เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 1819 : การเคลื่อนไหวของลัทธิปีศาจชั้นฟ้า (I)
- Home
- เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god)
- ตอนที่ 1819 : การเคลื่อนไหวของลัทธิปีศาจชั้นฟ้า (I)
ตอนที่ 1819 : การเคลื่อนไหวของลัทธิปีศาจชั้นฟ้า (I)
“ข้าแค่หวังว่าองค์กรนั่นจะไม่สนใจเรื่องเล็กเช่นนี้ ไม่งั้นแล้วตระกูลหลิงคงต้องมีปัญหาอย่างมากหากพวกนั้นคิดจะเอาเรื่องเรา” หลิงโม่เจียนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
เจี้ยนเฉินนั่งเงียบอยู่ดังเดิม เขาเข้าใจเรื่องลัทธิปีศาจชั้นฟ้ามากกว่าขั้นเหนือเทพคนอื่นในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน แม้แต่องค์กรระดับสูงอย่างที่ราบเมฆาก็ยังไม่กล้าหาเรื่องลัทธิปีศาจชั้นฟ้านัก หลิงเฮ่ากงนั้นเสี่ยงอย่างมากกับกระบี่ในครั้งนี้
“ข้าหวังว่าหลิงเฮ่ากงจะยกระดับตัวเองได้เร็วพอหลังจากที่ได้รับมรดกของราชาเทพต้วนมู่ไป โชคดีที่เขาเพียงแต่ล่วงเกินรองหัวหน้าสาขาของที่ราบเมฆาไม่ใช่ทั้งองค์กร” เจี้ยนเฉินคิด เขาไม่อยากเห็น หลิงเฮ่ากง ตายด้วยน้ำมือของลัทธิปีศาจชั้นฟ้า “ในหลายปีที่ผ่านมานี้มีหลายคนที่เราไม่รู้จักปรากฏตัวขึ้นในแคว้นค้นกระบี่ของเรา แม้ว่าพวกนั้นจะอยู่เพียงขั้นศักดิ์สิทธิ์โดยมีหลายคนอยู่ขอบเขตดั้งเดิม แต่เราก็พบข้อมูลหลังจากที่จับตาดูว่าพวกนั้นเพื่อตระกูลหลิงของเรา เรารู้เรื่องนี้เพราะพวกนั้นต่างก็เลือกโรงเตี้ยมที่อยู่ใกล้กับตระกูลของเรา พวกนั้นเหมือนจับตาดูการเคลื่อนไหวของเราอยู่” หัวหน้าตระกูลหลิงพูดขึ้นมาด้วยท่าทีเคร่งเครียด เสียงของเขาเองก็ฟังดูเหมือนหมดหนทาง
ชัดแล้วว่าเขารู้ว่าคนเหล่านี้มาจับตาดูตระกูลหลิง แต่ตระกูลหลิงไม่กล้าที่จะเคลื่อนไหว นี่เพราะบรรพชนของตระกูลหลิงไม่ได้อยู่ที่นี่และเมื่อไม่มีบรรพชน ทุกอย่างที่พวกเขาต้องการจะทำก็กลายเป็นเรื่องยากในช่วงเวลาเช่นนี้
นี่เพราะพวกเขากลัวว่าพวกเขาจะมีปัญหาหากจับคนพวกนั้นมาสอบถามและพบว่าเป็นคนจากองค์กรใหญ่ ไม่ใช่แค่ล้มเหลวจะช่วยตระกูลหลิงแต่ยังทำให้เกิดปัญหาใหญ่ขึ้นมาแทน
“ คนที่ไม่รู้จัก ? ” เจี้ยนเฉินหรี่ตาลงเมื่อได้ยินเช่นนั้น เขาคิด “ใช่ลัทธิปีศาจชั้นฟ้าหรือไม่ ? รึว่ามาจากตระกูลอื่นที่มีขั้นเหนือเทพ ? ”
แต่เจี้ยนเฉินก็หมดหนทางในสถานการณ์ของตระกูลหลิงเช่นกัน แม้ว่าเขาจะชื่นชมหลิงเฮ่ากงและต้องการจะช่วยอีกฝ่าย แต่น่าเศร้าที่เขาไม่มีพลังพอที่จะทำเช่นนั้น
