เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 1713 : ความแข็งแกร่งของเฉินเจี้ยน
ตอนที่ 1713 : ความแข็งแกร่งของเฉินเจี้ยน
แต่ผู้อาวุโสตระกูลโม่นั้นไม่เห็นท่าทีของผู้นำตระกูล ผู้นำตระกูลมองไปที่เปลวไฟของลู่เทียนที่ห่อหุ้มเฉินเจี้ยน แต่เขากลับไม่ได้แสดงท่าทีตกใจเลย กลับกันแล้วเขากลับมองไปที่เปลวไฟนั้นด้วยสีหน้าตื่นเต้น จากนั้นเขาก็คิด “แม้ว่าการบ่มเพาะของเฉินเจี้ยนจะอยู่ที่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงกลางแต่ความเข้าใจต่อกฎแห่งกระบี่นั้นได้ขึ้นถึงขั้นเทพช่วงกลางแล้ว มันมากยิ่งกว่าความเข้าใจของลู่เทียน ดังนั้นข้าจึงสงสัยว่าเขาจะหยุดลู่เทียนได้รึไม่”
ผู้นำตระกูลไม่ได้มั่นใจว่าเฉินเจี้ยนจะมีพลังที่พอรับมือกับขั้นเทพได้
ตอนนั้นมีแสงสีขาวได้ระเบิดออกขึ้นมาภายในเปลวไฟที่ห่อหุ้มตัวเฉินเจี้ยนอยู่ ด้วยการปรากฏขึ้นมาของแสงสีขาวนี้ เปลวไฟก็เริ่มสั่นไหวอย่างรุนแรง แสงสีขาวส่องประกายยิ่งขึ้นกว่าเก่าพร้อมกับเสียดแทงเปลวไฟออกมาด้วยเจตจำนงกระบี่
เปลวไฟนี้มีกฎแห่งไฟที่ขั้นเทพ ดังนั้นพวกมันจึงทรงพลังอย่างมาก แม้แต่พวกขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงปลายก็คงต้องตายหากโดนไฟนี้เผาไหม้ และพวกเขาก็ไม่อาจจะหลีกหนีชะตาจากการโดนเผาเป็นเถ้าได้ แต่แสงสีขาวนี้กลับแยกเปลวไฟออกเป็นสองส่วน
ผู้อาวุโสเห็นแสงสีขาวทันทีที่มันปรากฏขึ้นมา พวกเขาพากันหรี่ตาลงและมองอย่างตั้งใจ
“แสงสีขาวนี้…..คือปราณกระบี่ มันเป็นปราณกระบี่ที่แข็งแกร่ง…”
“นี่คือปราณกระบี่ของเฉินเจี้ยนรึ ? เฉินเจี้ยนยังไม่โดนเผาเป็นเถ้ารึ ? ”
“เป็นไปไม่ได้ เฉินเจี้ยนอยู่แค่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงกลาง มันเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะรอด….”
ผู้อาวุโสต่างก็ร้องออกมาและเผยสีหน้าตะลึง
ซีหยูมองไปยังแสงสีขาวที่แยกเปลวไฟออกจากกัน ตาของนางสั่นไหวพร้อมกับคิด “งั้นความมั่นใจของท่านพ่อก็มาจากเขา ข้าคิดไม่ถึงเลยว่าเฉินเจี้ยนจะแข็งแกร่งได้ถึงเพียงนี้…”
เปลวไฟดับลงพร้อมกับร่างของเฉินเจี้ยนที่หายไป มันมีแค่ลูกบอลแสงสีขาวที่มีปราณกระบี่แผ่ออกมากดดันลู่เทียน มีร่างหนึ่งที่ยากจะมองเห็นด้วยตาเปล่าอยู่ในลูกบอลแสงนั้น
สีหน้าของลู่เทียนหม่นลง เขามองไปที่ร่างในบอลแสงและพูดขึ้นมาอย่างเย็นชา “ข้าดูถูกเจ้าเกินไป เฉินเจี้ยน การบ่มเพาะของเจ้านั้นมีจำกัด แต่ความเข้าใจต่อกฎของโลกนั้นสูงกว่าข้าไปแล้ว เจ้ามีสิทธิที่จะสู้กับข้าได้”
