เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 11 : สำนักคากัต
Chaotic Sword God ตอนที่ 11 สำนักคากัต
ไป๋หยุนเทียนลูบศีรษะเจี้ยนเฉินด้วยท่าทีที่เต็มไปด้วยความรัก นางค่อย ๆ เดินตรงไปข้างหน้า “พี่สาม นี่ล้วนเป็นการเล่นต่อสู้กันระหว่างเด็กสองคน ไม่ใช่สิ่งที่พวกเราควรจะต้องวิตกกังวล มันไม่มีประโยชน์หากจะโกรธ ถึงอย่างไรพวกเขานั้นก็เป็นเพียงแค่เด็ก ในตอนนี้ พวกเราที่พวกเราควรจะสนใจคือการรักษาบาดแผลของเค่อเอ๋อ”
ด้วยคำพูดของไป๋หยุนเทียน ถึงยังไงก็ตามความโกรธจะยังคงมีอยู่ หยูเฟิงหยานได้แต่พลุ่งพล่านด้วยความโกรธอย่างเงียบ ๆ นางกลัวว่าถ้านางยังคงโวยวายทุกคนเกี่ยวกับการกระทำของเด็กเล็ก ๆ ดังกล่าว พี่น้องทั้งสามคนจะมองว่านางเป็นคนไม่ดี
ไป๋หยุนเทียนเดินไปหาเจียงหยางเค่อซึ่งเอนหลังอยู่ นางหลับตาและนำมือทั้งสองข้างของนางวางเหนือบาดแผลเด็กชาย มือของนางวนเวียนอยู่ที่นั่นสักครู่ก่อนที่แสงสีขาวเรืองจาง ๆ จะปรากฏขึ้น
ดวงตาของเจี้ยนเฉินทอประกายด้วยความสนใจ เขาสัมผัสได้อย่างชัดเจนว่าพลังพิเศษบางอย่างค่อย ๆ รวมกันอยู่ในมือของมารดาเขา รวมตัวเป็นแสงสีขาวจาง ๆ นอกจากนี้พลังพิเศษประเภทนี้เป็นอำนาจเดียวกันกับที่เป็นที่ต้องการ การรวบรวมพลังเป็นลูกบอลแสงเช่นนี้ บางทีเขาอาจจะทำมันได้ในไม่ช้า
เจี้ยนเฉินเริ่มที่จะให้ความสำคัญกับการเคลื่อนไหวของมารดาของเขา และในการกระทำเช่นนั้นเขาก็ตระหนักว่าเขาไม่แน่ใจ ถ้าเขาสามารถที่จะเข้าใจวิธีการที่คล้ายคลึงของมารดาเขาในการถ่ายเทพลังงาน อย่างไรก็ตาม เขาก็ค้นพบว่าหากอายุที่เพิ่มขึ้นก็จะมีความสามารถในการผสานความแข็งแกร่งของโลกนี้ได้อย่างซับซ้อน
ประกายแสงสีขาวในมือของไป๋หยุนเทียน ส่องประกายมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่อย่างไรก็ตาม แสงนั่นกลับไม่ระคายเคืองตา หลังจากไม่กี่ลมหายใจ นางสะบัดแขนของนางและประกายแสงสีขาวด้านซ้ายมือของนางก็ลอยลงไปบริเวณท้องของเจียงหยางเค่ออย่างช้า ๆ กลืนกินบาดแผลทีละน้อย ผ้าพันแผลสีขาวที่มีอยู่แล้วบดบังมุมมองของเจี้ยนเฉินว่าสิ่งที่ลูกบอลพลังงานสีขาวนั้นได้ทำลงไปและการเปลี่ยนแปลงที่กำลังจะเกิดขึ้น
หลังจากความพยายามอย่างหนักของนางเสร็จสิ้น ไป๋หยุนเทียนผ่อนลมหายใจอย่างช้า ๆ “น้องสาม เจียงหยางเค่อสบายดีแล้ว ในตอนนี้ไม่มีบาดแผลปรากฏอีกต่อไป”
รอยยิ้มที่มีความสุขปรากฏขึ้นบนใบหน้าของหยูเฟิงหยาน นางกล่าวขอบคุณไป๋หยุนเทียนสั้น ๆ ก่อนที่จะก้าวไปข้างเตียงของเจียงหยางเค่ออย่างรวดเร็ว นางแสดงความห่วงใยต่อบุตรชายของนางและถามว่า “เค่อเอ๋อ ตอนนี้เจ้ารู้สึกเป็นอย่างไร แผลของเจ้ายังคงเจ็บอยู่หรือไม่? “
เจียงหยางเค่อยกมือขึ้นมาแตะที่บริเวณท้องของเขาและหัวเราะ ก่อนที่จะเริ่มฉีกผ้าพันแผลของเขาออก “ท่านแม่ ในตอนนี้ ลูกสบายดีเป็นอย่างมาก “