เจี้ยนเฉินไม่ได้อยู่ที่ตระกูลหลิงนานนัก หลังจากผ่านไปครึ่งวันเขาก็ลุกขึ้นยืนและร่ำลาทุกคน ก่อนที่เขาจะกลับนั้นเขาได้ให้เครื่องรางหยกกับหัวหน้าตระกูลหลิงและพูดด้วยท่าทีสบาย ๆ “มีพลังวิญญาณข้าอยู่ในเครื่องรางนี้ หากหลิงเฮ่ากงกลับมาหรือตระกูลหลิงประสบปัญหาที่ต้องการความช่วยเหลือจากข้า เจ้าทำลายเครื่องรางหยกนี้ แล้วข้าจะรีบมาให้เร็วที่สุด”
ท่าทีของเจี้ยนเฉินทำให้หลิงโม่เจียนและคนอื่น ๆ ต้องตะลึง พวกเขาสงสัยว่าเจี้ยนเฉินมีความสัมพันธ์ยังไงกับบรรพชนของพวกเขา ทั้ง ๆ ที่เขาเพิ่งมายังตระกูลหลิงเป็นครั้งแรกแต่กลับเสนอความช่วยเหลือมากถึงเพียงนี้ เขาถึงกับให้วิธีติดต่อเขาก่อนที่จะกลับไปด้วย
แม้ว่าจะสงสัยแต่หลิงโม่เจียนทำราวกับดีใจ เขารีบรับเครื่องรางมาและถือมันราวกับเป็นสมบัติพร้อมยังขอบคุณ เจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินออกจากแคว้นค้นกระบี่ หลังจากนั้นเขาก็กลับไปยังเมืองหลัก ย้อนกลับไปตอนอยู่ในสุสานราชาเทพ เขากับหลิงเฮ่ากงไม่ได้รู้จักกันแต่อีกฝ่ายกล้าที่จะชักกระบี่ของตัวเองออกมาสู้กับขั้นเหนือเทพคนอื่นเพื่อเขา
เจี้ยนเฉินจำเรื่องนี้ได้ขึ้นใจ เขาได้พูดคุยกับหลิงเฮ่ากงอยู่บ้างหลังจากนั้นและทำให้เขาชื่นชมจิตใจของหลิงเฮ่ากง เขาจะไม่ช่วยหลิงเฮ่ากงเมื่อประสบปัญหาได้ยังไง ?
โชคร้ายที่ตอนนี้เขาอ่อนแอเกินไป เขาต้องรับมือกับลัทธิปีศาจชั้นฟ้าที่น่ากลัวและเขาก็หมดหนทางในการรับมือกับพวกนี้
ไม่งั้นแล้วเขาคงไม่รังเกียจที่จะช่วยหลิงเฮ่ากงแก้ไขเรื่องนี้ด้วยการปลิดชีวิตรองหัวหน้าอย่างห้วยอันด้วยตัวเอง
ผู้อาวุโสลัทธิปีศาจชั้นฟ้านั้นน่ากลัว เขาอยู่ในจุดที่พลังของเขาทำให้เจี้ยนเฉินตะลึงแต่ลัทธิปีศาจชั้นฟ้ามีหลายาขาและแต่ละสาขาก็มีรองหัวหน้าหลายคน ผลก็คือมันมีรองหัวหน้าอยู่หลายสิบคน
มันเพราะการปลิดชีวิตรองหัวหน้าเพียงคนเดียวนั้นไม่เพียงพอที่จะทำให้ผู้อาวุโสสูงสุดปรากฏตัวออกมาด้วยตัวเองได้
“หลิงเฮ่ากง นี่คือทั้งหมดที่ข้าจะช่วยเจ้าได้ในตอนนี้ ข้าหวังว่าเจ้าจะดูแลตัวเองและแข็งแกร่งขึ้นมาในไม่ช้า” เจี้ยนเฉินคิด
แต่สิ่งที่เจี้ยนเฉินไม่รู้ก็คือตอนที่เขาออกมาจากแคว้นค้นกระบี่ หัวหน้าตระกูลหลิงได้เข้าห้องลับที่มีค่ายกลวางไว้ทันที สีหน้าดีใจและตื่นเต้นที่แสดงออกมาก่อนหน้านี้หายไป เขามองไปที่เครื่องรางของเจี้ยนเฉินด้วยความไม่มั่นใจ
สักพักเขาก็เอากล่องหยกออกมาวางเครื่องรางของเจี้ยนเฉินไว้ด้านในกล่อง ในเวลาเดียวกันเขาก็วางค่ายกลใส่กล่องไว้และวางมันไว้ที่ใจกลางห้อง จากนั้นเขาถึงได้ออกจากห้องมาโดยไม่ได้เอากล่องออกมากับตัวด้วย
