เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 1466: ประมือกับนางฟ้าเฮายู่
ตอนที่ 1466: ประมือกับนางฟ้าเฮายู่
เจี้ยนเฉินไม่พูดอะไรต่อ เขาค่อย ๆ หลับตาลง พลังวิญญาณนักรบนั้นเป็นแค่ชื่อจากโลกเซียน สำหรับเจี้ยนเฉิน แล้ว สิ่งที่เรียกว่าพลังวิญญาณนักรบนั้นเป็นเพียงพลังของวิญญาณเขาเอง มันคือพลังของวิญญาณใหม่ของเขาซึ่งหลอมรวมเข้ากับวิญญาณนักรบและแก่นวิญญาณของเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงได้อย่างสมบูรณ์
นี่คือปราณหยินและหยาง เมื่อมันหลอมรวมกัน พวกมันจะเปลี่ยนแปลงและสร้างความปั่นป่วนขึ้นมา
สักพักจู่ ๆ เจี้ยนเฉินก็ลืมตาขึ้น ตอนนั้นสายตาของเขาดูน่าตกใจ แรงกดดันมหาศาลแผ่ออกมาจากตัวเขาปะทุออกไปรอบข้างราวกับพายุ
แรงกดดันนี้พุ่งเข้าหาวิญญาณของเป้าหมาย พลังอันแข็งแกร่งดูเหมือนจะแผ่แรงกดดันไม่รู้จบออกมา เมื่อคนที่มีวิญญาณอ่อนแอถูกความกดดันนี้ครอบคลุม วิญญาณของพวกเขาจะถูกบดขยี้เป็นชิ้น ๆ ในครั้งเดียว
ลำแสงส่องประกายผ่านสายตาของเฮายู่ ร่างมายาของนางเปล่งแสง ดวงจันทร์ค่อย ๆ โผล่มาด้านหลังนางก่อนจะส่องแสง เฮายู่ยืนอยู่ที่ใจกลางดวงจันทร์ ผมของนางพริ้วไสวแต่เสื้อผ้านางยังคงอยู่นิ่ง นางเหมือนกับนางฟ้าภายใต้แสงจันทร์ที่สูงส่งและศักดิ์สิทธิ์
ในเวลาเดียวกันนั้นพลังอันสูงส่งที่ซ่อนอยู่ในโถงศักดิ์สิทธิ์ก็เริ่มเคลื่อนไหวแบบลับ ๆ มันก่อตัวขึ้นมาสร้างม่านพลังแสงจันทร์ระหว่างเจี้ยนเฉินกับเฮายู่ มันดูเหมือนได้แบ่งโถงออกเป็นสองส่วน
ทันทีที่ม่านพลังก่อตัวขึ้นมา พลังวิญญาณนักรบของเจี้ยนเฉินก็พุ่งออกไปด้านหน้า ในพริบตาพลังที่มองไม่เห็นนั้นก็อัดเข้ากับม่านพลังอย่างแรง แต่เจี้ยนเฉินก็ต้องแปลกใจ พลังวิญญาณนักรบนั้นผ่านทะลุม่านพลังเข้าไปทันทีที่สัมผัส มันเหมือนกับม้าป่าที่พุ่งเข้าหาเฮายู่ที่นั่งอยู่บนบัลลังก์ ม่านพลังที่นางเพิ่งจะสร้างไม่อาจจะหยุดมันได้ มันเหมือนว่าม่านพลังนั้นไม่เคยมีตัวตนอยู่เลย
“ข่าวลือเป็นจริง พลังวิญญาณนักรบนั้นยากที่จะหยุดและวิธีทั่วไปก็ไร้ประโยชน์ที่จะใช้ต่อต้านมัน” เฮายู่พึมพำ นางยังคงนั่งอยู่บนบัลลังก์ ไม่นานนางก็กางแขนออก แล้วดวงจันทร์ด้านหลังก็สดใสขึ้นกว่าเดิม มันเปล่งแสงจันทร์ที่ทรงพลังออกมาครอบคลุมเขนรัศมีกว่า 20 เมตรเอาไว้