หลังจากผ้าพันแผลเปิดออก ก็เป็นที่ชัดเจนว่าแผลบนท้องของเจียงหยางเค่อหายไป เหลือเพียงรอยเลือดขนาดย่อมที่ยังคงอยู่ แต่นอกเหนือจากนั้นก็ไม่มีริ้วรอยบาดแผลหลงเหลืออยู่เลย
เมื่อเห็นนี้ ทันใดนั้นเจี้ยนเฉินก็เข้าใจ พลังงานลึกลับประเภทนี้เป็นพลังธาตุที่หาได้น้อยของเซียนธาตุแสง ที่ซึ่งพลังงานของพวกเขามีผลการรักษาที่พิเศษซึ่งสามารถรักษาอาการบาดเจ็บใดก็ตามได้ไม่ว่าจะร้ายแรงเพียงใด ภายใต้การดูแลของเซียนธาตุแสง ไม่ว่าบาดแผลใด ๆ ก็จะได้รับการเยียวยาอย่างรวดเร็ว ในเมื่อแม่ของเขาเป็นเซียนธาตุแสง นางก็สามารถที่จะใช้พลังงานธาตุแสงนี้ ตำนานกล่าวว่าเซียนธาตุแสงบางคนที่แข็งแกร่งมากถึงกับสามารถสร้างแขนของใครบางคน หรือแม้แต่กระทั่งชุบชีวิตคนที่ตาย
ภายในหัวเจี้ยนเฉิน เขาลอบคิด หากเขาสามารถที่จะเข้าใจและดูดซับพลังงานถึงระดับเซียนธาตุแสง เขาอาจสามารถที่จะเป็นเหมือนมารดาของเขาและใช้พลังงานธาตุแสงในการเยียวยาบาดแผล
ขณะที่เขาคิดเช่นนี้ มันช่วยไม่ได้ที่เจี้ยนเฉินจะรู้สึกกระวนกระวายใจและอยากที่จะทดสอบมันออกมา อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุดเขาก็ยังต้องทนต่อสิ่งล่อใจ เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันของเขามันไม่เหมาะสมสำหรับการทดลองนี้
ในขณะที่ประตูห้องเปิดกว้าง เจี้ยนเฉินเหลือบมองไปที่คนที่เดินเข้ามาด้วยกัน; มันเป็นบิดาของเขา เจียงหยางป้าและพ่อบ้านตระกูลเจียงหยาง เจียงไป่
“เค่อเอ๋อเป็นอย่างไร อาการบาดเจ็บสาหัสหรือไม่ ? ” เจียงหยางป้าถามด้วยน้ำเสียงวิตกกังวล
“ข้าขอบคุณท่านพี่ที่เอาใจใส่ แต่น้องสี่รักษาบาดแผลเรียบร้อยแล้ว ตอนนี้เค่อเอ๋อสบายดี” ใบหน้าหยูเฟิงหยานเผยให้เห็นรอยยิ้ม เจียงหยางป้าได้แสดงความใส่ใจบางอย่างสำหรับบุตรชายของเขา ดังนั้นนางจึงรู้สึกมีความสุข
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว!” เจียงหยางป้าพยักหน้าและมองไปที่เจี้ยนเฉิน “เซียงเอ๋อ หลายวันผ่านมานี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ?” แม้เมื่อพูดคุยกับเจี้ยนเฉินความใส่ใจนั้นก็ยังคงอยู่
“ข้าขอบคุณสำหรับความเอาใจใส่ของท่านพ่อ ลูกชายของท่านสบายดี” น้ำเสียงเจี้ยนเฉินนั้นยังคงเหมือนเดิม นับตั้งแต่การสิ้นสุดของการทดสอบพลังเซียน นี่เป็นครั้งแรกที่เจียงหยางป้าและเจี้ยนเฉินได้พูดคุยกัน
ได้ยินเจี้ยนเฉินกล่าวสั้น ๆ เช่นนั้น มันช่วยไม่ได้ที่เจียงหยางป้าจะลอบถอนหายใจกับตัวเอง “เซียงเอ๋อ เจ้าจงตามพ่อมาที่ห้องทำงาน” เจียงหยางป้ากล่าวจบ ก็เดินออกไปจากห้องพัก
เจี้ยนเฉินติดตามเจียงหยางป้าและเจียงไป่ไปยังห้องทำงานในทันที ก่อนจะนั่งลงบนเก้าอี้ เจียงหยางป้าจ้องมองเจี้ยนเฉินสักพักก่อนที่จะถามเขาว่า “เซียงเอ๋อ ข้าได้ยินมาว่า เมื่อในตอนเช้าเจ้าทำร้ายบ่าวรับใช้ที่ชื่อซิ่วเอ้อในโรงครัว.”
