เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 1499: ทดสอบ
ตอนที่ 1499: ทดสอบ
ไม่กี่วินาทีผ่านไปในขณะที่เจี้ยนเฉินมองดูอย่างประหม่า เขาสัมผัสได้ถึงพลังที่คุ้นเคยและทรงพลังพุ่งออกมาจากแท่นหยกชะตา เขารีบผลักไป๋หยุนเทียนออกมาทันที
เจี้ยนเฉินรู้อย่างชัดเจนว่าไป๋หยุนเทียนไม่ได้ถูกชะตาลิขิตให้เรียนรู้มรดกของอัครสูงสุดอนัตตา เขาไม่สามารถยอมรับได้หลังจากความพยายามของเขาเอง เขาถอนหายใจด้วยความโล่งอกพร้อมทั้งรู้สึกหดหู่ใจเล็กน้อย
ไป๋หยุนเทียนลืมตาขึ้นและมองไปรอบ ๆ ทันทีหลังจากถูกผลักออกจากแท่นหยกชะตา สายตาของนางเต็มไปด้วยความระมัดระวัง แต่เมื่อนางค้นพบว่าไม่มีใครอยู่นอกเหนือจากกลุ่มของเจี้ยนเฉิน นางก็แปลกใจและเต็มไปด้วยความสงสัย
“เซียงเอ๋อ ข้าคิดว่าข้าได้ยินใครบางคนพูดคุยกัน” ไป๋หยุนเทียนพูดกับเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินยิ้ม “ท่านแม่ นั่นคือเสียงของผู้อาวุโสที่ไม่มีใครเทียบได้และถูกทิ้งไว้เมื่อหลายปีก่อน ในความเป็นจริง ผู้อาวุโสคนนี้เสียชีวิตไปแล้วหลายปี ก่อนที่เขาจะจากไป เขาได้ทิ้งมรดกของเขาไว้ที่แท่นหยกชะตา คนที่ไม่ได้มีวาสนาต้องกันก็ไม่สามารถรับมรดกไปได้”
ไป๋หยุนเทียนพยักหน้า จากนั้นนางก็หันไปหาไป๋ไฮ “ท่านทวด ท่านควรลองดูด้วยว่าท่านจะได้รับมรดกของผู้อาวุโสคนนี้หรือไม่ ? ”
ไป๋ไฮหัวเราะและมองไป๋หยุนเทียน, เจี้ยนเฉินและไป๋เหลียนอย่างอ่อนโยน สายตาของเขาเต็มไปด้วยความรักของผู้อาวุโสที่มีต่อลูกหลาน เขากล่าวว่า “ข้าจะใช้โอกาสนี้รับมรดกของอาวุโสที่ไม่มีใครเทียบก่อนลูกหลานได้อย่างไร ? พรสวรรค์ที่น่าทึ่งของหลานเจี้ยนเฉินนั้นยอดเยี่ยมที่สุด และเขาบ่มเพาะด้วยความเร็วที่น่าตกใจ เจ้าได้กลายเป็นจอมยุทธที่ยิ่งใหญ่ที่สุดแล้วในหมู่มนุษย์ ข้าจึงคิดว่ามรดกนี้ไม่ดึงดูดสายตาของเจ้าได้ มาเถอะ เหลียนเอ๋อ เจ้าลองก่อนเพื่อดูว่าเจ้ามีวาสนาที่จะได้รับมรดกนี้หรือไม่ ? ”
“ท่านปู่ทวด พี่โหยวเยว่เป็นคู่หมั้นของพี่ชาย นางควรไปก่อน ถ้านางไม่ไป ข้าจะไปได้อย่างไร ? ” ไป๋เหลียนบุ้ยปากและตอบอย่างบูดบึ้ง
