เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 1766: พูดด้วยกองทัพ
ตอนที่ 1766: พูดด้วยกองทัพ
หลังจากเวลาสั้น ๆ เจี้ยนเฉินก็ถามขั้นเทพผู้นั้นอีกครั้ง “เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไมลัทธิปีศาจชั้นฟ้าถึงโจมตีอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์สามหม้อยา ? อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์สร้างความขุ่นเคืองให้พวกเขาหรือ ? ”
มีความเกลียดชังปรากฏอยู่ในสายตาของขั้นเทพผู้นั้นเมื่อเอ่ยถึงลัทธิปีศาจชั้นฟ้า เขากล่าวว่า “ลัทธิปีศาจชั้นฟ้าต้องการเหตุผลอะไรถึงได้ทำลายอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์สามหม้อยา ? พวกเขาเป็นลัทธิปีศาจ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่พวกเขากำจัดอาณาจักรศักดิสิทธิ์, นิกายและตระกูลต่าง ๆ ”
ใบหน้าของเจี้ยนเฉินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเขาถามว่า “ลัทธิปีศาจชั้นฟ้าทำแบบนี้บ่อยหรือ ? ”
ขั้นเทพจ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างประหลาดใจและพูดว่า “ถูกต้อง ลัทธิปีศาจชั้นฟ้าทำเรื่องเหล่านี้บ่อยครั้ง ท่านไม่รู้หรอกหรือ ? ”
เจี้ยนเฉินกลายเป็นเคร่งขรึมทันที โดยปกติแล้วเขามั่นใจว่าลัทธิปีศาจชั้นฟ้าไม่ได้พยายามทำลายอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์สามหม้อยา เพราะอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ได้รุกรานพวกเขา เพราะนี่เป็นเหตุการณ์ทั่ว ๆ ไป สิ่งที่เขาเป็นห่วงตอนนี้คือว่าลัทธิปีศาจชั้นฟ้าจะรุกรานอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์นวดาราหรือแม้แต่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน หลังจากที่พวกเขาทำลายอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์สามหม้อยา
แม้ว่าเขาจะไม่สนใจอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ เจี้ยนเฉินก็วางแผนที่จะวางรากฐานที่มั่นคงในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน เป็นไปไม่ได้ที่ผู้คนที่ติดตามเขามายังโลกเซียนจะไปกับเขาด้วยเสมอ เขาต้องหาสถานที่ลงหลักปักฐานให้พวกเขา
เจี้ยนเฉินไม่กล้าที่จะเสียเวลาต่อไป หลังจากที่รู้เกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของลัทธิปีศาจชั้นฟ้า เขารีบไปที่แคว้นตงอันของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียนด้วยความเร็วเต็มที่ เขาใช้อสนีบาตเป็นครั้งคราว