ไม่นานหลิงโม่เจียนก็ไปถึงห้องที่ดูลึกลับกว่าแต่ก่อน เขามองไปรอบ ๆอย่างระมัดระวังและเข้าไปในห้องหลังจากที่ยืนยันว่าไม่มีอะไรผิดปกติ ตอนที่เขาเข้าไปในห้องนั้น ค่ายกลที่ทรงพลังก็ครอบคลุมห้องในทันที
ค่ายกลนี้ทรงพลังจนยื้อขั้นเหนือเทพได้สักพัก ที่สำคัญที่สุดคือค่ายกลนี้ตัดความสามารถอย่างการรับรู้วิญญาณได้
หลิงโม่เจียนคือคนเดียวในห้องนี้ มันไม่มีใครอื่นในห้องอีก
หลิงโม่เจียนเดินไปที่ใจกลางห้องแล้วสร้างผนึกด้วยมือทั้งสอง เขาได้ใช้ทักษะลับก่อนจะมีค่ายกลซับซ้อนปรากฏขึ้นมาที่พื้น
“โม่เจียน มีเรื่องสำคัญอะไรเกิดขึ้นในตระกูล เจ้าถึงได้ติดต่อข้ามาด้วยทักษะลับ ? ” ตอนนั้นก็มีเสียงฟังดูเก่าแก่แต่มีชีวิตชีวาดีงขึ้นมาจากค่ายกล ชายแก่ในชุดขาวปรากฏตัวขึ้นมาในค่ายกลนั้น
ชายแก่ผู้นี่ดูราวกับปราชญ์ สายตาเขาเป็นประกายและคมกริบราวกับกระบี่ แม้ว่าจะดูมีอายุมากกว่า 80 ปีแต่หลังเขาก็ยังตั้งตรงราวกับกระบี่ที่เพิ่งชักออกมา เขาแผ่เจตจำนงกระบี่ที่แข็งแกร่งออกมาจากตัว
ชายแก่ผู้นี้คือหลิงเฮ่ากงที่หายตัวไป
“บรรพชน หัวหน้าตระกูลเทียนหยวน เจี้ยนเฉิน เพิ่งจะมาหาเมื่อตะกี้….” หลิงโม่เจียนบอกทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างที่เจี้ยนเฉินมาเยี่ยมให้หลิงเฮ่ากงฟัง
“บรรพชน ตอนที่ เจี้ยนเฉิน กลับไป เขาได้ให้เครื่องรางหยกที่มีพลังวิญญาณของเขาไว้ เขาบอกว่าหากท่านกลับมาหรือตระกูลหลิงประสบปัญหาใด ๆ ข้าควรทำลายมัน ข้าสงสัยว่าเขาเชื่อใจได้รึไม่ ? ” หลิงโม่เจียนพูดด้วยท่าทีระมัดระวัง
“ข้าไม่คิดว่าน้องเจี้ยนเฉินจะก่อตั้งตระกูลเทียนหยวนในแคว้นตงอันแล้ว น่าเสียดายที่ข้าไม่อาจจะเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระ ไม่งั้นข้าคงต้องไปยินดีกับเขาด้วยตัวเอง” หลิงเฮ่ากงถอนหายใจออกมา มันก็ผ่านมาหลายสิบปีแล้วตั้งแต่ที่เขาติดต่อกับตระกูล เขามักจะเก็บตัวอยู่ในที่ลับเพื่อบ่มเพาะและไม่ออกมาติดต่อกับโลกภายนอก ผลก็คือเขาเพิ่งจะรู้เรื่องที่เจี้ยนเฉินก่อตั้งตระกูลขึ้นมาตอนนี้เอง
“แม้ว่าข้าจะเพิ่งเจอกับน้องเจี้ยนเฉินไม่นานมานี้ แม้ว่าจะมีอันตรายมากมายในโลกเซียน แต่ข้าก็เชื่อว่าน้องเจี้ยนเฉินนั้นเป็นคนดี เขาเป็นคนที่เชื่อใจได้ แม้ว่าน้องเจี้ยนเฉินจะบอกว่าเขาจะช่วยเจ้า แต่เจ้าก็ต้องระมัดระวัง หากตระกูลหลิงประสบปัญหาที่แม้แต่ข้าก็ไม่อาจจะจัดการได้ อย่าติดต่อน้องเจี้ยนเฉินไป อย่าทำให้เขามีปัญหา เข้าใจหรือไม่ ? ” หลิงเฮ่ากงพูดขึ้นมา