เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 1062: พลังงานดั้งเดิมโลหะที่ส่องแสง
ตอนที่ 1062: พลังงานดั้งเดิมโลหะที่ส่องแสง
เจี้ยนเฉินลอยอยู่เหนือแนวภูเขาในขณะที่เขามองลงมาด้วยความสนใจ เขาขยายพลังแห่งการมีอยู่ของเขาออกไปอย่างเต็มที่ มันผ่านสิ่งกีดขวางมากมายและเข้าไปในพื้นดินอย่างรวดเร็ว
ในตอนที่เขาค้นพบสายแร่ครั้งแรก ผู้อาวุโสสูงสุดของเมืองทหารรับจ้าง เทียนเจี้ยนก็ได้พบบอลแก่นแท้ดั้งเดิมที่ซ่อนอยู่ลึกในสายแร่นี้ มันมีพลังงานที่สุดยอดและสามารถช่วยให้ผู้คนพัฒนาการจากเซียนผู้คุมกฎชั้นสวรรค์ที่ 9 ไปเป็นเซียนราชาได้ มันเป็นสมบัติที่หาได้ยากในโลก
เจี้ยนเฉินก็ได้รู้มาจากจิตวิญญาณกระบี่ว่าพลังงานดั้งเดิมที่ซ่อนอยู่ภายในสายแร่นั้นเป็นพลังงานดั้งเดิมของจิตวิญญาณโลหะจากธาตุทั้งห้า
พลังแห่งการมีอยู่ของเจี้ยนเฉินสามารถผ่านสิ่งกีดขวางที่เป็นแร่ทังสเตนที่แข็งแรงลงไปได้หลายร้อยเมตรใต้พื้นดิน เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนถึงคลื่นพลังที่ยิ่งใหญ่มากที่กระเพื่อมอย่างช้า ๆ มันบริสุทธิ์มากโดยไม่มีสิ่งเจือปนเลย
“ผู้อาวุโสรุยจิน ท่านก็ต้องพบว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในแนวภูเขาของสายแร่ทังสเตนนี้แน่” เจี้ยนเฉินพูดในขณะที่จ้องมองตาไม่กระพริบ
สายตาของรุยจินเป็นประกาย และเขาก็ตอบกลับอย่างเฉยเฉย “ข้าสัมผัสได้ มันเป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่และบริสุทธิ์มาก แต่มันก็ถูกล้อมไว้ด้วยชั้นของทังสเตน มีไม่มากนักที่สามารถทำลายชั้นแร่นี้ไปได้ ดังนั้นมันจึงยากมากที่จะเอามันออกมาได้”
“ท่านมีพลังพอที่จะเอามันออกมาด้วยความแข็งแกร่งของท่านหรือไม่ในตอนนี้ ? ” เจี้ยนเฉินถาม แม้ว่าพลังงานดั้งเดิมของจิตวิญญาณโลหะจะไม่ได้มีประโยชน์กับเขา แต่เขาก็ต้องการใช้มันกับคนอื่น
“ถ้าเจ้าจำเป็นต้องใช้มัน ข้าจะพยายามเอามันออกมาด้วยดาบมังกรศักดิ์สิทธิ์ของข้า” รุยจินตอบกลับอย่างช้า ๆ หลังจากนั้น พลังแห่งการมีอยู่ที่มหาศาลก็ได้เปล่งรัศมีออกมาจากเขาและดาบมังกรศักดิ์สิทธิ์ก็ปกคลุมไปด้วยชั้นแสงสีขาวหนา คลื่นพลังงานที่น่ากลัวทำให้มิติรอบ ๆ บิดเบี้ยว และกำลังจะแตกออก
“หืม ? พลังงานดั้งเดิมของจิตวิญญาณโลหะนั้นยิ่งใหญ่กว่าก่อนหน้านี้มาก มันกำลังเติบโต นายท่าน ให้รุยจินหยุดเดี๋ยวนี้ สิ่งที่เขากำลังจะทำจะเป็นการทำลายมัน” เสียงของจือหยิงดังขึ้นมาในหัวของเจี้ยนเฉินทันที
ดาบมังกรศักดิ์สิทธิ์ได้ยกขึ้นสูงแล้ว รุยจินกำลังจะฟันลงไป
“ผู้อาวุโสรุยจิน พวกเรารอก่อนดีกว่า” เจี้ยนเฉินตอบสนองอย่างรวดเร็ว เขาหยุดรุยจินทันที ก่อนที่จะรวมรวมสมาธิไปที่ทะเลแห่งสติสัมปะชัญญะของเขาเพื่อพูดคุยกับจิตวิญญาณกระบี่
“นายท่าน บอลพลังงานดั้งเดิมโลหะนี้กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว ถ้ามันมีเวลาพอละก็ มันจะยิ่งแข็งแกร่งกว่านี้และมีสติเป็นของตัวเอง มันจะโตเป็นจิตวิญญาณและกลายเป็นบางอย่างเหมือนจิตวิญญาณม่านพลังของเมืองทหารรับจ้าง การนำเอามันออกมาตอนนี้จะเป็นการทำลายมันอย่างไม่ต้องสงสัย” จือหยิงอธิบาย
ประกายแห่งความประหลาดใจปรากฏขึ้นในดวงตาของเจี้ยนเฉิน เขาหยุดคิดสักพักแล้วพูด “นานขนาดไหนกันมันถึงจะเติบโตอย่างเต็มที่?”