โหยวเยว่สวมชุดสีขาว นางยืนหลังตรงอยู่ตรงนั้น นางยิ้มบาง ๆ ทำให้นางดูสง่างามและนิ่มนวล นางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “น้องไป๋เหลียน ข้าฝึกฝนบ่มเพาะด้วยวิธีการของนางฟ้าเฮายู่ มันอาจไม่จำเป็นต้องยอดเยี่ยมเท่าของผู้อาวุโส แต่มันก็ไม่ธรรมดา วิธีการบ่มเพาะของเจ้าค่อนข้างธรรมดา ทำไมเจ้าไม่ไปก่อนล่ะ ? ”
” นี่..” ไป๋เหลียนลังเล ในใจนางหวังว่าโหยวเยว่จะได้รับวิธีการบ่มเพาะของผู้อาวุโสแทน สิ่งนี้ไม่เพียงเพราะพวกเขาสนิทกัน แต่ที่สำคัญกว่านั้นโหยวเยว่เป็นคู่หมั้นของพี่ชายของนางและโอกาสที่จะได้รับมรดกนี้มาจากพี่ชายของนาง เห็นได้ชัดว่าโหยวเยว่ควรจะได้รับมรดกมากกว่านาง
เมื่อเจี้ยนเฉินเห็นไป๋เหลียนลังเล เขาจึงพูดว่า “เหลียนเอ๋อ เจ้าควรไปลอง มรดกของอาวุโสไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้มา ไม่สำคัญว่าใครจะไปก่อนเพราะเป็นไปได้ว่าไม่มีใครที่นี่จะได้รับ”
“เอาล่ะ ในเมื่อท่านเองก็พูดเช่นนี้ ข้าก็จะไป” ไป๋เหลียนยิ้มอย่างนุ่มนวลและนั่งบนแท่นหยกชะตา
ไม่กี่วินาทีต่อมาพลังอันทรงพลังและอ่อนโยนปรากฏขึ้นอีกครั้งผลักไป๋เหลียนให้ออกมา
ไป๋เหลียนลืมตาขึ้นและพูดด้วยความสิ้นหวัง “พี่ชาย ข้าไม่มีวาสนากับมัน แต่ข้าแค่สงสัยว่าผู้อาวุโสคนนี้เป็นมนุษย์หรือสัตว์อสูร เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย ทำไมเสียงของผู้อาวุโสคนนี้ถึงแปลกประหลาดมาก มันฟังเหมือนทุกอย่าง”
“นี่คือเสียงที่บรรจุเสียงทั้งหมดของโลก เจ้าจึงได้ยินสิ่งที่เจ้าคิดว่ามันเป็น” เจี้ยนเฉินอธิบายด้วยรอยยิ้ม สายตาของเขามีความรัก
หลังจากนั้นไป๋ไฮ, ตู่กูเฟิงและนูบิสต่างก็นั่งบนแท่นหยกชะตาทีละคน แต่พวกเขาก็ได้รับผลเช่นเดียวกับคนอื่น ไม่มีใครมีสิทธิ์ที่จะได้รับมรดกของอัครสูงสุดอนัตตา ในท้ายที่สุด เจี้ยนเฉินก็ให้โหยวเยว่ลองเช่นกัน แต่นางก็ไม่ได้รับการยอมรับจากอัครสูงสุดอนัตตา
แม้ว่าเจี้ยนเฉินจะคาดหวังสิ่งนี้มานานแล้ว แต่เขาก็ยังพบว่ามันยากที่จะไม่ถอนหายใจเมื่อความเป็นจริงปรากฏต่อหน้าเขา
“ความเข้าใจกฎแปดในสิบส่วนนั้นเพียงพอสำหรับเจ้าที่จะกลายเป็นอัครสูงสุด แต่อัครสูงสุดอนัตตาได้เข้าใจกฎแห่งไฟ, การสร้าง, และการทำลายล้างเต็มสิบส่วน จิตวิญญาณบอกไว้ว่าอัครสูงสุดอนัตตานั้นทรงพลังมากจนเขาติดอันดับหนึ่งในสามของโลกเซียน มีเพียงอัครสูงสุดของเทพเจ้าสงครามของโลกเซียนเท่านั้นที่ยืนอยู่เหนือนิพพานอมตะเที่ยงแท้ซึ่งสามารถเอาชนะอัครสูงสุดอนัตตาได้ มรดกของจอมยุทธที่น่าประทับใจดังกล่าวจะไม่ง่ายที่จะได้รับมา บางทีมีเพียงคนที่เติมเต็มบางแง่มุมเท่านั้นที่จะได้รับมัน” เจี้ยนเฉินคิดก่อนนำทุกคนออกไปนอก หอคอย
