เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 1769: ร่างบรรพกาลขั้นที่ 10 (3)
ตอนที่ 1769: ร่างบรรพกาลขั้นที่ 10 (3)
“ข้าไม่อาจซ่อนอะไรจากเจ้าได้จริง ๆ ” หนานหยุนตงยิ้มอย่างขมขื่น เขาถอนหายใจเบา ๆ แล้วพูดช้า ๆ “ปิงเหลา ตอนนี้ข้าเจอปัญหาใหญ่ในแคว้นตงอัน”
เมื่อปิงเหลาได้ฟังหนานหยุนตง เขาก็โบกมือเบา ๆ น้ำแข็งปรากฏและกลายมาเป็นสุราสองจอกทันที เขาหยิบสุราล้ำค่าออกจากแหวนมิติของเขาและเทลงจอกสุราทั้งสองใบ
หนานหยุนตงยกจอกสุราขึ้นอย่างช้า ๆ หลังจากนั้นก็ถือจอกค้างไว้ก่อนที่จะชนจอกกับปิงเหลา จากนั้นเขาก็วางจอกลงและพูดอย่างช้า ๆ ว่า “มีเหมืองเหรียญผลึกระดับสูงขนาดเล็กที่แคว้นตงอันของเรา แม้ว่ามันจะเป็นเหมืองเล็ก ๆ แต่ก็มีความสำคัญอย่างมากจากเมืองของเรา มันเกี่ยวข้องกับอนาคตของตระกูลหนานหยุนด้วย”
“เพราะมีขั้นเหนือเทพจากอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ที่อื่นเข้ายึดครองเหมือง ด้วยความแข็งแกร่งในตอนนี้ของแคว้นจึงไม่อาจมีใครคุกคามขั้นเหนือเทพผู้นั้นได้ ดังนั้นข้าจึงต้องมาหาเจ้าเพื่อดูว่าเจ้าสามารถแก้ปัญหาได้หรือไม่”
ปิงเหลามองไปที่หนานหยุนตงอย่างลึกซึ้งและยิ้มบาง ๆ “ในเมื่อเจ้ามาหาข้าแบบนี้ ดูเหมือนว่าตระกูลหนานหยุนได้ใช้เหรียญผลึกไปมาก หากเจ้าไม่ได้รับเหมืองกลับ ตระกูลของเจ้าอาจจะแตกกระซานซ่านเซ็นและได้รับความสูญเสียอย่างมาก”
หนานหยุนตงยิ้มอย่างงุ่มงาม “เจ้าล้อข้าเล่นแล้ว พี่ปิงเหลา ตอนนี้ตระกูลหนานหยุน ตระกูลฮูและตระกูลตงได้รับเหรียญผลึกเพียงแค่หนึ่งในสี่ส่วน อีกสามในสี่ส่วนเป็นของตระกูลอื่น ๆ ” หนานหยุนตงหยุดพูดชั่วคราว จากนั้นก็ยิ้มอย่างลึกซึ้งและพูดต่อว่า “ตระกูลหรือครอบครัวอื่น ๆ ในแคว้นนั้นมีขั้นเทพน้อยมาก แคว้นของเขานั้นอยู่ด้วยได้เพราะสุสานของราชาเทพต้วนมู่ แต่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ออกมา นอกจากนั้นขั้นเทพตระกูลหนานหยุนของเราได้ตายไปเมื่อไม่กี่ปีก่อน เราไม่อาจปล่อยให้ใครตายได้อีก”
หนานหยุนตงขอให้ปิงเหลายึดเหมืองกลับมาให้กับแคว้นตงอัน เพราะเขาคิดว่าตระกูลผู้มีอำนาจในเมืองต่างก็สูญเสียอย่างหนักจากการเปิดสุสานของราชาเทพต้วนมู่ พวกเขาหลายคนอาจสูญเสียสิทธิ์ที่จะอยู่ในเมือง ดังนั้นวิธีการยึดเหมืองเหรียญผลึกจะต้องทำให้ได้อย่างแน่นอน ในเวลานั้นตระกูลหนานหยุนของเขายืมมือของปิงเหลาเพื่อต้องการส่วนแบ่งซึ่งมากที่สุดไป