“พวกเราไม่สามารถประมาณการได้ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับอัตราการเติบโต อย่างไรก็ตาม พลังงานดั้งเดิมจะทรงพลังมากขึ้นเรื่อย ๆ ตามเวลา เมื่อมันมีสติสัมปะชัญญะแล้ว มันจะกลายร่างไปเป็นจิตวิญญาณ มันจะเต็มไปด้วยพรสวรรค์และสามารถฝึนฝนได้ด้วยอัตราที่เหลือเชื่อ มันจะพัฒนาการไปอย่างมากในอนาคต” จือหยิงพูด
“จิตวิญญาณม่านพลังของเมืองทหารรับจ้างก็เป็นจิตวิญญาณที่เกิดมาจากพลังงาน อย่างไรก็ตาม มันมาจากแก่นแท้ของดิน ดังนั้นมันจึงอ่อนกว่าพลังงานดั้งเดิมโลหะอยู่เล็กน้อยในธาตุทั้งห้า มันน่าเสียดายทิ่จิตวิญญาณม่านพลังนั้นยังไม่สมบูรณ์ ไม่งั้นพัฒนาการของนางคงจะยิ่งใหญ่กว่าตอนนี้มาก” จือหยิงถอนหายใจ
“มันแค่โอกาสที่มันจะกลายไปเป็นจิตวิญญาณนั้นมีน้อยเกินไป ข้าไม่สามารถรับรองได้ว่าพลังงานดั้งเดิมนี้จะมีสติสัมปะชัญญะหรือไม่ ทั้งหมดขึ้นอยู่กับโชค” ซี่หยิงพูด
เจี้ยนเฉินลังเลเล็กน้อยกับสิ่งที่จิตวิญญาณกระบี่พูด แต่เขาก็ล้มเลิกความคิดที่จะเอาพลังงานดั้งเดิมของจิตวิญญาณโลหะไปในตอนท้าย ในเมื่อมันมีโอกาสที่จะเติบโตได้ ทำไมไม่ให้เวลามันหน่อยล่ะ ? มันจะดีที่สุดถ้ามันกลายเป็นจิตวิญญาณได้ แต่ถ้ามันไม่สามารถมีสติสัมปะชัญญะได้ มันก็ยังจะทรงพลังกว่าเดิมตามกาลเวลา ในตอนนั้น ประโยชน์จะมากกว่าที่จะใช้มันในการเพิ่มความแข็งแกร่ง
“ผู้อาวุโสรุยจิน พวกเราทิ้งพลังงานดั้งเดิมนี้ไว้นานกว่านี้ก่อนดีกว่า มันยังไม่สายที่จะเอามันออกมาเมื่อเราจำเป็นต้องใช้มัน” เจี้ยนเฉินพูดกับรุยจิน
“เจ้าตัดสินใจแล้ว เมื่อไรที่เจ้าต้องการที่จะเอามันออก ข้าสามารถช่วยเจ้าในการทำลายเกราะทังสเตนที่กันมันอยู่ได้” รุยจินพูด ในตอนนี้ความคิดเห็นของเขาที่มีแต่เจี้ยนเฉินก็เพิ่มขึ้นอย่างเร็ว พวกเขาได้กลายเป็นคนที่อยู่ในระดับความแข็งแกร่งเดียวกันมานานแล้ว ถึงแม้ว่าเขาจะไม่จำเป็นต้องทำให้เจี้ยนเฉินมีชีวิตอยู่ แต่แค่ความสามารถและความเร็วในการฝึกฝนของเจี้ยนเฉินก็ทำให้เขาเคารพเจี้ยนเฉินมากแล้ว
สายตาของรุยจินและเจี้ยนเฉินแข็งทื่อทันที และพวกเขาก็หันไปทิศทางเดียวกันพร้อมกัน ที่เส้นขอบฟ้า ประกายแสงห้าสีจางจางก็ปรากฏขึ้นมา ทำให้ท้องฟ้าดูมีหลากสี มันดูสวยงามมาก
“มีบางคนได้เป็นเซียนผู้คุมกฎแล้ว ในทิศทางนั้น มันน่าจะค่อนข้างใกล้กับอาณาจักรเกอซุน” เจี้ยนเฉินพึมพำ เขามองอย่างเฉยเมยมาก