เพียงเจ็ดวัน เจี้ยนเฉินก็ข้ามอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์นวดาราด้วยความเร็วสูงสุดและกลับมาที่อาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน
“ข้าจะต้องใช้เวลาอีกหลายวันในการกลับไปยังแคว้นตงอัน” เจี้ยนเฉินมองไปยังทิศทางของแคว้นตงอันขณะที่ลอยอยู่บนฟ้า หลังจากที่เขาใช้อสนีบาตและหายไปจนเหนือเพียงแนวแสง
อย่างไรก็ตามเขาไม่อาจใช้อสนีบาตได้นานนัก เขาเคลื่อนที่ด้วยความเร็วน่ากลัวนี้ได้ไม่ถึงเสี้ยววินาทีหรือเหมือนตอนที่เขาเดินทางกลับมาจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียนเมื่อนานมานี้
สองวันต่อมา เจี้ยนเฉินกลับไปมาถึงแคว้นตงอัน อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้เดินทางไปยังสุสานของราชาเทพต้วนมู่ เขาบินไปยังเทือกเขาเมฆดำแทน
เขาเข้าใจว่าด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ของเขาจะไม่เพิ่มอีกแม้ว่าเขาจะไปที่สุสานของราชาเทพต้วนมู่ เรื่องที่ต้องทำตอนนี้คือการเพิ่มความแข็งแกร่งของเขาโดยเร็วที่สุด เมื่อเขามาถึงขั้นที่สิบของร่างบรรพกาล เขาจะสามารถต่อกรกับบรรดาขั้นเหนือเทพช่วงปลายได้นานขึ้นด้วยพลังของร่างบรรพกาล
ตระกูลที่ทรงอำนาจในแคว้นเมืองตงอันซึ่งครอบครองภูเขาเมฆดำ มีคนมากมายอยู่ในที่เหล่านั้น พวกเขาทุกคนถูกส่งมาที่นี่เพื่อขุดหาเหรียญผลึกระดับสูงและแม้แต่บรรพชนจากตระกูลของพวกเขาก็มาเฝ้าคุมงานด้วยตัวเอง
ในเวลานี้ชายชราสองคนนั่งอยู่บนยอดเขา ขณะที่กำลังเล่นหมากล้อมและสนทนากัน หญิงสาวทั้งสองคนที่ยืนอยู่ข้าง ๆ พวกเขาคอยรินน้ำชาอย่างสุภาพ จากพฤติกรรมที่ระมัดระวังของพวกนาง ดูเหมือนว่าพวกนางจะกลัวทำน้ำชาหก
“มีการรบกวนจากสุสานของราชาเทพต้วนมู่นั้นกินเวลามาหลายปีแล้ว ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าเมื่อไหร่จะสิ้นสุด”ชายชราสวมเสื้อสีเทาถอนหายใจเบา ๆ
ด้านหน้าของชายชราเสื้อเทา เป็นชายชราเสื้อคลุมสีขาว ชายชราเสื้อคลุมสีขาวนั้นได้วางหมากขณะที่เขาพูดอย่างสบาย ๆ “มีการพูดว่ามีวิญญาณเข้าใกล้ซากราชาเทพต้วนมู่ ความวุ่นวายที่เกิดจากสุสานของเขากำลังจะจบลงแล้ว มันจะจบเร็ว ๆ นี้จากความเห็นของข้า”
“สุสานของเขาปรากฏอยู่ในแคว้นตงอันของเรา แต่มันก็น่าเสียดายที่ไม่มีใครในแคว้นตงอันได้รับประโยชน์จากขั้นเหนือเทพทั้งหมดนั้น พวกเราเป็นแค่ขั้นเทพ เราไม่มีโอกาสที่จะได้มีส่วนร่วมหรือต่อสู้อะไรเพื่อมันเลย” ชายชราเสื้อคลุมเทากล่าวด้วยความเสียใจ
