงครามด้วยรึไง!? ไอ้พวกเวรนั่น!”
อาณาจักรยูซปกครองส่วนเหนือของทวีปมุนโดโนโว ส่วนจักรวรรดิคีย์ลันด์กำลังขยายพื้นที่การปกครองจากทางตะวันตก
และผู้ที่รวมทางตะวันออกเฉียงใต้เข้าด้วยกันคือสหพันธ์กลุ่มประเทศดอลแบคส์ เดิมทีแล้วพื้นที่ส่วนตะวันออกเฉียงใต้เป็นของอาณาจักร แต่เมื่ออสูรปรากฏตัวขึ้น ผู้ปกครองหลายคนก็ใช้โอกาสในช่วงที่วุ่นวายนี้กลายเป็นอิสระ และได้ร่วมกันก่อตั้งสหพันธ์ขึ้นมา พวกเขามีดินอุดมสมบูรณ์ อยู่ติดทะเล มีเหมืองที่มีทรัพยากรอยู่มาก ทำให้มีกำลังทรัพย์สูง ในช่วงหลายปีมานี้ได้ขยายกองกำลังทหารของตนและขยายอำนาจไปเรื่อย ๆ
สาเหตุที่สำคัญที่สุดที่อาณาจักรอยู่ในวิกฤตคือการเสียพื้นที่อุดมสมบูรณ์นี้ไป แน่นอนว่าพวกเขาต้องพยายามชิงคืนกลับมาและได้ทำการส่งคนไปหลายครั้ง
แต่ว่าสหพันธ์ได้เป็นพันธมิตรกับจักรวรรดิโดยการส่งทุนและทรัพยากรให้ พวกเขาร่วมกันสู้กับอาณาจักรจากทั้งสองด้าน
หลังจากสงครามยืดเยื้อขึ้น ทางสหพันธ์ที่ถูกอาณาจักรโจมตีซ้ำ ๆ ก็ได้ยอมมอบเงินให้จำนวนมากแล้วร่างสัญญาสงบศึกขึ้นกับทุกประเทศ
เหตุการณ์ทั้งหลายนี้ส่งผลให้เกิดมหาศึกมุนโดโนโวขึ้นเมื่อสองร้อยปีก่อน
“ทะ ท่านครับ เรามีสนธิสัญญาสงบศึกกับสหพันธ์….”
เจ้าหน้าที่พลเรือนนายหนึ่งพูดออกมา
“เงียบซะ! สนธิสัญญาบ้าบออะไรกันในเมื่อพวกมันใช้ประโยชน์จากพวกกบฏแล้วหยุดค้าขายเนี่ย!! ขณะที่พวกเราอ่อนแอลง พวกมันก็ขุนตัวเองเรื่อย ๆ !”
“ขะ ขออภัยครับ”
“―คนส่งสาร ว่าต่อ!”
เมื่อซิดาโม่เร่งให้พูดต่อ ผู้ส่งสารก็พูดข้อมูลที่น่าสะพรึงออกมา
“ครับ! เรายืนยันมาได้ว่ามีธงข้าศึกที่ปราสาทย่อยอันติกัว! มันชักธงของทัพกบฏครับ!! อันติกัวแตกพ่ายแล้ว!!”
ราวกับว่าเวลาหยุดนิ่งไปชั่วขณะหนึ่ง
“อะ อะไรกัน! บ้ารึไง!! ที่นั่นมีทหารเหลืออยู่ตั้งหมื่นนายเชียวนะ!! จะถูกตีแตกง่ายขนาดนั้นได้ยังไง!!”
ยัลเดอร์ที่กำลังเดือดดาลคว้าคอเสื้อผู้ส่งสาร ซิดาโม่เองก็ปกปิดความตกใจจากข่าวนี้ไม่ได้
ผู้ส่งสารอีกนายเริ่มรายงานต่อ
“อ้างอิงจากทหารที่หนีรอดจากปราสาทมาได้ เหมือนว่าจะมีสายของฝั่งศัตรูอยู่มากที่เปิดประตูให้ข้าศึก ส่วนพลตรีรอสแทมที่ป้องกันอยู่ถูกพวกกบฏสังหารทั่งที่สู้สุดกำลัง! อันติกัวตกไปอยู่ในมืออีกฝั่งอย่างสมบูรณ์แล้วครับ!”