รุยจินก็มองไปที่ทิศทางนั้นอย่างปกติก่อนที่หมดความสนใจไปเช่นกัน การเป็นเซียนผู้คุมกฎเป็นเรื่องใหญ่สำหรับคนธรรมดา แต่ไม่ใช่อะไรเลยในสายตาของเขา
เจี้ยนเฉินไม่ได้สนใจเมฆสีรุ้งที่อยู่ไกลไกลมากนักเช่นกัน ถ้าเป็นเมื่อหลายปีก่อน เขาคงจะคิดปฏิบัติต่อเซียนผู้คุมกฎในฐานะจอมยุทธที่แข็งแกร่งมาก แต่ในตอนนี้พวกนั้นกก็อ่อนแอมากเหมือนมด เขาไม่สนใจในคนที่มีความแข็งแกร่งในระดับนั้นอีกแล้ว
เจี้ยนเฉินและรุยจินออกจากแนวภูเขาไปและกลับไปที่เมือง เขาส่งหินหยกเพลิงที่รุยจินเติมพลังลงไปแล้วให้กับไป๋เหลียนในฐานะที่เป็นสมบัติที่จะใช้ปกป้องเมือง
หลังจากนั้น เจี้ยนเฉินก็เรียกเซียนผู้คุมกฎห้าที่เข้าร่วมกับทหารรับจ้างมาและพูดกับพวกเขา เจี้ยนเฉินให้พวกเขาสาบาน และบอกพวกเขาถึงผลลัพธ์จากการทรยศและอื่นอื่น จากนั้นเขาก็ไปหาตู่กูเฟิง ในตอนแรกเขาต้องการให้ตู่กูเฟิงหยุดสิ่งที่เขากำลังทำในตอนนี้ เพื่อที่เขาจะได้ทุ่มเทพลังงานทั้งหมดให้กับการฝึกฝนได้ อย่างไรก็ตาม เจี้ยนเฉินก็ทำอะไรไม่ได้ เมื่อตู่กูเฟิงชอบงานที่เขาทำอยู่ในตอนนี้มาก
ในตอนแรกเจี้ยนเฉินต้องการให้ตู่กูเฟิงเป็นแค่คนรับใช้ แต่เขาก็ปฏิบัติต่อตู่กูเฟิงเหมือนเป็นสหายที่ดีมาตลอดในปีที่ผ่านมา เขาไม่เคยบังคับให้ตู่กูเฟิงทำอะไรเลย ซึ่งนี่เป็นเหตุผลที่ว่าทำไมเจี้ยนเฉินจึงไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับทางเลือกของตู่กูเฟิง
“เจี้ยนเฉิน ความแตกต่างในความแข็งแกร่งของพวกเราในตอนนี้นั้นเหมือนฟ้ากับเหว ข้าไม่สามารถตามเจ้าได้ทันไม่ว่าข้าจะฝึกฝนเท่าไรก็ตาม ดังนั้นมันจึงไม่มีเหตุผลอะไรที่จะตามเจ้าไปอีก ทั้งหมดที่ข้าจะทำได้มีเพียงอยู่ที่เมืองอัคนีและช่วยเจ้าจัดการธุระต่าง ๆ “
“เมืองอัคนีนั้นใหญ่มาก แต่มันก็เติบโตเร็วเกินไป ดังนั้นมันจึงมีปัญหามากมายในการบริหาร สองเรื่องที่แย่ที่สุดคือกฎและระเบียบ ถ้าสิ่งเหล่านั้นไม่ถูกจัดการอย่างดี ปัญหาจะเกิดกับทหารรับจ้างในไม่ช้าก็เร็ว” นี่เป็นคำอธิบายที่ตู่กูเฟิงบอกกับเจี้ยนเฉินเช่นเดียวกันกับเหตุผลที่เขารับตำแหน่งผู้อาวุโสคุมวินัย
เจี้ยนเฉินอยู่ในเมืองอีกสองวันก่อนที่จะจากไปพร้อมกับไป๋ไฮหลังจากที่แจกจ่ายงานบางอย่างไปแล้ว เขากลับไปที่ตระกูลเจียงหยางในเมืองลอร์ผ่านประตูมิติของรุยจิน
ทันทีที่เขากลับไป เจียงหยาง ซู หยวนเซียวก็กำลังตามหาเขา เขาเรียกเจี้ยนเฉินไปที่โถงประชุมในขณะที่รุยจินและไป๋ไฮไปพักผ่อน พวกเขาไม่ได้ตามเจี้ยนเฉินไปที่โถง