เจี้ยนเฉินกดมือของเขาแนบกับหอคอยด้านนอกและใช้ความคิดของเขาในการย่อขนาดกลับเป็นขนาดนิ้วหัวแม่มือ ซึ่งหายไปในฝ่ามือของเขา จากนั้นเขาก็หันไปหาทุกคนแล้วพูดว่า “ทุกคนกลับไปก่อน ข้าต้องไปที่หุบเขายั่งยืนเดี๋ยวนี้เลย พ่อของอ้วนน้อยเสียชีวิตแล้ว”
“เจี้ยนเฉิน ขอให้ข้าไปด้วยสิ” โหยวเยว่จ้องมองที่เจี้ยนเฉินอย่างอ่อนโยน
เจี้ยนเฉินพยักหน้า ในใจเขารู้สึกเป็นหนี้บุญคุณโหยวเยว่เสมอ มีองค์หญิงหลายคนในอาณาจักรเกอซุนที่แต่งงานและให้กำเนิดบุตรไปนานแล้ว องค์หญิงบางคนถึงกับมีหลาน นางคนเดียวที่ยังคงอยู่ในสถาะนะหมั้นหมาย
นูบิสอ้าปาก เดิมทีเขาวางแผนจะไปกับเจี้ยนเฉิน แต่หลังจากได้ยินสิ่งที่โหยวเยว่พูด เขาก็เลิกความคิดนั้นทันที เขาหัวเราะ “เจี้ยนเฉิน ข้าจะไปเล่นกับคนรับใช้หญิงสองคนที่ข้าเพิ่งรับมา ข้าขอตัวกลับก่อน” ด้วยเหตุนั้นนูบิสก็หายวับไป
ไป๋เหลียน, ตู่กูเฟิงและไป๋ไฮต่างก็กลับไปที่เมืองอัคนีหลังจากอำลาเจี้ยนเฉิน ไป๋หยุนเทียนกลับไปบ่มเพาะที่วัตถุมิติ ภายในเวลาไม่นานก็เหลือเพียงเจี้ยนเฉินและโหยวเยว่ถูกทิ้งไว้ตามลำพังที่ด้านล่างของหุบเขา
” ไปกันเถอะโหยวเยว่”
“ได้ !
แสงสีม่วงพุ่งเข้าไปในท้องฟ้าจากก้นหุบเขา มันพุ่งผ่านอากาศเหมือนสายฟ้าที่หายเข้าไปในขอบฟ้า มันเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วมาก
ภายในแสงพราวนั้นมีกระบี่ยาว 20 เมตร ปัจจุบันเจี้ยนเฉินรั้งเอวบางของโหยวเยว่ไว้ เพื่อทำให้นางมั่นคงและป้องกันไม่ให้นางร่วงลงไป
กระบี่จือหยิงบินเร็วมาก ทำให้ภูมิทัศน์โดยรอบลดลงจนเป็นภาพเบลอ ทำให้มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า อย่างไรก็ตาม แม้ว่าจะมองเห็นภูมิทัศน์ โหยวเยว่ก็คงจะไม่สนใจที่จะชื่นชมมัน ในขณะนี้นางกำลังยืนหลับตาอยู่และยิ้มอย่างมีความสุข นางแนบศีรษะของนางกับหน้าอกของเจี้ยนเฉิน
นี่เป็นเวลาที่มีเพียงสองคนเท่านั้น มันเป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดและยอดเยี่ยมสำหรับโหยวเยว่ หลังจากผ่านไปกว่าทศวรรษแห่งการรอคอยอันเจ็บปวด ในที่สุดนางก็ได้มีโอกาสอยู่กับเจี้ยนเฉิน