กำลังรบหลักถูกล่อให้ออกมาที่ที่ราบ แล้วส่งทัพแยกออกไปใช้โอกาสนี้โจมตีอันติกัว ติดต่อทหารที่เป็นสายล่วงหน้าให้เปิดประตูปราสาท ทัพที่ 3 ตกหลุมศัตรูเข้าจัง ๆ จนเสียฐานทัพหลักอันสำคัญไป
ปราสาทย่อยอันติกัวที่เป็นฐานที่มั่นตั้งรับหลัก แน่นอนว่าจะไม่กลายเป็นเพียงฐานของกองกำลังปลดแอกนครหลวง แต่เป็นของกำลังเสริมจากจักรวรรดิด้วย
“อะ โอ…”
“…ท่านครับ เขาจะมุ่งหน้ากลับอันติกัวไม่ได้แล้ว ถอนทัพจากที่นี่ไปเบลต้าทางตะวันออกเถอะครับ ที่นั่นมีเสบียงสำรองอยู่ ถ้าเราไม่รีบต้องเสียให้พวกกบฏแน่นอน”
ภูมิภาคเบลต้าตั้งอยู่ทางตะวันออกของอันติกัว เนื่องจากกำลังหลักอยู่ที่อันติกัวจึงมีทหารประจำการอยู่น้อย หากไม่รีบกลับก็เสี่ยงที่จะเสียทุกอย่างในพื้นที่ใกล้ ๆ ชายแดนนี้
“….ไม่ ฉันต้องชิงอันติกัว ต้องเอากลับมาให้ได้ ฝ่าบาทได้มอบหมายฉันให้เป็นคนปกป้องนะ? แล้วก็ ต่อให้ทัพที่ 3 จะแพ้แต่ก็ยังเหลือกว่าสามหมื่นนายไม่ใช่รึ ถ้าบุกเรื่อย ๆ ทั้งวันทั้งคืน―”
“ไม่ได้ครับท่าน! เราจะถูกโจมตีจากทั้งด้านหลังและฝั่งอันติกัว! เราต้องเปลี่ยนทิศเดินทัพเดี๋ยวนี้ครับ! เราไม่สามารถโจมตีอันติกัวได้แล้ว!! ขอร้องล่ะครับ ให้ผมได้สั่งทัพให้ไปทิศตะวันออกเถอะ!”
เขาเขย่าร่างของยัลเดอร์ที่พึมพำอย่างไร้วิญญาณออกมาอย่างรุนแรง ถ้าโดนล้อมต้องจบเห่แน่นอน ในฐานะหัวหน้าทหารเสนาธิการ ซิดาโม่ต้องหยุดให้ได้ไม่ว่ายังไงก็ตาม ต่อให้ต้องสูญเสียความเชื่อใจจากยัลเดอร์ อย่างน้อยก็ต้องเปลี่ยนใจเขาให้ได้
“―อึก!”
“ท่านครับ!”
“….เข้าใจแล้ว ฉันจะทำตามที่แกบอก ทัพที่ 3 จะเดินทัพไปทางทิศตะวันออกแล้วตั้งรับที่เบลต้า ไปตั้งกำลังรบใหม่แล้วค่อยตัดสินอีกที เท่านี้ เท่านี้ก็พอสินะ?”
“―ครับ รับทราบ เปลี่ยนทิศเดินทัพไปทิศตะวันออก! ทุกหน่วย เริ่มเดินหน้าได้!!”