ผู้อาวุโสตระกูลโม่ต่างก็พากันตะลึงเมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาต่างก็มองไปที่บอลแสงด้วยสีหน้าอึ้งพร้อมกับใจที่เต้นรัว
เฉินเจี้ยนขึ้นถึงขอบเขตเทพได้ไม่นานแต่ความเข้าใจที่มีต่อกฎของโลกนั้นสูงกว่าลู่เทียนไปแล้ว นี่มันน่าเหลือเชื่อเกินไป
พวกเขาได้ใช้เวลาหลายปีเพื่อขึ้นมาถึงขอบเขตเทพ โดยพื้นฐานแล้วพวกเขาติดอยู่ที่จุดสูงสุดของขั้นแลกเปลี่ยนในส่วนกฎของโลกก่อนที่จะทำการทะลวงผ่านมาได้ การยกระดับการบ่มเพาะในแต่ละขอบเขตนั้นต้องใช้เวลาในการทำความเข้าใจหลายปี บางคนถึงกับไม่อาจจะทะลวงผ่านได้แม้ว่าจะบ่มเพาะไปตอลดชีวิตก็ตาม พวกเขาจึงเข้าใจได้ว่ามันยากแค่ไหนกับการยกระดับความเข้าใจที่มีต่อกฎ
แต่ความเข้าใจของเฉินเจี้ยนที่มีต่อกฎของโลกนั้นสูงกว่าลู่เทียนที่เป็นเทพ ทั้ง ๆ ที่อยู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงกลาง ทุกคนต่างก็พากันอิจฉาพรสวรรค์เช่นนี้
เกิดการะเบิดขึ้น โม่หลิงได้ออกมาอยู่ด้านนอกม่านพลังเช่นกัน เขาได้มาหยุดการโจมตีของอันโดฟูและดาทูร่าด้วยตัวเอง
“น้องเฉินเจี้ยน ข้าจะปล่อยลู่เทียนให้เจ้าจัดการ” โม่หลิงตะโกนออกมา พลังของเขาปะทุขึ้นพร้อมกับที่เขาได้พุ่งเข้าหาอันโดฟูและดาทูร่าโดยไม่เกรงกลัว เขาได้สู้กับทั้งสองคนด้วยตัวคนเดียว
ระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่องพร้อมกับคลื่นกระแทกที่แผ่ไปทั่ว การต่อสู้กับลู่เทียน, อันโดฟูและดาทูร่านี้ทำให้โลกนั้นดูจืดจางไปในทันที
โม่หลิงใช้พลังเต็มที่ของตน เขาเปล่งแสงสีทองออกมาจากตัว ตอนนั้นเขาได้สวมเกราะแสงอันน่าประทับใจอยู่ เขาเหวี่ยงกระบี่ใหญ่เข้าใส่อันโดฟูและดาทูร่า กฎที่เขาเข้าใจนั้นคือกฎแห่งเหล็ก
อันโดฟูไม่ได้ยั้งมือเช่นกัน เขาเหวี่ยงกระบี่ที่ยาวแค่หนึ่งนิ้ว เขาเปลี่ยนเป็นสายลมแล้วอ้อมหลังโม่หลิงไป กระบี่ในมือเขาได้เปลี่ยนเป็นภาพพร่ามัวแล้วแทงเข้าใส่โม่หลิงด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ
อันโดฟูเข้าใจกฎแห่งลม
กฎแห่งลมนั้นเด่นเรื่องความเร็ว มันยากที่จะมีคนอื่นที่ทัดเทียมกับคนที่เข้าใจกฎแห่งลมได้ในเรื่องความเร็วและมันยากที่ใครอื่นจะมีพลังทัดเทียมไล่จับพวกนั้นได้หากพวกนั้นหนี แต่กฎแห่งลมก็มีจุดอ่อนซึ่งคือเรื่องอ่อนแอในการโจมตี