เขตนั้นกลายเป็นอาณาเขตที่แยกออกมา โลกของตัวมันเอง กฎที่แยกออกมาดูเหมือนว่าจะคงอยู่ในอาณาเขตนี้
พลังวิญญาณนักรบของเจี้ยนเฉินผ่านม่านพลังแสงจันทร์ไปและอัดเข้ากับอาณาเขตของเฮายู่ มันทำให้อาณาเขตสั่นไหวอย่างแรง กฎด้านในเริ่มปั่นป่วน มันเหมือนว่าจะถล่มลง
เฮายู่หรี่ตาลง ต่อมาพลังแสงจันทร์จากดวงจันทร์ด้านหลังก็แข็งแกร่งขึ้นทะลักเข้ามาในอาณาเขตเพื่อเพิ่มความแข็งแกร่งให้กับมันที่เกือบจะถล่มลงไป อาณาเขตนั้นเริ่มคงที่และหยุดพลังวิญญาณนักรบเอาไว้
เมื่อเห็นว่าพลังวิญญาณนักรบนั้นหยุดลงและไม่อาจจะทำให้พลังแสงจันทร์สั่นไหวได้ ตาของเจี้ยนเฉินก็หรี่ลงทันที ในเวลาเดียวกันเขาก็ลดการป้องกันลง เขาไม่ต้องกังวลเรื่องพลังวิญญาณนักรบจะทำให้เฮายู่บาดเจ็บ
“เพราะพลังวิญญาณนักรบของข้าไม่อาจจะทำให้นางฟ้าเฮายู่บาดเจ็บได้ ทำไมข้าถึงต้องออมแรงด้วยและใช้พลังเต็มที่เพื่อดูว่าพลังวิญญาณนักรบของข้าอยู่ที่ระดับที่สามารถจัดการกับจอมยุทธขั้นย้อนกลับได้หรือไม่ ในเวลาเดียวกันข้าก็จะทำความเข้าใจพลังใหม่นี้ไปด้วยได้” เจี้ยนเฉินคิด เขาเลิกออมแรงทันทีและใช้พลังวิญญาณนักรบทั้งหมดที่มีออกไป
ทันใดนันแรงกดดันก็ทะยานสูงขึ้นโดยเฉพาะในอาณาเขตที่เฮายู่อยู่ แรงกดดันนี้อัดแน่นกันทรงพลังจนแม้แต่จอมยุทธขั้นรับมอบก็ไม่อาจรับมือได้ ถ้าเซียนจักรพรรดิเข้ามาในเขตนี้ พวกเขาก็ไม่อาจจะทนได้เกิน 10 วินาทีก่อนวิญญาณจะสลายไป พวกเขาจะต้องตาย
มันเพราะแรงกดดันนี้คือการใช้พลังวิญญาณนักรบโจมตีเล็งไปที่วิญญาณ
แต่เฮายู่ยังคงนั่งนิ่งเผชิญหน้าการโจมตีที่สามารถฆ่าเซียนจักรพรรดิได้ง่าย ๆ ขอบเขตรอบตัวนางแข็งแกร่งและคงที่ขึ้นมาทนการโจมตีที่ดั่งกับพายุ ไม่ว่าเจี้ยนเฉินจะเพิ่มพลังวิญญาณมากแค่ไหน แต่เขาก็ไม่อาจจะทำให้อาณาเขตนางสั่นไหวได้เลยแม้แต่น้อย
มันอยู่ในภาวะนี้อยู่หลายวินาที เจี้ยนเฉินหมดแรงก่อนและต้องหยุดมือ เขาดึงพลังวิญญาณกลับมา เขาพบว่าการใช้มันโจมตีนี้เป็นภาระต่อวิญญาณของเขาอย่างมาก แค่ชั่วขณะที่เขาใช้มันกับเฮายู่ เขาก็ใช้พลังในวิญญาณไปกว่าหกในสิบส่วน ซึ่งเจี้ยนเฉินพบว่ามันน่าเหลือเชื่อ
ยังไงซะวิญญาณของเขาตอนนี้ก็เข้าถึงขั้นย้อนกลับ มันไม่ได้อยู่ที่ขั้นสูงสุดของเซียนจักรพรรดิแบบแต่ก่อน