―หลังจากนี้ กองกำลังปลดแอกที่ไล่ล่าก็หยุดตามด้วยเหตุผลบางประการ ทัพที่ 3 ได้ถอยกลับไปที่เบลต้าโดยคงจำนวนสามหมื่นนายไว้ได้สำเร็จ
กองกำลังปดแอกตั้งใจจะควบคุมพื้นที่รอบ ๆ ชายแดน แต่พิจารณาได้ว่าการป้องการของเบลต้าแข็งแกร่งกว่าที่คิด จึงตัดสินใจเสริมกำลังทหารที่อยู่ในอันติกัวแทน
มีอยู่หนึ่งเหตุผลที่กองกำลังปลดแอกไม่สามารถไล่ตามต่อแล้วเข้ายึดเบลต้าได้ นั่นเป็นเพราะคลังเสบียงถูกเผา และหากไม่มีอาหารทหารก็สู้ไม่ได้
แม้พวกเขาจะชนะศึกแต่ก็เสียทหารรับจ้างกว่าสามพันคนจากเหตุไม่คาดคิด กองกำลังปลดแอกเองก็ต้องการเวลาเตรียมตัวเช่นกัน
ทัพทหารม้าจำนวนสองพันห้าร้อยนายที่นำโดยเชอร่าข้ามป้อมปราการซัลวาดอร์ที่เป็นที่มั่นหลักศัตรูมา และพยายามจะข้ามแม่น้ำอัลเชียเพื่อไปยังภูมิภาคเบลต้าทางตะวันออก
พวกเขาแอบลอดผ่านพื้นที่ข้าศึกได้ยังไงกัน? สาเหตุนั่นเพียงมองการแต่งการของทัพทหารม้าก็ทราบได้ ธงที่เธอถืออยู่คือธงของกองกำลังปลดแอกนครหลวง และอุปกรณ์ที่ใช้อยู่ก็เป็นของทหารกองกำลังปลดแอก ของเหล่านี้ถูกเก็บไว้ในคลังเสบียง
“มะ ไม่คิดว่าจะไปได้สวยขนาดนี้”
“พวกทหารกบฏมีแต่พวกหนีทัพ ทหารจักรวรรดิ แล้วก็ทหารรับจ้างใช่มั้ยล่ะ? ไม่มีทางจำหน้าได้หมดทุกคนอยู่แล้ว แทนที่จะแอบ ๆ ไปสู้เจอหน้าตรง ๆ เลยน่าสงสัยน้อยกว่า”
“รองผู้บังคับหน่วยเชอร่ากล้าหาญเกินไปแล้วครับ ถ้าเป็นพวกเราไม่กล้าทำตามหรอก ไม่อยากเชื่อเลยว่าจะรับมือทหารข้าศึกได้อย่างใจเย็นแบบนั้น ผมล่ะกลัวแทบตายว่าจู่ ๆ จะโจมตีเข้ามา”
“ต้องขอบคุณที่ผู้บัญชาการศัตรูโง่ด้วยล่ะนะ เอาเถอะ ใช่ว่าฉันจะไม่เข้าใจที่พวกนายเครียด ฉันเองตอนท้องร้องก็หงุดหงิดเหมือนกัน”
“รองผู้บังคับหน่วย ถ้าไม่ว่าอะไรก็รับไปสิครับ”
ทหารม้าที่ขี่ตามมาติด ๆ นายหนึ่งหยิบผลไม้สีเขียวออกมาจากกระเป๋าแล้วยื่นให้เชอร่า ถูกแมลงกินไปเล็กน้อยแต่ว่ายังไม่เน่า
“เอ๋ อะไรน่ะ”
“แอปเปิ้ลเขียวที่เจอในคลังเสบียงครับ สำหรับแถวนี้ถือว่าหายากก็เลยเก็บมาครับ ถ้าสุกแล้วอร่อยมากนะครับ”
“กำลังคอแห้งอยู่พอดี ขอบคุณนะ แต่ว่ามีแอปเปิ้ลเขียวด้วยเหรอเนี่ย”
“ในอาณาจักรเป็นของหายากเลยล่ะครับ ปกติถ้าพูดถึงแอปเปิ้ลก็จะนึกถึงสีแดงสินะครับ”
“สีแดงน่ากินกว่านะ”
เม่อเชอร่ากัดลงไป น้ำแอปเปิ้ลก็ไหลลงจากปากของเธอ ทหารม้ามองเชอร่าที่กำลังกินเคี้ยวกรุบกรุบอย่างมีความสุข