“นั่นคือความจริง !” เฉินเจี้ยนได้ตระหนักแล้วว่าพลังที่แท้จริงของเขาได้รับการเปิดเผยแล้ว ดังนั้นมันจึงไม่อาจปกปิด
แววตาของเจียงหยางป้าเต็มไปด้วยความสุข ขณะที่เขาหัวเราะและกล่าวเบา ๆ ว่า “เซียงเอ๋อ? ทำไมเจ้าไม่บอกพ่อว่าเจ้าสามารถบ่มเพาะพลังเซียนได้”
เจี้ยนเฉินพยักหน้าอย่างแผ่วเบาและก่อนจะตอบออกมาอย่างกลาง ๆ “ใช่ !” เขารู้ดีว่าไม่มีทางที่เขาจะปกปิดข้อเท็จจริงนี้ เขาจึงยอมรับในคำตอบนั้นอย่างตรงไปตรงมา
แม้ว่าเขาจะคาดเดาแล้วว่า เจี้ยนเฉินสามารถบ่มเพาะพลังเซียนได้ แต่การได้ยินมันจากปากของเจี้ยนเฉินเองนั้น มันทำให้เจียงหยางป้าอารมณ์ดี
“เจียงไป่ เป็นไปได้ไหม ที่จะทดสอบพลังเซียนของเซี่ยงเอ๋ออีกครั้ง” เจียงหยางป้าก็มีความสุขในขณะนี้เป็นอย่างมาก แต่เขาก็ยังพูดกับเจียงไป่อย่างสุภาพ ไม่ใช่ทุกคนที่ผู้นำตระกูลจะพูดด้วยถ้อยคำเช่นนี้กับพ่อบ้านเพื่อให้ทำบางสิ่งบางอย่าง
แต่เจียงไป่เพียงแค่เพียงหัวเราะและโบกมือที่มีแหวนมิติของเขา มีหินศักดิ์สิทธิ์ปรากฏขึ้นตรงหน้าของเจี้ยนเฉิน “นายน้อยสี่ โปรดวางมือที่ด้านบนของหิน !” เขากล่าวด้วยน้ำเสียงที่อบอุ่น
ขณะที่เจี้ยนเฉิน วางมือของเขาบนหินศักดิ์สิทธิ์ เจียงไป่กระตุ้นอะไรบางอย่างในนั้น ในทันที ที่มันเริ่มต้นเจี้ยนเฉินรู้สึกอีกครั้งว่าพลังปริศนาบางอย่างที่ถูกปล่อยออกมาจากหินศักดิ์สิทธิ์ไหลเข้าสู่ร่างกายของเขาผ่านทางแขนของเขา มันไหลวนเป็นวงกลมก่อนที่จะกลับไปยังหินศักดิ์สิทธิ์ ในเวลาเดียวกันมีเพียงสิ่งเดียวที่เห็นจากภายในหินนั้นก็เปล่งแสงเรืองแสงสีแดงจาง ๆ
เห็นประกายแสงสีแดง เจียงหยางป้าแสดงให้เห็นถึงอารมณ์ตื่นเต้น แม้แต่เจียงไป่ ขณะนี้มีก็มีรอยยิ้มจาง ๆ และเขามองไปที่เจี้ยนเฉิน ความพอใจปรากฏอยู่บนใบหน้าเขา