เจี้ยนเฉินพบคนที่ไม่คุ้นเคยบางคนทันทีที่เขาเข้าไปในโถงใหญ่ พวกเขาเป็นชายชราและหญิงสามคน อย่างไรก็ตาม สิ่งที่มำให้เจี้ยนเฉินตกใจก็คือการที่โหยวเยว่ก็อยู่ที่นี่ด้วยและไม่ได้ฝึกฝนอยู่ในอวกาศ ท่าทีของนางไม่ค่อยดีเท่าไร
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินหมองลงเล็กน้อยเมื่อเขาสังเกตเห็นท่าทางของโหยวเยว่ เขาดูเหมือนจะตระหนักได้ถึงบางอย่างก่อนที่จะสังเกตุไปที่คนนอกทั้งสี่คน
ชายชรามีผิวสีเลือดฝาดและมีกลิ่นอายเหมือนปราชญ์ เหมือนกับผู้เป็นอมตะ เขานั่งอยู่อย่างสบายและไม่ได้พูดอะไร
เจี้ยนเฉินเคยพบชายชราคนนี้มาก่อน เขาเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลผู้พิทักษ์เจียงหยาง เซียนราชาชั้นสวรรค์ที่ 6
หนึ่งในหญิงทั้งสามคนนี้เป็นหญิงสวยวัยกลางคน นางเป็นเซียนผู้คุมกฎในขณะที่หญิงอีกสองคนดูเหมือนจะมีอายุยี่สิบกว่าปี พวกนางมีหน้าตาที่ค่อนข้างโดดเด่นเช่นกัน แต่พวกนางก็เป็นเซียนสวรรค์
“เจี้ยนเฉิน นี่เป็นหนึ่งในเจ็ดผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลผู้พิทักษ์เจียงหยาง เจียงหยาง ชิง จูริ เขาเป็นทวดของเจ้าถ้านับตามความอาวุโส” เจียงหยาง ซู หยวนเซียวแนะนำเขากับเจี้ยนเฉิน
เจียงหยาง ชิง จูริจ้องไปที่เจี้ยนเฉินตั้งแต่ที่เขาเดินเข้ามา หลังจากที่เจียงหยาง ซู หยวนเซียวแนะนำเขาแล้ว เขาก็ยืนขึ้นทันทีและเขาก็ยิ้มอย่างกันเอง เขาพูด “เจ้าต้องเป็นเซียงเทียนแน่ เจ้าเป็นอัจฉริยะจริง ๆ ตระกูลผู้พิทักษ์ได้ความรุ่งโรจน์จากเจ้า มานั่ง มานั่ง” เจียงหยาง ชิง จูริปฏิบัตต่อเจี้ยนเฉินอย่างสุภาพ แม่ว่าเจี้ยนเฉินจะเป็นผู้เยาว์เมื่อนับตามอายุ แต่เขาก็ไม่ได้ทำตัววางมาด
เจี้ยนเฉินคำนับอย่างสุภาพก่อนที่จะนั่งลงไปที่นั่งว่างข้าง ๆ โหยวเยว่ เขาถามอย่างสุภาพในขณะที่เขามองไปที่ท่าทางที่มีปัญหาของโหยวเยว่ “เยว่เอ่อเกิดอะไรขึ้นที่นี่ ? “
เห็นได้ชัดว่าโหยวเยว่ผ่อนคลายลงในตอนนี้ที่เจี้ยนเฉินมาได้ทันเวลา นางดูเหมือนเจอคนที่นางสามารถพึ่งพาได้ และความกังวลมากของนางก็หายไป นางพูดกับเจี้ยนเฉิน “พวกเขาต้องการโถงศักดิ์สิทธิ์จันทร์แจ่มของข้า”
“อะไรนะ ! ” ท่าทางของเจี้ยนเฉินเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็วหลังจากนั้น และเปลี่ยนไปเป็นย่ำแย่