เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 1822 : เมืองหลวงของปิงเทียน
ตอนที่ 1822 : เมืองหลวงของปิงเทียน
“รับทราบ ! ” แม่ทัพคนหนึ่งลุกขึ้นยืนแล้วคุกเข่าลงไปที่พื้นรับคำสั่งทันที
หลิวชานได้ออกจากห้องโถงไปและเรียกรองแม่ทัพเข้ามาหา
“แม่ทัพหลิว เกิดอะไรขึ้น ? เราจะโจมตีเมืองหลวงงั้นรึท่านถึงได้เรียกเราเร่งด่วนแบบนี้ ? ” ไม่นานก็มีชายกำยำ 2 คนชุดดำเดินเข้ามาหาพร้อมกับแผ่พลังปีศาจออกมารอบตัว
แม้ว่าพวกนั้นจะเดินมาแบบสบาย ๆ แต่พวกเขาก็เดินทางได้หลายพันเมตรต่อก้าว มันราวกับว่าระยะทางนั้นไม่ต่างอะไรกับไม่กี่นิ้วเลย
พวกนั้นยังอยู่ห่างออกไปหลายกิโลเมตรตอนที่เริ่มพูดคุยกันและใช้เวลาไม่ถึง 5 วินาที ก่อนที่จะพูดจบแต่ในเวลาสั้น ๆ นั้นพวกนั้นได้มายืนอยู่ตรงหน้าหลิวชานแล้ว
“เจ้าคงได้ยินเรื่องเกี่ยวกับผู้สืบทอดของราชาเทพต้วนมู่มาแล้ว ตะกี้นี้ผู้พิทักษ์เซิงได้ถามข้าเรื่องนี้ในร่างวิญญาณ ผลก็คือแม่ทัพสั่งให้เราไปยังอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียนเพื่อจับตัวหลิงเฮ่ากง เจ้าสองคนมากับข้า” หลิวชานบอกกับทั้งสองคน ไม่ใช่แค่สองคนนี้จะเป็นตัวแทนเขา แต่ยังเป็นพี่น้องที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาด้วยกันกับเขาด้วย
“ผู้พิทักษ์เซิงมาถามเรื่องนี้ด้วยตัวเองเชียวหรือ ? ทำไมข้าจำได้ว่าแม่ทัพของเรานั้นมีความสัมพันธ์ที่แย่กับผู้พิทักษ์เซิง ? ทำไมเขาต้องฟังผู้พิทักษ์เซิงด้วย ? ” หนึ่งในคนสนิทได้ถามขึ้นมาด้วยความสับสนเมื่อได้ยินคำพูดของหลิวชาน
หลิวชานเคร่งเครียดแล้วตะคอกออกมา “รองหัวหน้าลัทธิห้วย กำลังจะออกจากการเก็บตัว ! ”
สีหน้าของคนสนิททั้งสองต่างก็เปลี่ยนไปเมื่อได้ยินเช่นนั้น พวกเขาอดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทีสุภาพและเคารพออกมา
“เราไม่ควรล่าช้า แม่ทัพหลิว ออกเดินทางให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้ ถึงหลิงเฮ่ากงผู้นี้จะพอมีชื่อเสียงอยู่บ้าง เขาถึงกับทำให้ผู้พิทักษ์เซิงนั้นสนใจและถึงกับทำให้แม่ทัพของเราสั่งให้เราไปจับเขาด้วยตัวเอง”
“ฮี่ฮี่ เมื่อขั้นเหนือเทพสามคนอย่างพวกเราลงมือด้วยตัวเอง หลิงเฮ่ากงก็ไม่น่าจะบ่นได้ว่าตายอย่างไร้ค่า….”
คนสนิททั้งสองพากันฮึดฮัดออกมาพร้อมสายตาที่ชั่วร้าย
…
บนถนนที่เหยียดยาวออกไปทุกทิศทางนอกเมืองหลวงของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน มีผู้บ่มเพาะหลายคนมารวมตัวกันพร้อมกับพ่อค้ามากมายที่เข้าออกผ่านประตูเมือง
มันมีเกวียนหรูหราที่ถูกลากโดยสัตว์อสูรหายากเดินทางเข้าไปยังเมืองหลวงช้า ๆ
ไม่ต้องเดาเลยว่าคนในเกวียนนั้นคือคนที่มีอำนาจอยู่บ้าง
แต่ไม่ว่าจะมีภูมิหลังยิ่งใหญ่เท่าใด พวกเขาก็ไม่อาจจะบินเข้าไปยังเมืองหลวงได้ แม้แต่กลุ่มที่มีขั้นเหนือเทพก็ไม่อาจทำแบบนั้นได้
นี่เพื่อให้เคารพต่อเมืองหลวง มีแค่ราชาเทพเท่านั้นที่มองข้ามกฎและบินเข้าไปในเมืองได้