“เรียนท่านผู้นำตระกูล จากการเปล่งแสงนั้น แสดงให้เห็นว่านายน้อยสี่ก้าวถึงพลังเซียนระดับสี่แล้ว” เจียงไป่กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มบาง ๆ
“ระดับที่สี่ …. ระดับที่สี่ ” เจียงหยางป้าค่อย ๆ ลุกขึ้นยืนจากเก้าอี้ของเขาและด้วยความตื่นเต้น เขากำมือแน่น ก่อนหน้านี้เขาได้สงสัยมัน แต่นั่นมันก็เป็นแค่การคาดเดา แต่ตอนนี้เขารู้ว่าสิ่งนั้นเกิดขึ้นจริง เขามีความรู้สึกแปลกใหม่ในจิตใจของเขา
เจี้ยนเฉินได้ก้าวถึงพลังเซียนขั้นที่ 4 ด้วยอายุเพียง 7 ขวบ แม้ว่าบางทีระดับนี้ไม่ได้โดดเด่นมากเมื่อเทียบกับทั้งทวีปเทียนหยวน แต่ภายในอาณาจักรเกอซุนนี้ก็เพียงพอที่จะมีคุณสมบัติเป็นอัจฉริยะชั้นนำ นอกจากนี้ พลังเซียนของเจี้ยนเฉินยังล้ำหน้าพี่สามของเขา เจียงหยางเค่อ ซึ่งอายุมากกว่าเขา 3 ปี ขึ้นมาถึงระดับสี่
เจียงไป่เก็บหินศักดิ์สิทธิ์อีกครั้งในแหวนมิติของเขา เขายิ้มด้วยความพึงพอใจ “นายน้อยสี่ ท่านไม่ได้ทำให้ข้าผิดหวังจริง ๆ”
เจียงหยางป้าสงบใจอย่างรวดเร็วและเหลือบมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยแววตาที่เปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์ ดวงตาของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความประหลาดใจ, ความตื่นเต้น และความรู้สึกขอบคุณ
จนกระทั่งที่เจี้ยนเฉินออกจากห้องทำงาน มันก็เป็นเวลาเกือบเที่ยง ทันใดนั้นหลังจากเจี้ยนเฉินออกไป เจียงหยางป้ามองที่เจียงไป่และด้วยน้ำเสียงสงสัยเล็กน้อย เขากล่าวว่า “เจียงไป่ ในเมื่อเซี่ยงเอ๋อมีพลังเซียน แล้วทำไมตอนที่เขาได้รับการทดสอบ มันไม่พบ? จนกระทั่งมันทำให้ข้าคิดว่าเซี่ยงเอ๋อนั้นไม่สามารถบ่มเพาะพลังเซียน “
เจียงไป่ขมวดคิ้วของเขาและหลังจากขบคิดเกี่ยวกับมันอย่างช้า ๆ กล่าวว่า “ข้าไม่แน่ใจ บางทีอาจจะเป็นการทดสอบพลังเซียนในครั้งนั้นมีบางอย่างที่ผิดพลาด แต่นี่มันไม่สำคัญอีกต่อไปแล้ว!”