เหล่าทหารม้าได้ยอมรับในตัวเชอร่าที่เป็นเพียงรองผู้บังคับหน่วยชั่วคราวเป็นหัวหน้าแล้ว เหตุมาจากศึกที่ผ่าน ๆ มาเธอได้แสดงพละกำลังและความกล้าหาญให้เห็นว่าเป็นของจริง คนคนนี้เก่งกว่าทหารอาณาจักรคนไหน ๆ อีกนี่นา? หลังได้เห็นผู้บัญชาการหญิงคนนี้เหวี่ยงเคียวอย่างง่ายดายก็เกิดความคิดเช่นนี้ขึ้นมา
ถ้าตามคนที่แข็งแกร่งจะอยู่รอด ทหารทุกคนรู้เรื่องนี้ดี พูดได้ว่าเหตุการณ์ก่อนหน้าได้เข้าไปอยู่ในใจพวกเขาแล้ว
พอพวกเขาเจอกับทหารจากฐานหลักกองกำลังปลดแอกที่ไล่ล่าอยู่ ทหารทุกคนก็ตื่นตระหนก แต่เธอได้ยื่นหัวของผู้บัญชาการทหารม้าคนก่อนที่เสียชีวิตไปให้ดู ก่อนบอกอย่างใจเย็นว่าฆ่าผู้บัญชาการศัตรูได้แล้ว แล้วพวกที่เหลือได้หนีไปในป่า เครื่องสวมใส่ของทหารรับจ้างมีหลายรูปแบบต่างจากทหารปกติทำให้ปลอมตัวได้ง่าย แค่หยิบของใหม่จากคลังกับเอาชุดจากศพมาก็เพียงพอแล้ว
แม้ตอนแรกพวกเขาจะสงสัยตัวตน แต่พอฟังเรื่องราวก็กลัวว่าจะคลาดกับทหารที่หนีไป จึงนำทัพเข้าป่าไปทันที
แน่นอนว่าเข้าไปก็ไม่เจออะไร อย่างเดียวที่อยู่ข้างหน้าคือปราสาทอันติกัวที่ตกเป็นของกองกำลังปลดแอกเรียบร้อยแล้ว
“….รองผู้บังคับหน่วยเชอร่า แย่แล้วครับ ทหารข้าศึกที่อยู่แถวแม่น้ำเหมือนจะสังเกตเห็นเราแล้วครับ”
“แย่จัง น่ารำคาญ”
“เอายังไงดีครับ? ถ้ามีจำนวนแค่นั้นเราฆ่าได้อยู่แล้ว”
หนึ่งในทหารยื่นหน้าเข้ามาใกล้หูเชอร่าแล้วพูดออกมา พอเธอหันหน้าไปเพื่อไม่ให้ดูน่าสงสัยก็เห็นทหารประมาณหนึ่งร้อยคนกำลังมุ่งหน้ามา
“ช่วยไม่ได้ ไปทักทายหน่อยแล้วกัน ถ้าฉันให้สัญญาณเมื่อไหร่ก็ฆ่าเลย ถ้าเลี่ยงได้ก็ดี ฉันไม่อยากทำตัวเด่นในที่แบบนี้น่ะนะ”
“รับทราบ!”
พวกเชอร่าคุมม้าไปหาทหารกลุ่มนั้น
คนคนเดียวที่ขี่ม้าอยู่ ชายผู้มีแผลเป็นที่แก้มขวาที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้ากำลังจ้องมาที่เชอร่า
สมาชิกหมวดต่างก็ชี้หอกมา เตรียมตัวพร้อมสู้
เชอร่าสัมผัสได้ว่ากำลังถูกมองอยู่ บางทีพวกนี้อาจจะรู้ตัวจริงแล้วก็ได้ เชอร่าตัดสินใจเข้าไปพูดด้วยก่อน
“ขอบคุณที่ลำบาก! พวกเราคือทัพทหารม้าจากกองกำลังปลดแอกนครหลวง! ขณะนี้กำลังเดินทัพเก็บกวาดทหารอาณาจักรที่หนีไปอยู่!”
“บอกสังกัดและชื่อมา! พวกเราเองก็มีภารกิจเหมือนกัน เพราะงั้นต้องขอโทษด้วย!”