“มันน่าจะยังมีอีกคนในตระกูลโม่ที่ยังไม่ปรากฏตัว เห็นได้จากการที่ลู่เทียนยังกลัวอยู่ เขาต้องแข็งแกร่งอย่างมากแน่ ข้าต้องระวังตัวเพื่อไม่ให้ผิดพลาดแบบลู่เทียน แม้ว่าสมบัติครึ่งหนึ่งของตระกูลโม่นี้จะมากมายจนน่าตกใจ แต่มันก็ไม่เพียงพอที่ข้าจะทุ่มสุดตัว” ดาทูร่าคิด ตาของนางสั่นไหวด้วยความไม่มั่นใจและคอยสังเกตโดยรอบอย่างระมัดระวัง
ในอีกด้านนั้น เฉินเจี้ยนและลู่เทียนต่อสู้ห้ำหั่นกัน แสงส่องประกายพร้อมกับปราณกระบี่ที่ปะทุขึ้นมา ทั้งสองคนได้ใช้พลังทั้งหมดที่ตัวเองมีเพื่อจะฆ่าอีกฝ่ายให้เร็วที่สุดจนทำให้การต่อสู้ตึงเครียดอย่างมาก
ย้อนกลับไปตอนที่เขาอยู่ที่จุดสูงสุดของขั้นแลกเปลี่ยน เขายังไม่อาจจะรับมือกับลู่เทียนได้แม้ว่าความเข้าใจที่มีต่อกฎนั้นจะขึ้นถึงขั้นเทพช่วงกลางแล้วก็ตาม เมื่อเขาขึ้นมาถึงขั้นศักดิ์สิทธิ์ช่วงกลาง เขาก็สามารถที่จะรับมือได้ด้วยความเข้าใจที่มีต่อกฎแห่งกระบี่และทักษะที่ทรงพลังของเขาแม้ว่าระดับการบ่มเพาะจะด้อยกว่าก็ตาม
“ทำลายพลัง ! ” เฉินเจี้ยนตะโกนออกมา ตาเขาเฉียบคมราวกับกระบี่แล้วแทงกระบี่ออกไปด้วยความเร็วแสง
ในเวลาเดียวกันลู่เทียนเองก็แทงเข้าใส่เฉินเจี้ยนด้วยกระบี่ที่มีเปลวไฟปะทุออกมา ตอนที่มันปะทะกับเกราะแสงของเฉินเจี้ยน กฎแห่งไฟบนกระบี่ก็ได้สลายไป พลังของลู่เทียนนั้นสูสีกับเฉินเจี้ยน เมื่อเป็นเรื่องกฎแต่กระบี่นั้นก็มีพลังขั้นเทพช่วงต้นของลู่เทียน เกราะแสงของเฉินเจี้ยนนั้นอ่อนแออย่างมากเมื่อรับพลังจากกฎแห่งไฟ ดังนั้นแสงนั้นจึงแตกสลายไปเมื่อเจอกับพลังของกระบี่
ฉึก ! กระบี่ของลู่เทียนแทงเข้าใส่อกของเฉินเจี้ยน ความร้อนอันน่ากลัวในกระบี่ได้เปิดช่องบนอกของเฉินเจี้ยน ขึ้นมา
ในเวลาเดียวกันกระบี่ของเฉินเจี้ยนก็พุ่งเข้าใส่ตัวลู่เทียน มันได้แทงเข้าไปลึกกว่านิ้วและถูกหยุดไว้โดยพลังจากกฎแห่งไฟและระดับการบ่มเพาะของลู่เทียนซึ่งกันไม่ให้กระบี่แทงลึกไปมากกว่านี้ได้
แต่ใบหน้าของลู่เทียนก็บิดเบี้ยวไป พลังในร่างกายของเขาเริ่มปั่นป่วน แผลจากการโจมตีนี้ชัดแล้วว่าไม่ได้หนักหนาอะไร แต่กระบี่หมอกเมฆนี้กลับมีพลังลึกลับที่ทำให้พลังดั้งเดิม 1 ใน 4 ของเขาหายไปในพริบตา
“ นี่มันทักษะอะไรกัน ? ” ลู่เทียนแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา เขาถอยกลับไปพร้อมกับตะลึงในใจ การโจมตีนี้ทำให้พลังงานดั้งเดิมถึงหนึ่งในสี่ส่วนของเขาหายไป หากเขารับการโจมตีแบบนี้อีก 3 ครั้ง มันจะไม่หมายความว่าพลังดั้งเดิมของเขาทั้งหมดจะหายไปด้วยหรือ ? เขาจะยังสู้ได้ยังไงเมื่อไม่มีพลังงานดั้งเดิมแล้ว ?