เจียงหยางป้าพยักหน้า “ปัจจุบัน เซียงเอ๋ออายุเพียง 7 ปีและเขาได้ตัดผ่านพลังเซียนระดับสี่ ถ้าให้ข้าทำนาย ในที่สุดแล้วเซียงเอ๋อจะจะตัดผ่านระดับพลังเซียนด้วยอายุ 18 ปีและจะสามารถใช้อาวุธเซียน นอกจากนี้เซียงเอ๋อนั้นคืออัจฉริยะที่โดดเด่นตั้งแต่เด็ก ข้าต้องการส่งเขาไปเข้าเรียนที่สำนักคากัต เจียงไป่ เจ้าคิดอย่างไร”
ได้ยินคำพูดเหล่านี้เจียงไป่ครุ่นคิดแล้วกล่าวว่า “สำนักคากัต เป็นสถาบันการศึกษาที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในอาณาจักรเกอซุนของเรา อย่างไรก็ตามเกณฑ์ที่จะเข้าสู่สถาบันอยู่ในระดับสูง ความแข็งแรงของบุคคลนั้นจะต้องมีพลังเซียนในระดับแปด และอายุของเขาหรือนางไม่สามารถเกินกว่า 18 ปี หากท่านผู้นำตระกูลที่ต้องการส่งนายน้อยสี่ไปที่สำนักคากัตในเร็ว ๆ นี้ ข้าเกรงว่ามันเป็นไปไม่ได้เช่นในช่วงเวลาสั้น ๆ แม้ว่านายน้อยสี่จะอยู่ในระดับสี่ แต่การก้าวจากระดับสี่ไปถึงระดับแปดนั้นส่วนใหญ่มีแนวโน้มจะใช้เวลาค่อนข้างนาน และพลังเซียนระดับที่สูงขึ้น มันก็ย่อมที่จะยากขึ้นด้วยเช่นกัน”
“ข้าหวังว่าเซี่ยงเอ๋อจะสามารถฝึกฝนได้อย่างรวดเร็วจนถึงระดับแปดภายในไม่กี่ปีหลังจากนี้” เจียงหยางป้าพูดอย่างนุ่มนวล
จางไป่ยิ้ม “อย่าได้กังวลเกินไป ท่านผู้นำตระกูล ข้าเชื่อว่านายน้อยสี่จะก้าวไปถึงระดับแปดได้อย่างแน่นอาน ไม่ช้าก็เร็ว ปัญหาเดียวคือเวลา เมื่อตอนที่ข้าประเมินพลังของนายน้อยสี่ ข้าค้นพบว่าระดับพลังของนายน้อยสี่อยู่ไม่ไกลจากระดับห้าเลย “
ได้ยินคำพูดนี้ เจียงหยางป้าก็ไม่สามารถที่จะเก็บงำความสุขของเขาได้ ในขณะที่เขาพึมพำ “ข้าหวังว่าในภายหน้าเซียงเอ๋อจะกลายเป็นเสาหลักสำคัญของตระกูล”
เจียงไป่ยืนอยู่ด้านข้าง ยิ้มออกมาอย่างไร้คำพูด แต่อย่างไร ที่เขามองนั้นมันก็ไม่ได้เกินความคาดหมายนัก
…….
หลังจากออกจากทำงานนั้น ทันใดนั้นเจี้ยนเฉิน รีบวิ่งกลับไปที่ห้องของเขาเอง เขาปิดประตูแน่นหนาและเขาเรียกความทรงจำ ฉากที่น่ากลัวทั้งหมดของการต่อสู้กับเจียงหยางเค่อ
แม้ว่าเจี้ยนเฉินรู้ว่าในระหว่างการต่อสู้ของเขากับต๊กโกวคิ้วป่ายในโลกของเขาก่อนหน้านี้ ทำให้เขาพัฒนาและเข้ามาขอบเขตเทพกระบี่ แต่เขาไม่กล้าที่จะคิดว่าหลังจากที่มาเกิดใหม่อีกครั้ง เขาจะยังคงสามารถที่จะประสบความสำเร็จได้ เพียงแค่คิดเกี่ยวกับความสามารถที่โดดเด่นก็ทำให้เจี้ยนเฉินเต็มไปด้วยความสุขและความตื่นเต้น
แต่เมื่อเจี้ยนเฉินคิดทบทวน เมื่อกิ่งไม้นั้นปลดปล่อยปราณกระบี่ออกมา เขาเริ่มที่จะสงสัย เขาไม่ได้มีความแข็งแกร่งเดียวกับที่เขาได้จากโลกก่อนหน้านี้ ดังนั้นเขาควบคุมกิ่งไม้ด้วยสิ่งที่คล้ายกับปราณกระบี่ด้วยวิธีใด