ปิงเหลาพยักหน้าและพูดอย่างง่าย ๆ “เอาล่ะ ข้าจะช่วยเจ้า หนานหยุนตง ข้าคิดว่าเจ้าจะได้เป็นขั้นเหนือเทพในไม่ช้า”
หนานหยุนตงยิ้มแย้มขึ้นทันทีเมื่อเขาได้ยินคำตอบของปิงเหลา ดูเหมือนว่าเขาจะนึกถึงบางสิ่งและเสริมว่า “ใช่แล้ว ขั้นเหนือเทพที่ยึดเหมืองนั้นดูเหมือนจะเข้าใจกฏของกระบี่”
“ขั้นเหนือเทพที่เข้าใจกฎของกระบี่หรือ ? ”
ถ้าจะให้ดีหนานหยุนตงไม่ควรพูดเรื่องนี้ ดวงตาของปิงเหลาหรี่ลงทันทีเมื่อเขาได้ยินคำพูดนี้
ในฐานะที่เป็นขั้นเหนือเทพ ปิงเหลามีข้อมูลมากกว่วขั้นเทพอย่างหนานหยุนตง คนที่เป็นอย่างหนานหยุนตงนั้นจะรู้จักขั้นเหนือเทพเพียงไม่กี่คนในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน ในขณะที่ปิงเหลานั้นรู้จักขั้นเหนือเทพมากมายในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ทั้งหมด โดยทั่วไปเขารู้จักแม้กระทั่งขั้นเหนือเทพทั้งหมดในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ใกล้เคียงเช่นกัน
นอกจากนี้เขายังรู้ว่านอกเหนือจากหลิงเฮ่ากงและเจี้ยนเฉินที่เขาเข้าร่วมที่สุสานราชาเทพต้วนมู่แล้วก็ไม่มีคนอื่นอีกที่จะเข้าใจกฏของกระบี่
“หนานหยุนตง เจ้ารู้ไหมว่าเหนือเทพนั้นมีรูปร่างหน้าตาอย่างไร ? ” ปิงเหลาจ้องไปที่หนานหยุนตงอย่างสนใจ รูปลักษณ์ภายนอกที่ยิ้มแย้มได้หายไปและเปลี่ยนเป็นดุร้ายขึ้นมา
การเปลี่ยนแปลงของปิงเหลาทำให้หนานหยุนตงตกตะลึงทันที ทันใดนั้นเขาก็บังเกิดลางสังหรณ์ที่เลวร้ายมาก อย่างไรก็ตามเขาไม่ลังเล ด้วยความทรงจำที่น่าทึ่งของเขา เขาดึงรูปที่ไป่ซีฉีวาดออกมา
เขาไม่ตกใจเลยเมื่อได้เห็นรูปวาดของเจี้ยนเฉิน
เมื่อปิงเหลาเห็นว่านั่นคือเจี้ยนเฉิน สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที เขาวางจอกสุราน้ำแข็งลงเบา ๆ จากนั้นก็ถอนหายใจเบา ๆ
“พี่เหลา ท่านรู้จักเขางั้นหรือ ? ” หนานหยุนตงอดไม่ได้ที่จะถาม
ปิงเหลาตอบหลังจากที่เงียบไปครู่หนึ่ง”ข้ารู้จักเขา เขาเป็นคนแรกที่เข้าไปในสุสานด้วยหยกของราชาเทพต้วนมู่ เขามีพลังอย่างมาก ขั้นเหนือเทพช่วงต้น 2 คนตายด้วยน้ำมือเขาในสุสาน”
หนานหยุนตงมีสีหน้าย่ำแย่ เขาบ่นออกมาว่า “แท้จริงแล้วเขาเป็นคนแรกที่เข้าไปในสุสาน ? เขาเป็นคนที่ฆ่าขั้นเทพจากตระกูลหนานหยุนของข้าและตระกูลฮูเมื่อหลายปีก่อนใช่หรือไม่ ? ”