เขาตอบกลับด้วยเสียงที่ดังไม่แพ้กัน เชอร่ารู้สึกได้ว่าเขาต่างจากพวกโง่ ๆ ที่เจอมาก่อนหน้านี้
“ฉันร้อยตรีเชอร่า ผู้บัญชาการทัพทหารม้าที่ 13 สังกัดกองพลที่ 1 แห่งกองกำลังปลดแอกนครหลวง ขอถามคำถามเดียวกันคืน!”
“….เข้าใจแล้ว พวกเราคือทัพเสริมของกองพลที่ 1 กองกำลังปลดแอกนครหลวง ร้อยตรีคาลุส ฉันคุมหวมดที่จัดตั้งชั่วคราวนี่อยู่”
“รับทราบ ถ้างั้น พวกเรากำลังรีบอยู่ คงต้องไปแล้ว ไม่งั้นศัตรูจะหนีไปได้”
“…ฉันไม่ได้ข่าวว่ามีหน่วยทหารม้าที่กำลังไล่ตามอยู่เลย”
“อาจจะสื่อสารผิดก็ได้ เกินขึ้นในสนามรบบ่อย ๆ นี่นา”
“พวกเราเป็นคนป้องกันคลังเสบียงจนถึงเมื่อครู่นี้ ภารกิจของเราคือค้นหา ‘ทหารม้า’ ที่โจมตีคลังเสบียง เหมือนว่าพวกมันจะอยู่แถวนี้น่ะนะ”
คาลุสวางมือลงบนดาบของตน
เชอร่ามองดูสถานการณ์ด้วยสีหน้าเดิม เคียวขนาดใหญ่ยังคงอยู่บนหลัง
“เข้าใจแล้ว แล้วยังไงต่อ หรือจะสื่อว่าทหารม้าพวกนั้นคือเราเหรอ?”
มุมปากของเชอร่ายกสูงขึ้นเล็กน้อย ออกแรงจับเคียวในมือของตน
“….ฉันขอยืนยันอีกเรื่องหนึ่ง ขอดูใบระบุตัวตนที ทหารกองกำลังปลดแอกที่นายจนไปถึงหน้าใหม่ต้องได้ทุกคนอย่างที่รู้กัน ช่วยแสดงให้เห็นที ―เดี๋ยวนี้!”
คาลุสส่งสัญญาณด้วยมือ แล้วทหารที่ตามมาก็ยกหอกขึ้นแล้วชี้มายังทหารม้า
“….อ้อ ไอ้นั่นเอง รอแป๊ปนึงนะ? น่าจะอยู่ในถุงนี้….”
ขณะที่กำลังทำท่าเอื้อมไปหยิบถุง เชอร่าก็คว้าเคียวออกมาจากหลังแล้วฟันไปที่คาลุส
แต่คาลุสที่ระวังตัวไว้อยู่แล้วหลบได้
“ทหารม้าที่เผาคลังเป็นพวกแกจริง ๆ ด้วยสินะ!! กล้าดียังไงมาปลอมตัวเป็นกองกำลังปลดแอกแบบนี้!”
“หัวไวดีนะ แต่โง่รึเปล่า? คิดจะหยุดพวกเราด้วยคนแค่นั้น อยากตายหรือไง?”
“หุบปาก! ลงจากม้าแล้วทิ้งดาบเดี๋ยวนี้ แล้วก็ยอมแพ้ซะ! อีกเดี๋ยวกำลังเสริมก็มาแล้ว! พวกแกก็เหมือนหนูที่ติดกับ!”
“ขอปฏิเสธ ยังไงคุณก็จะตายอยู่แล้วนี่นา”
“―!”
เชอร่าใช้เคียวฟันออกไปอีกครั้ง
คาลุสตั้งรับด้วยดาบทรงโค้ง แต่โต้กลับไปไม่ได้เนื่องจากการโจมตีรุนแรงเกิน ปกติแล้วเขาจะปัดป้องออกแต่กลับรับแรงทั้งหมดไม่ได้
“เอ้าเอ้า ถ้ารับไม่ดีเดี๋ยวหัวหลุดเอานะ!!”
“นะ นังนี่ แข็งแกร่ง!”