ในขณะที่เขาครุ่นคิดนี้เจี้ยนเฉินตัดสินใจที่จะให้ลองมันอีกครั้ง มองรอบ ๆ ห้องพัก, ดวงตาของเขาสังเกตเห็นชั้นไม้ที่วางเสื้อผ้าที่อยู่บริเวณใกล้เคียง ไม้นั้นยาวเกือบสองฟุต เจี้ยนเฉินจะใช้มันเป็นกระบี่ชั่วคราว
ถือไม้ที่ยาวสองฟุต ทำสมาธิ ลึกลงไปในใจของเจี้ยนเฉินอย่างช้า ๆ เขาเริ่มที่จะทำให้ตัวเองเชื่อว่าไม้ในมือของเขาไม่ได้เป็นไม้ แต่มันคือกระบี่ กระบี่เทพเจ้าที่สามารถเอาชนะสิ่งที่เป็น อย่างช้า ๆ ในขณะที่เขาหลอมรวมตนเองเข้ากับมัน เขารู้สึกถึงลายไม้ในมือของเขาและเห็นพวกมันอย่างชัดเจน เขาเข้าใจถึงองค์ประกอบภายในทั้งหมดของมัน
สูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เขาพยายามที่จะระงับความรู้สึกของอารมณ์ ภายในใจของเขา เมื่อเขาควบคุมอารมณ์ได้ สิ่งของในมือของเขาบินไปในอากาศ
ทันใดนั้นจิตใจเจี้ยนเฉินได้เข้าถึงสภาวะนี้แล้ว การเชื่อมต่อระหว่างไม้และจิตวิญญาณของเขา ขณะที่ไม้นั้นค่อย ๆ ลอยออกจากมือของเขาลอยไปกลางอากาศ ขณะที่ยังคงอยู่ภายใต้การควบคุมเจี้ยนเฉิน มันขยับช้า ๆ ไปข้างหน้าก่อนที่จะเปล่งรังสีของแสงสีขาวเผยให้เห็นปราณกระบี่ที่เขาคุ้นเคยกับมัน
ในเวลานี้เองเจี้ยนเฉินได้ตระหนักถึงจิตวิญญาณของเขาได้หลอมรวมอย่างสมบูรณ์กับไม้นั้น ไปจนถึงจุดที่มันมีความรู้สึกราวกับว่ามันเป็นแขนของเขาเอง เขาควบคุมมันอย่างง่ายดายด้วยตัวของเขาเอง ในขณะเดียวกันเขาก็ตระหนักว่าปราณกระบี่ในไม้นั้นสามารถทำสิ่งต่าง ๆ ได้ด้วยจิตใจของเขา
ด้วยความตระหนักว่า เจี้ยนเฉินได้เห็นรังสีสว่างของแสงที่มาจากไม้และบินโฉบไปทั่วร่างกายของเขาด้วยความเร็วที่รวดเร็ว แม้กระทั่งเจี้ยนเฉินไม่สามารถมองเห็นอย่างชัดเจน
หัวใจของเจี้ยนเฉินเต้นอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ใบหน้าของเขาเผยให้เห็นความสุขที่เต็มเปี่ยม เขาไม่ได้คิดว่าเป็นช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิตของเขาในโลกก่อนหน้านี้เขาจะสามารถที่จะเข้าใจจิตวิญญาณของกระบี่
จากวันนั้น ในความสามารถที่โดดเด่นของกระบี่วิญญาณ ไม่ได้เป็นเพียงการโจมตีที่แข็งแกร่งเจี้ยนเฉิน แต่มันยังเป็นทักษะที่สามารถช่วยชีวิตของเขา
วันเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว ปัจจุบันเจี้ยนเฉินอายุ 15 ปีแล้ว ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เจี้ยนเฉินไม่ค่อยได้ออกไปข้างนอกและใช้เวลาทุกวันในห้องของเขาการฝึกฝนบัญญัติกระบี่นภา ความแข็งแกร่งของเขาได้รับการเปิดเผยและเขาได้รับการยอมรับว่าเป็นอัจฉริยะในการบ่มเพาะพลัง ดังนั้นจุดยืนของเขาในตระกูลเจียงหยางมีการเปลี่ยนแปลง; ไม่มีใครแม้แต่คนเดียวในบ้านที่กล้ามองเขาอย่างดูถูก
