เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 1768: ร่างบรรพกาลขั้นที่ 10 (2)
ตอนที่ 1768: ร่างบรรพกาลขั้นที่ 10 (2)
“ข้าเคยเห็นหลิงเฮ่ากงมาก่อน เขาไม่ใช่หลิงเฮ่ากง เขาไม่ได้ดูเหมือนกับคนที่มาจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน นอกจากหลิงเฮ่ากง เราก็ไม่มีขั้นเหนือเทพที่เข้าใจกฏของกระบี่ด้วย” ชายชราเสื้อขาวพูดยืนยันอย่างหนักแน่น
“ไป่ซีฉี เจ้าจำหน้าตาของเขาได้หรือไม่ ? ” คราวนี้คนที่พูดเป็นชายชราที่ดูเหมือนกับคนธรรมดา ด้วยการปรากฏตัวของเขาที่เป็นขั้นเทพช่วงปลาย
ชายชราเสื้อขาวพยักหน้า เขาขยับนิ้วและวาดรูปกลางอากาศด้วยการใช้พลังงานดั้งเดิมเพื่อวาดรูปเจี้ยนเฉินในเวลาต่อมา
“ข้าไม่เคยเห็นคนผู้นี้มาก่อน แม้ว่าข้าจะไม่เคยเห็นขั้นเหนือเทพทั้งหมดในอาณาจักรของเรามาก่อน แต่ข้าเคยได้ยินมาบ้างและไม่มีใครที่เหมือนเขา…”
“นี่ไม่ใช่คนจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน…”
“ดูเหมือนว่าชายคนนี้มาจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์อื่น…”
“หืม ขั้นเหนือเทพจากอาณาจักรอื่นคิดว่าจะเข้ามากดดันระรานคนอื่นไปทั่วจริง ๆ พวกเขาคิดจริง ๆ ว่าเราไม่มีขั้นเหนือเทพในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ของเรา…”
…
นอกเหนือจากขั้นเทพที่มาจากตระกูลวายเนอร์แล้ว ขั้นเทพคนอื่น ๆ ต่างก็แสดงออกว่าพวกเขาไม่เคยเห็นเจี้ยนเฉิน เสียงของเขาเต็มไปด้วยความโกรธ
เห็นได้ชัดว่าคนเหล่านี้ไม่ได้เข้าไปยังสุสานของราชาเทพต้วนมู่ แม้ว่าพวกเขาจะเข้าไปด้านใน พวกเขาก็คงไม่ได้พบกับเจี้ยนเฉิน
มีเพียงขั้นเทพจากตระกูลวายเนอร์เท่านั้นที่ไม่อาจรักษาความสงบของเขา เขาตะโกนขึ้นมาว่า “เป็นไปได้อย่างไร ? เขายังมีชีวิตอยู่ ? เขาออกมาจากสุสานของราชาเทพต้วนมู่ได้ ? เขาไม่ได้ทรงพลังขนาดนี้เมื่อ 2-3 ปีก่อน เขากลายเป็นขั้นเหนือเทพได้อย่างไร ? ”
“ข้าจะบอกพวกเขาเกี่ยวกับเจี้ยนเฉินดีหรือเปล่า ? ” ขั้นเทพช่วงต้นจากตระกูลวายเนอร์กำลังลังเล อย่างไรก็ตามใบหน้าของเขาก็มืดหม่นในไม่ช้าและพวกเขาก็คิด “หยกที่ผูกกับชีวิตของขั้นเทพช่วงกลางทั้งสองของเราแตกสลาย พวกเขาตายอยู่ในสุสานของราชาเทพต้วนมู่อย่างแน่นอน ตอนนี้ตระกูลวายเนอร์มีเพียงขั้นเทพช่วงต้นเพียง 2 คนเท่านั้น เป็นไปไม่ได้ที่เราจะรักษารากฐานที่มั่นคงในแคว้นตงอันได้อีกต่อไป เราอาจจะต้องออกจากเมืองไปยังเมืองอื่นทันทีที่คนอื่นรู้เรื่องเกี่ยวกับการตายของวายเนอร์ตี้และวายเนอร์เสิน”
“แล้วไง มันไม่ใช่ว่าตระกูลวายเนอร์ของเราที่ครองครองเหมืองตอนนี้รึ อย่าไปมีเรื่องกับส่วนร่วมนี้ เนื่องจากคนที่ชื่อเจี้ยนเฉินนั้นสามารถออกมาจากสุสานราชาเทพต้วนมู่ได้ ซึ่งแม้แต่ขั้นเหนือเทพก็ไม่อาจจัดการกับเขาได้ หากตระกูลวายเนอร์ของเราไม่ล่วงเกินเขา หากมีภัยพิบัติ….หยกของราชาเทพต้วนมู่ เห้อ~ มันเป็นเพราะข้าทำเรื่องเหล่านี้ลวกเกินไป”
ขั้นเทพช่วงต้นของตระกูลวายเนอร์ออกไปอย่างเศร้า ๆ เขาไม่ได้บอกข้อมูลของเจี้ยนเฉิน
มีเพียงตระกูลวายเนอร์เท่านั้นที่มีข้อมูลเกี่ยวกับเจี้ยนเฉินจากคนทั้งเมือง ตามหลักแล้วตระกูลที่ทรงพลังอื่น ๆ จะไม่รู้ หากว่าเขาไม่ได้พูด