“ หยุดก่อน นี่คือเหรียญตราเข้าเมือง จำไว้ว่าเจ้าต้องจ่ายเหรียญผลึกระดับต่ำ 10 ชิ้นต่อวันที่เจ้าอยู่ในเมืองหลวง ไม่งั้นแล้วยามของเมืองจะมาจับตัวเจ้า” ยามคนหนึ่งอธิบายกับเจี้ยนเฉินตรงหน้าประตูและส่งเหรียญให้กับเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินเข้าไปในเมืองหลังจากที่รับเหรียญมา
“พลังงานดั้งเดิมหนาแน่นจริง ๆ เทียบกับเมืองหลักของแคว้นตงอันแล้ว มันมากกว่าหลายเท่า ไม่ใช่แค่มีเส้นสายแร่ผลึกอยู่ด้านล่างเมืองหลวง แต่มันยังมีค่ายกลในเมืองหลวงที่ดึงเอาพลังดั้งเดิมในรัศมีหมื่นกิโลเมตรเข้ามา เกินไปจริง ๆ ” เจี้ยนเฉินเดินอยู่ในถนนของเมืองหลวงและมองไปรอบ ๆ ด้วยความสนใจพร้อมกับศึกษาแผนผังของเมืองหลวง
ตอนนี้ความเข้าใจกฎแห่งกระบี่ของเขาเข้าถึงขั้นเหนือเทพช่วงปลายแล้ว การรับรู้ของเขายอดเยี่ยมกว่าแต่ก่อน เขาสามารถมองทะลุหลายอย่างได้ด้วยการมองเพียงแว่บเดียว
“ทั้งเมืองนี้ห่อหุ้มโดยค่ายกลขนาดใหญ่ ถนนและร้านทุกที่เชื่อมต่อกับค่ายกลทำให้ทั้งเมืองนี้แข็งแกร่งราวกับเหล็กกล้า แม้แต่การต่อสู้ระหว่างขั้นเหนือเทพก็ไม่อาจสร้างความเสียหายให้กับเมืองได้ ค่ายกลขนาดใหญ่เช่นนี้อยู่ในขั้นราชาเทพ มีแค่ราชาเทพเท่านั้นที่พังมันได้….”
“นอกจากค่ายกลป้องกันแล้ว มันยังมีค่ายกลกับดักและค่ายกลสังหารในนี้ด้วย ด้วยค่ายกลเหล่านี้แล้ว แม้แต่ราชาเทพก็อาจจะออกจากที่นี่โดยไร้รอยขีดข่วนไม่ได้หากสร้างปัญหาขึ้นมาที่นี่….”
เจี้ยนเฉิน ทึ่งกับเรื่องนี้จากก้นบึ้งหัวใจ เมืองหลวงแห่งนี้แข็แกร่งจนทำให้เขาต้องทึ่งจนถอนหายใจเมื่อเห็นมัน เขาคิดว่าเขาคงไร้กังวลหากค่ายกลของเมืองหลักนั้นแข็งแกร่งได้เช่นนี้
ตอนนั้นเจี้ยนเฉินก็ได้หยุด เขามองผ่านตึกที่เขากำลังจะเดินผ่านและเห็นตัวหนังสือเขียนเอาไว้ ‘ศาลากระบี่แท้จริง’ พวกมันถูกเขียนไว้โดยตัวหนังสือที่น่าหลงใหล มีปราณกระบี่ปะทุออกมา
ชัดแล้วว่าร้านนี้เป็นร้านที่โดดเด่นเรื่องกระบี่บิน
หลังจากที่หยุดได้ชั่วครู่ เจี้ยนเฉินก็เข้าไปโดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย
ศลาแห่งนี้เต็มไปด้วยกระบี่บินมากมาย มีกลุ่มคนไปรวมตัวกันภายในร้านใหญ่และทำการศึกษากระบี่ พวกเขาพากันส่ายหน้าด้วยความผิดหวังและพากันไปชมของในร้าน มีสาวงามคอยต้อนรับลูกค้าด้วยรอยยิ้มคอยนำกระบี่มาให้ลูกค้าดู
ในหมู่พวกนั้นมันมีคนกลุ่มหนึ่งที่โดดเด่นที่สุด พวกนั้นเป็นเป้าสายตาของคนในร้าน
คนกลุ่มนั้นมีผู้หญิง 2 คนและชายหนุ่มอีก 1 คน
ผู้หญิงคนหนึ่งมีใบหน้าที่งดงามอย่างมาก ไม่ใช่แค่ความงดงามที่โดดเด่นแต่นางยังมีเสน่ห์ล้นเหลือ สีหน้าของนางดูสุภาพ ทำให้นางดูเป็นคนเงียบ ๆ แค่มองแวบเดียวก็เพียงพอทำให้คนรู้สึกอบอุ่นในใจขึ้นมาได้
ผู้หญิงอีกคนเองก็มีความงามที่โดดเด่นเช่นกัน ใบหน้าของนางดูหยิ่งทะนง จากริมฝีปากที่โค้งงอนั้นนางดูเป็นผู้หญิงหยาบคายและไร้เหตุผล
ชายหนุ่มในชุดหรูหรานั้นรูปงามอย่างมากแต่ใบหน้าของเขาเองก็เต็มไปด้วยความหยิ่งทะนงราวกับว่าดูถูกทุกคนอยู่ ชัดแล้วว่าเขามาจากตระกูลที่แข็งแกร่ง
ยามหลายคนยืนอยู่ด้านหลังสามคนนั้น แม้ว่าจะเป็นแค่ขั้นแลกเปลี่ยนช่วงสูงสุดแต่ก็ชัดแล้วว่าไม่ได้เป็นคนไร้ฝีมือ
ตอนนั้นชายหนุ่มได้ยิ้มออกมาและบอกกับผู้หญิงที่ดูอ่อนโยนข้างกายเขาด้วยสายตาที่เต็มไปด้วยความหลงใหล