นอกจากนี้ เจียงหยางป้ายังดูแลเจี้ยนเฉินอย่างดียิ่ง เอาใจใส่ในทุกทางที่เป็นไปได้ ทั้งหมดนี้ คนที่มีความสุขที่สุดคนหนึ่งนั้นก็คือไป๋หยุนเทียน แต่เดิมที่ลูกชายของนางก็ถือว่าเป็นคนพิการไม่สามารถที่จะบ่มเพาะพลัง แต่ตอนนี้เขาได้กลายเป็นอัจฉริยะในด้านการบ่มเพาะพลัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่ที่เขาก้าวถึงระดับสี่ของพลังเซียนตั้งแต่อายุ 7 ขวบ ใคร ๆ ก็สามารถจินตนาการได้ว่าไป๋หยุนเทียนมีความสุขแค่ไหนเกี่ยวกับลูกชายที่น่าอัศจรรย์ของนาง
อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉิน พบว่านับตั้งแต่ที่เขาได้เผยให้เห็นความแข็งแกร่งที่แท้จริงของเขา ป้าใหญ่ของเขาหลิงหลงและป้าสามหยูเฟิงหยาน ดูเหมือนมักจะมองเขาด้วยสายตาที่ไม่เป็นมิตร สถานการณ์เช่นนี้ จากความทรงจำของชีวิตของเขาก่อนหน้านั้น มันทำให้เขาตระหนักถึงมันได้ไม่ยาก
ภายในเวลาไม่กี่ปีที่ผ่านมาเจี้ยนเฉินได้มาถึงระดับแปดของพลังเซียน นอกจากนี้เป็นเพราะเจี้ยนเฉินได้จงใจชะลอความก้าวหน้าของเขาลง นั่นเป็นเพราะในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเจี้ยนเฉินได้ใช้เกือบครึ่งหนึ่งของเวลาทั้งหมดในการทำความคุ้นเคยกับบัญญัติกระบี่นภาในชีวิตที่แล้วของเขา มิฉะนั้นเขาคงก้าวผ่านระดับแปดไปนานแล้ว เนื่องจากเจี้ยนเฉินก็ไม่ได้ห่างไกลจากการเข้าถึงระดับเก้าเลย
ทันใดนั้น ภายในตระกูลเจียงหยาง พลังเจี้ยนเฉินได้ก้าวผ่านทั้งพี่สองของเขา เจียงหยางหมิงเย่ว และพี่สามของเขา เจียงหยางเค่อ แม้ว่าเจียงหยางหมิงเย่วจะอายุมากกว่าเจี้ยนเฉินหลายปี พลังเซียนของนางหยุดลงที่ระดับเจ็ด สำหรับเจียงหยางเค่อ เขาไม่เคยมีความสามารถใด ๆ ในการบ่มเพาะพลังและปัจจุบันเขาอายุ 17 ปี และเขาได้ประสบความสำเร็จเพียงระดับห้าของพลังเซียนด้วยความยากลำบาก
ในตอนเช้าซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ของคนรวมตัวกันที่ด้านนอกห้องโถงใหญ่ ในบรรดากลุ่มครอบครัวของเจี้ยนเฉิน ป้าทั้งสามของเขาและแม้กระทั่งพี่สามของเขา เจียงหยางเค่อ และพี่สองของเขา เจียงหยางหมิงเยว่ อยู่ห่างไปไม่ไกลจากเขา พ่อบ้านตระกูลเจียงหยางยืนอยู่ตรงนั้น มีนกตัวหนึ่ง มันเป็นสัตว์อสูร มันตัวใหญ่ราว 3 เมตรและยืนสงบอยู่บนพื้นดิน ไม่ห่างไปจากฝูงชน
วันนี้เป็นวันที่เจี้ยนเฉินจะออกเดินทางไปยังสำนักคากัตเพื่อเรียนรู้ มาตรฐานขั้นต่ำที่จะเข้าสู่สำนักคากัตได้ จะต้องบรรลุพลังเซียนในระดับที่แปด นอกจากนี้อายุของบุคคลนั้นจะต้องไม่เกิด 18 ปี ปัจจุบันเจี้ยนเฉินเข้าถึงมาตรฐานนี้แล้ว