ปิงเหลาจ้องมองไปที่หนานหยุนตงอย่างจริงจังและพูดว่า “หนานหยุนตง เมื่อคิดว่าครั้งหนึ่งเราเคยได้ท่องโลกมาด้วยกันกับข้า ข้าขอเตือนเจ้าอย่าไปจองเวรกับคนผู้นี้ เขาซับซ้อนกว่าที่เราคิด ไม่เพียงแต่เขาจะทรงพลังอย่างมาก แต่ยังมีจอมยุทธชั้นยอดหนุนหลังเขาอีกด้วย” ปิงเหลาอดที่จะนึกถึงนางฟ้าเฮายู่ไม่ได้เมื่อเขาพูดถึงจอมยุทธชั้นยอด แม้ว่านางจะเป็นจิตวิญญาณที่บอบบาง นางก็ยังสามารถผ่านม่านพลังของกฎจากราชาเทพต้วนมู่ผู้ซึ่งขาดเพียงก้าวเดียวถึงจะเข้าขอบเขตตั้งต้น นั่นสามารถอธิบายได้ทุกอย่าง
มันอธิบายได้ว่า นางฟ้าเฮายู่นั้นมีพลังมากในเมื่อตอนที่นางยังมีชีวิตและความเข้าใจด้านกฎของนางก็เหนือกว่าราชาเทพต้วนมู่
อย่างไรก็ตามปิงเหลาไม่รู้ว่านายน้อยที่เข้ามาช่วยเจี้ยนเฉินนั้นท้ายที่สุดเขาก็มีเบื้องหลังที่ยอดเยี่ยมเช่นกัน ที่จริงเขามีราชาเทพเป็นองครักษ์ส่วนตัว
ใบหน้าของหนานหยุนตงเปลี่ยนไปทันทีเมื่อเขาได้ยินคำเตือนที่จริงจังของปิงเหลา
“อย่าสืบสาวความถึงความตายของขั้นเทพตระกูลเจ้าอีกและเป็นการดีที่สุดถ้าตระกูลในแคว้นตงอันหยุดคิดถึงเหมืองเหรียญผลึกระดับสูง สิ่งที่เขาขาดมากที่สุดตอนนี้คือทรัพยากรบ่มเพาะเช่นเหรียญผลึก” ปิงเหลากล่าวต่อ เขากลัวว่าหนานหยุนตงจะล่วงเกินเจี้ยนเฉิน
…
หลายวันต่อมา หนานหยุนตงกลับมาที่แคว้นตงอัน เขาไม่ได้บอกทุกคนเกี่ยวกับการพูดคุยของเขากับปิงเหลาและเขาก็ไม่ได้อธิบายใด ๆ เขาประกาศออกมาว่าตระกูลหนานหยุนไม่ต้องการเหมืองเหรียญผลึกในเทือกเขาเมฆดำและจะไม่เข้าไปมีส่วนร่วมในเรื่องนี้อีกต่อไป
การถอนตัวของตระกูลหนานหยุนทำให้เกิดความไม่สงบใจแคว้นใหญ่ทันที แม้ว่าตระกูลหนานหยุนจะไม่ได้บอกอะไร แต่ตระกูลที่มีอำนาจในเมืองอื่นต่างก็ไม่โง่เช่นกัน พวกเขาบอกได้ว่าพวกเขาไม่อาจยั่วยุขั้นเหนือเทพที่ยึดเหมืองได้ผ่านการกระทำของตระกูลหนานหยุน
ตระกูลฮูและตระกูลตงยังคงนิ่งเฉยกับเรื่องในเทือกเขาหลังจากที่ตระกูลหนานหยุนประกาศถอนตัว
แม้แต่สามตระกูลที่ทรงพลังในแคว้นตงอันก็ไม่เต็มใจที่จะแตะต้องเทือกเขาเมฆดำ ดังนั้นตระกูลอื่น ๆ ในเมืองก็เข้าใจว่าพวกเขาไม่อาจยึดเหมืองกลับมาได้ แม้ว่าพวกเขาจะรู้สึกสิ้นหวัง แต่ก็ไม่มีอะไรที่พวกเขาสามารถทำได้
“มันผ่านไปสามเดือนแล้ว ตระกูลเหล่านั้นในเมืองยังไม่เคลื่อนไหว” เฉินเจี้ยนที่สวมชุดดำพึมพำ ขณะที่เขานั่งอยู่บนยอดเขาพร้อมกับมองมาที่แคว้นตงอัน
ตอนนี้มันเป็นเวลา 3 เดือนแล้วตั้งแต่เจี้ยนเฉินเก็บตัวบ่มเพาะ เฉินเจี้ยนจึงนั่งรอคนของตระกูลในช่วงเวลานี้ แต่ก็เห็นได้ชัดว่าไม่มีใครแม้แต่จนเดียวจากแคว้นที่มา
เหรียญผลึกหลายแห่งอยู่ลึกลงไปใค้ดินได้กลายเป็นหินปกติหลังจากที่สูญเสียพลังงานดั้งเดิมในระหว่างการบ่มเพาะของเจี้ยนเฉินตลอดเวลา 3 เดือน