“โปรดอย่างกังวล ข้ามีความสัมพันธ์กับขั้นเหนือเทพปิงเหลาจากตระกูลหยูปิงของแคว้นหิมะเย็นเยือก ข้าจะขอให้เขามาทันทีและจัดการสิ่งต่าง ๆ ให้กับเรา” ชายชราที่ถามไป่ซีฉีก่อนหน้านี้พูด มีแสงที่เย็นชาแว่บผ่านสายตาของเขา เห็นได้ชัดว่าเขาโกรธมาก
ชายชราเป็นคนจากตระกูลหนานหยุนและเป็นหนึ่งในสามคนที่อำนาจมากที่สุดในแคว้นตงอันเช่นเดียวกับชายวัยกลางคนชุดแดง
ขั้นเทพจากแคว้นตงอันต่างก็ยิ้มแย้มเมื่อพวกเขาได้ยินเรื่องนี้ ขั้นเหนือเทพปิงเหลาเป็นจอมยุทธที่มีชื่อเสียง มันสามารถบอกได้ว่าเขามาถึงจุดสูงสุดของขั้นเหนือเทพช่วงต้น และห่างจากขั้นเหนือเทพช่วงกลางเพียงก้าวเดียว
Swish! With a gentle, almost undetectable breeze, the late God from the Nanyun clan left the place as he hurried off to the Frigid Snow province.
วูซ! เหลือเพียงสายลมอ่อนที่ไม่อาจสัมผัสได้ ขั้นเทพช่วงปลายจากตระกูลหนานหยุนออกมาจากสถานที่ตรงนี้ขณะที่เขารีบไปยังแคว้นหิมะเย็นเยือก
แคว้นหิมะเย็นเยือกเต็มไปด้วยหิมะและน้ำแข็งตลอดทั้งปี สภาพอากาศของเมืองเต็มไปด้วยความหนาวจากน้ำแข็ง มันเป็นดั่งโลกน้ำแข็ง ไม่ว่าดวงอาทิตย์จะสาดส่องมาหลายปี มันก็ไม่อาจละลายน้ำแข็งของที่นี่ได้
มีตำนานที่ว่ากันว่าอยู่ในแคว้นหิมะเย็นเยือกมันกล่าวว่าผู้ก่อตั้งอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน จอมยุทธขอบเขตตั้งต้นได้หยดเลือดที่เย็นยะเยือกลงบนพื้นที่เหล่านี้และมันก็ได้กลายเป็นสภาพแวดล้อมที่พิเศษขึ้นมา
ว่ากันว่าการเปลี่ยนแปลงนี้ได้ดึงดูดจอมยุทธที่มีชื่อเสียงจำนวนมากจากทั่วทุกภูมิภาค แม้แต่ขั้นราชาเทพก็รีบมาจากที่ไกล ๆ เพื่อมาตรวจสอบสถานที่ แต่พวกเขาก็ไม่พบอะไรเลยในท้ายที่สุด เมื่อเวลาผ่านไปแคว้นหิมะเย็นเยือกก็ไม่ได้ลึกลับอีกและห่างหายไปจากคนทั่ว ๆ ไป ท้ายที่สุดมันก็ได้กลายเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน
แคว้นหิมะเย็นเยือกกลายเป็นโลกของตระกูลหยูปิงเมื่อพวกเขาเข้ามาในตอนนี้ พวกเขาสามารถครอบครองได้เพราะพวกเขามีขั้นเหนือเทพและตระกูลหยู่ปิงก็เป็นตระกูลอันดับหนึ่งในแคว้น
ชายชราคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นบนทางเข้าตระกูลหยูปิง เขาเป็นบรรพชนของตระกูลหนานหยุนที่รีบมาจากแคว้นตงอัน
บรรพชนตระกูลหนานหยุนยังคงถ่อมตัวมากขึ้นหลังจากที่เขามาถึง เพียงพลิกมือของเขา หยกโบราณก็ปรากฏขึ้นในมือ ขณะที่เขานำหยกนี้ส่งไปให้เด็กเสื้อขาวที่เดินออกมา เด็กคนนี้อายุไม่ถึง 6 หรือ 7 ขวบ เขาเป็นเพียงขอบเขตเซียน แต่สายตาของทหารอารักขาที่ทางเข้าตระกูลหยูปิงก็ก้มหัวลงพร้อมกับมีสายตาที่เครารพต่อเด็กคนนี้
นี่เป็นเพราะเขาจำเด็กคนนี้ได้ แม้ว่าเขาจะไม่ทรงพลัง แต่เขาก็รับใช้บรรพชนของตระกูลปิงเหลา
เด็กมาถึงหน้าบรรพชนตระกูลหนานหยุนและป้องมือเข้าให้ เขาเอ่ยว่า “ผู้อาวุโส ท่านบรรพชนเชิญท่านเข้าไปข้างใน โปรดมากับข้า”
ชายชราจากตระกูลหนานหยุนรู้สึดประหลาดใจอย่างมาก เขาคิดกับตัวเองว่า “ข้าไม่คิดเลยว่าปิงเหลาจะรู้ทันทีที่ข้ามาถึงที่นี่ เขายังส่งคนรับใช้มานำทางข้า นั่นหมายความว่าเขายังไม่ลืมอดีต….”