เขาพยายามเหวี่ยงดาบอย่างเอาเป็นเอาตาย แต่การโจมตีของคาลุสกลับถูกปัดออกอย่างง่ายดาย แต่การฟันของเชอร่านั้นแรงจนทำให้มือเขาชา ความเร็วการเหวี่ยงแขนและกำลังที่ฟาดออกไปค่อย ๆ ลดลงเรื่อย ๆ พละกำลังกับเรี่ยวแรงกำลังถูกสูบหายไป
เชอร่าไม่มีทางพลาดโอกาสนี้
“ตายซะ!”
“แม่―”
หลังจากแทงหลอกหลายครั้ง ใบมีดเล่มโปรดของเธอก็ลอยเข้าหาคอของเขา แล้วตัดขาดไปจากด้านข้าง
คาลุสถูกปั่นหัวโดยสมบูรณ์ ก่อนจะถูกฟันเข้าจัง ๆ จนร่วงจากหลังม้า
―ตายในทันที
“ทัพทหารม้า ฆ่าให้หมดทุกคน!! อย่าให้หนีไปได้เด็ดขาด!”
“โอ้!!”
“ฆ่าพวกกบฏให้หมด!!”
ทัพทหารม้าที่เดิมทีมีจำนวนเหนือกว่าอยู่แล้วได้สังหารทุกคนหมดภายในเวลาไม่กี่นาที
เชอร่าเริ่มโจมตีก่อน เหวี่ยงเคียวฆ่าทหารกองกำลังปลดแอกจนเธอพอใจ ทางทัพทหารม้าบาดเจ็บหลายคน ไม่มีกองกำลังเสริมปรากฏให้เห็น
ถ้าอยากจะข้ามก็ต้องข้ามตอนนี้
“―เอาล่ะ เราจะข้ามแม่น้ำกันแล้ว หลังจากนั้นก็วิ่งให้สุดฝีเท้า โอเคนะ?”
“ครับ! พวกเราจะตามหัวหน้าเชอร่าจนถึงที่สุด!”
“ถ้ากลับไปได้มากินข้าวด้วยกันเถอะ เดี๋ยวฉันเลี้ยงเอง แลกกัน พวกนายต้องบอกเรื่องอาหารอร่อย ๆ ทีนะ”
“ครับ! ไว้ใจได้เลยครับ!!”
“ในเมื่อความแตกแล้วก็ไม่ต้องปลอมตัวต่อ เปื้อนเลือดแล้วนี่นา”
เชอร่าปาดเหงื่อจากหน้าผาก แล้วชี้ไปยังเกราะที่เปื้อนเลือด
“อืม ปลอมตัวเป็นกองกำลังปลดแอกเท่านี้พอ”
“จะกลับเป็นทัพอาณาจักรอันทรงเกียรติรึครับ?”
“ดีล่ะ ชูธงทัพอาณาจักรเลย! ฉีกธงของพวกกบฏแล้วโยนทิ้งซะ! เห็นแล้วปวดตา เพราะงั้นอย่าลืมเหยียบทิ้งซ้ำด้วยล่ะ!”
“ครับ!”
“―ทัพทหารม้าเชอร่า เริ่มกลับได้!”
“โอ้!!”