นอกจากวันนี้ มีวันนี้เท่านั้นที่จะสามารถลงทะเบียนเพื่อเข้าในสำนักคากัตนี้ ที่ซึ่งเกิดขึ้นเพียงปีละครั้งเท่านั้น
ใบหน้าของไป๋หยุนเทียนปกคลุมไปด้วยน้ำตา ขณะที่นางมองที่เจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความรัก นางกล่าวว่า “เซียงเอ๋อ เจ้าต้องขยันหมั่นเพียรในการศึกษาที่สำนักแห่งนี้ พยายามอยู่ให้ห่างจากปัญหา เข้าใจหรือไม่ ? ” ไป๋หยุนเทียน นางกล่าว ด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความกังวลลึก ๆ
เจี้ยนเฉินพยักหน้าอย่างเชื่อฟังและกล่าวว่า “อย่าได้กังวลไปเลยท่านแม่ ข้ารู้ดีว่าอะไรคือที่สิ่งที่ข้าควรทำ”
เจียงหยางป้าเดินเข้าไปหาเจี้ยนเฉินและกล่าวว่า “เซี่ยงเอ๋อ นี่คือเข็มขัดมิติที่พ่อเตรียมไว้สำหรับเจ้าโดยเฉพาะ แม้ว่ามันจะเป็นอะไรที่ไม่ล้ำค่าและมีพื้นที่ภายในไม่กว้างขวางมากนัก แต่มันก็ยังคงสามารถเก็บสิ่งของเล็ก ๆ น้อย ๆ ถ้าเจ้าก้าวไปถึงระดับสิบภายในอายุสิบแปดปี และหลอมรวมอาวุธเซียนได้แล้ว พ่อให้รางวัลเจ้าด้วยแหวนมิติและแกนอสูร” ขณะที่เอ่ย เข็มขัดที่สวยงามเป็นอย่างมากปรากฏอยู่ในมือของเขา เมื่อเห็นขนาดของเข็มขัด มันก็เห็นได้ชัดว่ามันได้รับการออกแบบมาให้เจี้ยนเฉินโดยเฉพาะ
เห็นเจียงหยางป้าเอาใจใส่กับเจี้ยนเฉิน หลิงหลงและหยูเฟิงหยานที่กำลังยืนอยู่ใกล้ ๆ อดไม่ได้ที่จะอิจฉา ได้แต่แสดงให้เห็นร่องรอยของความอิจฉาอยู่ลึก ๆ และความไม่พอใจ อย่างไรก็ตาม อาศัยการมองด้วยตาของทุกคนที่มารวมตัวกัน นอกจากเจี้ยนเฉินแล้วก็ไม่มีใครได้สังเกตเห็นพวกมัน
เจี้ยนเฉินรับเข็มขัดและกล่าวด้วยความมั่นใจในตนเองอย่างกล้าแข็ง “ท่านพ่อ ข้ามั่นใจว่าจะกลายเป็นเซียนในไม่ช้านี้”
เจียงหยางป้ายิ้มและเขามองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความพึงพอใจ
“นายน้อยสี่ มันกำลังจะสาย พวกเราควรออกเดินทางในตอนนี้ ” ในขณะนั้นพ่อบ้าน เจียงไป่ ที่ยืนอยู่ด้านข้างพูดขึ้น
เจี้ยนเฉินชำเลืองมองไปที่มารดาของเขาเป็นครั้งสุดท้ายและเดินไปที่เจียงไป่ โดยปราศจากการหันหลังกลับและกล่าวว่า “เจียงไป่ ออกเดินทางได้”
เจียงไป่ยื่นมือมายกตัวเจี้ยนเฉินขึ้นไปบนด้านหลังของสัตว์อสูร หลังจากนั้นเขากระโดดขึ้นไปด้านบนด้วยเช่นกัน เขานั่งถัดจากเจี้ยนเฉินไป เขายิ้มบาง ๆ ให้เจี้ยนเฉินและกล่าวว่า “นายน้อยสี่ โปรดนั่งให้มั่นคง”
หลังจากนั้นเจียงไป่เพียงตบเบา ๆ ไปที่สัตว์อสูรในทันที สัตว์อสูรได้รับคำสั่ง มันกางปีกที่ยาว 10 เมตรของมันออก เพื่อที่จะบินขึ้น โดยโผขึ้นตรงไปในอากาศและเริ่มที่จะบินออกไปได้อย่างรวดเร็วในระยะทางอันไกลโพ้น