พร้อมกับถอนหายใจ บรรพชนตระกูลหยานหยุนก็ตามเด็กคนนั้นไปถึงภูเขาน้ำแข็งบนเนินเขา เมื่อเขามาถึงดวงตาของเขาก็หรี่ลง เขาจ้องมองไปข้างหน้าอย่างมั่นคง ที่อยู่ห่างจากเขาไปด้านหน้าหนึ่งร้อยเมตร มีปิงเหลายืนอยู่พร้อมกับไม้เท้าหัวมังกรที่ทำมาจากน้ำแข็ง
บรรพชนจากตระกูลหยานหยุนเริ่มมีสีหน้าที่ผสมปนเปกัน เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงวันเวลาที่เขาใช้ในการร่อนเร่กับปิงเหลา
หลายปีก่อน ทั้งสองเป็นสหายที่ดีต่อกัน พวกเขาท่องเที่ยวไปทั่วโลก เมื่อพวกเขายังเป็นแค่ขั้นเทพในอดีต แต่ปิงเหลากลายเป็นขั้นเหนือเทพไปแล้วในตอนนี้ ขณะที่เขายังคงเป็นแค่ชั้นเทพ
ความแตกต่างกันด้านความแข็งแกร่งดูเหมือนจะแยกพวกเขาทั้งสองออกจากกันโดยไม่รู้ตัว
“หยานหยุนตง มันเป็นเวลาหลายพันปีแล้วที่เราได้พบกัน” ปิงเหลาค่อย ๆ ยืนขึ้นและถอนหายใจ เวลานั้นเร็วราวกับลูกศรจริง ๆ เขารู้สึกไม่คุ้นเคยเล็กน้อยเมื่อพวกเขาเห็นหนานหยุนตงในวันนี้
“ใช่ มันก็ผ่านมาหลายหมื่นปีแล้ว เวลาผ่านไปเร็วจริง ๆ ” นัยต์ตาของหนานหยุนตงมองไปยังร่างของชายชรา สหายของเขา เขารู้สึกว่าอะไร ๆ ก็เปลี่ยนไป
ถ้ามันไม่ใช่เพราะความสำคัญที่เป็นเรื่องบังคับอย่างไม่มีทางเลือก เขาก็ไม่ต้องการรบกวนสหายสนิทของเขา ซึ่งตอนนี้ไม่มีความคุ้นเคยเลย
ปิงเหลาเดินเข้าหาหนานหยุนตง เพียงโบกมือโต๊ะและเก้าอี้ที่ทำจากน้ำแข็งก็ปรากฏอย่างเงียบ ๆ ปิงเหลาผายมือให้เขานั่ง ก่อนที่เขาจะนั่งลงอย่างช้า ๆ
หนานหยุนตงไม่ได้ต่อต้านและนั่งลงก่อนปิงเหลา แม้ว่าพวกเขาจะมีความแตกต่างกันมากในเรื่องของพลัง แต่ก็ไม่จำเป็นต้องทำตัวเคารพเหมือนกับที่เขาทำกับขั้นเหนือเทพคนอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ปิงเหลา
“หนานหยุนตง เจ้ามาหาข้าเป็นพิเศษในวันนี้และอาจไม่ใช่เพราะว่าเจ้าต้องการพบข้า บอกข้าว่าเจ้าเจอปัญหาอะไร หากมันอยู่ในความสามารถของข้า ข้าจะช่วยเจ้าอย่างแน่นอน” ปิงเหลากล่าว