หลังจากข้ามแม่น้ำอัลเชียได้ ทัพม้าของเชอร่าก็ถูกโจมตีอีกหลายครั้ง ปรากฏว่าพวกเขาถูกฝ่ายสอดแนมพบตัวจากศึกครั้งก่อน ทำให้ถูกทัพทหารม้าไล่ตาม
แต่ว่าเชอร่าก็เป็นแนวหน้าในการจัดการทุกคนที่เข้ามาจนตัดหัวหัวหน้าศัตรูได้สำเร็จ
จำนวนทหารมีทั้งหมด 4,000 นาย ถูกสังหารในสนามรบไป 1,000 ถือว่าเป็นจำนวนที่น่าทึ่งสำหรับหน่วยที่กำลังถอยทัพอยู่
เมื่อเชอร่ามาถึงปราสาทเบลต้า จำนวนทหารก็เหลือเพียง 2,000 แต่ว่าทหารทุกนายกลับเต็มไปด้วยกำลังใจที่พร้อมสู้ ยากที่จะเชื่อว่าพวกเขาแพ้มา ตอนแรกพวกเขาสวมเกราะของกองกำลังปลดแอกอยู่จึงถูกระแวงเป็นพิเศษ
แต่เนื่องจากโบกธงของทหารอาณาจักรอยู่ รวมกับการที่ไม่มีท่าทีจะโจมตีทำให้คนในปราสาทเปิดประตูรับด้วยความยินดี ปราสาทเบลต้าที่กำลังใจสู้ตกต่ำถึงขีดสุดได้ฟื้นฟูกลับคืนมาจากความสำเร็จนี้
คนที่พอใจกับการกลับมาของทัพทหารม้านี่คงเป็นพลเอกยัลเดอร์ที่คิดว่าถูกฆ่าจนหมดไปแล้ว ทันทีที่ได้รับรายงาน ยัลเดอร์ก็ร้องเสียงแปลก ๆ ออกมาแล้วรีบลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ ตัวสั่นด้วยความดีใจ เขาไปจับมือกับทหารทุกนาย น้ำตาไหลลงจากใบหน้า
แม้ยัลเดอร์จะเป็นชายที่มีอารมณ์ฉุนเฉียวแต่ก็ซาบซึ้งใจ เขาประทับใจกับเชอร่าตัวน้อยที่กลับมาได้อย่างไม่ยอมแพ้
เขาตั้งใจจะแต่งตั้งให้เชอร่าเป็นวีรสตรีของทัพที่ 3 แต่เธอกลับบอกปฏิเสธว่าเป็นรางวัลที่เธอไม่คู่ควรได้รับ
―กองทัพที่ 3 แห่งอาณาจักรได้ย้ายทัพมาที่ปราสาทเบลต้า และยังคงพยายามควบคุมพื้นที่รอบ ๆ ชายแดนอยู่
หากรวมทัพทหารม้าที่กลับมาด้วยก็มีจำนวนรวม ๆ 40,000 นาย
พลเอกยัลเดอร์รู้สึกว่าตนต้องรับผิดชอบกับความพ่ายแพ้ในครั้งนี้และได้พยายามปลิดชีพตัวเอง แต่ก็ถูกห้ามไว้ได้ก่อน คำประณามจากเมืองหลวงได้มาถึง กล่าวว่าคราวหน้าต้องล้างความอัปยศให้ได้ และตัดสินว่าให้ยัลเดอร์บัญชาการทัพที่ 3 ต่อไป แต่ต่อให้เขาถูกปลดตำแหน่งจริง ๆ ก็ไม่มีใครมารับช่วงต่อได้อยู่ดี
ร้อยตรีเชอร่า ได้เข้ารับตำแหน่งผู้บังคับแทนหัวหน้าที่เสียชีวิตไปและเผาคลังเสบียงของศัตรูได้สำเร็จ เธอมีส่วนช่วยสำคัญในการหยุดการเคลื่อนทัพของกองกำลังปลดแอก ต่อสู้อย่างเหน็ดเหนื่อยเพื่อฝ่าวงล้อมข้าศึกแล้วฆ่าศัตรูมาได้ สุดท้ายก็พาทหารม้ากว่า 2,000 นายกลับมาที่เบลต้าได้อย่างปลอดภัย เป็นความสำเร็จที่ไม่อาจดูแคลนได้ จากความเร็จในการสังหารโบลูร์ ช่วยเหลือพลเอกยัลเดอร์ จึงได้ได้รับการเลื่อนขั้นเร็วอย่างผิดหูผิดตา
เพียงสามเดือนหลังจากได้รับการเลื่อนยศเป็นร้อยเอก เธอก็ได้รับยศพันตรี พร้อมกันนั้นก็ได้รับมอบหมายให้สั่งการทัพทหารม้าที่ผู้บัญชาการคนเก่าเสียชีวิตไป
―ได้รับเลื่อนเป็นนายพันตั้งแต่อายุสิบแปด เร็วระดับที่ไม่เคยมีมาก่อนในอาณาจักร
ส่วนเจ้าตัวเองก็ดูจะดีใจ ได้กินอาหารอย่างที่ตนต้องการ ทว่าน่าเสียดายที่เหมือนว่าเธอไม่สามารถสัมผัสถึงความอิ่มท้องได้