เจี้ยนเฉินหยุดมือและพลังแสงจันทร์รอบตัวเฮายู่ก็หายไปด้วยเช่นกัน ไม่นานห้องก็กลับสู่ความเงียบอีกครั้ง เฮายู่นั่งอยู่ที่บัลลังก์โดยไม่เปลี่ยนสีหน้า เจี้ยนเฉินที่นั่งอยู่ด้านล่างดูเหมือนจะหมดแรง
“พลังวิญญาณนี้วิเศษจริง ๆ ในโลกแห่งเซียนมีผู้คนมากมายที่เคยได้ยินถึงพลังนี้เพราะแทบไม่มีใครใช้มันได้ ข้าไม่คิดว่าข้าจะได้พบมันในโลกข้างล่างและเห็นพลังวิญญาณในตำนานได้” เฮายู่ถอนหายใจออกมา สายตาที่นางมองเจี้ยนเฉินนั้นดูซับซ้อนขึ้นมา นางรู้ว่าจากนี้ไปคงมีอีกคนที่ใช้พลังวิญญาณในโลกแห่งเซียนเพิ่มขึ้นมา
เจี้ยนเฉินถอนหายใจและยิ้มออกมาอย่างขมขื่น “จำเป็นด้วยรึที่ท่านต้องชมพลังวิญญาณมากแบบนั้น ในความเห็นข้าแล้วพลังวิญญาณนี้วิเศษแต่มันก็แค่พิเศษเท่านั้น แม้แต่ท่านก็รับมือมันได้อย่างง่ายดาย”
“เจ้าคิดผิดแล้ว เจี้ยนเฉิน มันมีสองเหตุผลว่าทำไมพลังวิญญาณถึงไม่อาจจะทำอันตรายข้าได้ หนึ่งคือเจ้าไม่รู้ว่าจะใช้มันยังไงให้เหมาะ มันมีวิธีและทักษะในการใช้มัน และด้วยวิธีเหล่านั้นเจ้าถึงใช้พลังจนถึงขีดสุดได้ อย่างที่สองข้าได้ใช้กางอาณาเขตออกมา ตราบใดที่อาณาเขตนี้ไม่พังลง มันก็ไม่มีอะไรทำอะไรข้าได้ แม้แต่การโจมตีวิญญาณก็ไร้ประโยชน์ ข้าอาจจะเป็นแค่วิญญาณและต้องใช้พลังของโถงศักดิ์สิทธิ์ในการกางอาณาเขต แต่ข้าสามารถรับมือจอมยุทธขั้นย้อนกลับได้ในห้องนี้” เฮายู่อธิบายออกมาด้วยท่าทีไม่ใส่ใจ
ในที่สุดเจี้ยนเฉินก็เข้าใจ เขารู้ว่าเฮายู่เป็นเพียงแค่เซียนจักรพรรดิตอนที่นางมีร่างกายและยังไม่ทะลวงผ่านไปถึงขอบเขตดั้งเดิม ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมร่างของนางจึงสลายไปหลังจากที่อายุขัยกว่าหมื่นปีหมดลง มีแค่วิญญาณของนางที่ยังคงอยู่ แต่นางก็ยังคงมาจากโลกเซียน ความเข้าใจที่มีต่อความลึกลับของโลกนั้นมากกว่าเซียนจักรพรรดิและแม้แต่เหนือกว่าขอบเขตดั้งเดิม แม้ว่านางจะมีระดับการบ่มเพาะแค่เซียนจักรพรรดิ แต่พลังในการต่อสู้แล้วต่างกันคนละเรื่อง
ไม่มีใครมายังดวงจันทร์ที่อยู่ไกลซึ่งปรากฏขึ้นในทุกคืน แม้แต่ช่วงโบราณตอนที่เซียนจักรพรรดิยังถือว่าเป็นคนทั่วไป มีแค่เฮายู่ที่อยู่ที่นี่และเก็บวัสดุต่าง ๆ จากมันเพื่อสร้างโถงศักดิ์สิทธิ์จันทร์แจ่ม ความสามารถนี้มากเพียงพอจะแสดงให้เห็นว่าเฮายู่นั้นโดดเด่นเพียงใด