ชายชราเสื้อขาวหัวเราะเบาะ ๆ “การที่ไม่ได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นสิ่งที่ดี ดูเหมือนว่าจะมีจอมยุทธหลายคนที่ตายไป ตระกูลวายเนอร์สูญเสียจอมยุทธขั้นเทพของพวกเขาเกือบครึ่ง ในขณะที่อีกตระกูลหนึ่งของแคว้นตงอันก็สูญเสียขั้นเทพเช่นกัน แม้กระทั่งขั้นเหนือเทพก็ตายอยู่ภายใน พวกเขาไม่ได้รับสมบัติใด ๆ และตายอยู่ในส่วนลึกของสุสาน ในความคิดของข้า มันไม่คุ้มค่าเลย”
“ข้าได้ยินมาว่าผู้คนในตระกูลโม่และตระกูลอันโดเข้ามาในสุสานก่อน เจ้าคิดว่าเขาได้รับประโยชน์หรือไม่ ? ” ชายชราเสื้อคลุมสีเทาสอบถามความเห็น
ชายชราเสื้อคลุมขาวส่ายหน้าอย่างไม่ลังเล เขาพูดอย่างมั่นใจ “เจ้าคิดว่าพวกเขารอดมาได้หรือไม่ ? บรรดาขั้นเหนือเทพเหล่านั้นไม่ได้มีเมตตานัก”
“มันก็จริง อาจไม่มีสมาชิกแม้แต่คนเดียวของตระกูลโม่และตระกูลอันโดรอดออกมา ขั้นเหนือเทพไม่อาจปล่อยพวกเขาโดยไม่คิดถึงสิ่งที่พวกเขาได้มา” ชายชราเสื้อคลุมเทาพยักหน้า มันสมเหตุสมผล
ชายชรา 2 คนที่อยู่ที่นี่เป็นคนที่มีพลังมากในตระกูล พวกเขาทำหน้าที่ป้องกันการขโมยใด ๆ และพวกเขายังทำหน้าที่เป็นหัวหน้าคนงาน
ในขณะที่ชายชรา 2 คนเล่นหมากล้อมอย่างสบาย ๆ และพูดคุยกันเกี่ยวกับสุสานของราชาเทพต้วนมู่อย่างออกรส มีชายหนุ่มชุดขาวปรากฏตัวขึ้นอย่างเงียบ ๆ
ชายหนุ่มไม่ได้แสดงตัวออกมาแต่อย่างใด ๆ ทำให้เขาดูเหมือนกับคนธรรมดา ๆ ขั้นเทพช่วงต้นทั้งสองไม่อาจรับรู้ถึงตัวตนของเขาได้
เมื่อเขาเดินมาถึงหน้ากระดานหมากล้อมของชายชราทั้งสอง พวกเขาถึงพบตัวเขา พวกเขาต่างแปลกใจ
“เจ้าเป็นใคร ? ” ชายชราสองคนกระโดดถอยออกมาและจ้องมองเจี้ยนเฉินอย่างระมัดระวัง พวกเขาเต็มไปด้วยความตกใจ ชายหนุ่มคนนั้นมีพลังมากกว่าพวกเขาอย่างแน่นอน ถ้าเขาสามารถเข้ามาใกล้พวกเขาได้อย่างเงียบ ๆ
“ข้าเป็นใครไม่สำคัญ สิ่งที่สำคัญคือนี่เป็นเหมืองของข้านับแต่นี้เป็นต้นไป” ชายหนุ่มพูดอย่างเย็นชา ตามคาดชายหนุ่มคนนี้คือเจี้ยนเฉิน
สีหน้าของชายชราสองคนเปลี่ยนไปเมื่อพวกเขาได้ยินสิ่งที่เจี้ยนเฉินต้องการจากพวกเขา ชายชราเสื้อคลุมเทาพูดอย่างเย็นชา “เหมืองนี้เป็นของแคว้นตงอันทั้งแคว้น เจ้าวางแผนที่จะเป็นศัตรูกับคนทั้งเมือง ? ”
“ข้าไม่เคยวางแผนเรื่องนั้นมาก่อน แต่ข้าก็ไม่รังเกียจถ้าทั้งแคว้นตงอันต้องการจะเป็นศัตรูของข้า ยิ่งว่านั้นเหมืองของข้าไม่เคยเป็นของแคว้นตงอันตั้งแต่แรก มันเป็นของตระกูลลู่ เจ้าแค่ยึดมันจากพวกเขาเท่านั้น” เจี้ยนเฉินกล่าว เขาไม่อาจต่อต้านตระกูลอันทรงพลังของแคว้นตงอันเมื่อเขาเข้าสู่สุสานของราชาเทพตงมู่ในตอนแรก ดังนั้นเขาจึงได้แต่มองดูพวกเขาเข้ายึดเหมือง
อย่างไรก็ตามเรื่องสำคัญจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นอย่างไง แม้ว่าแคว้นตงอันจะกลายเป็นศัตรูของเขาในตอนนี้ ?