เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 1992: การเดินทางของซีหยู (2)
ตอนที่ 1992: การเดินทางของซีหยู (2)
สีหน้าของจักรพรรดิพยัคฆ์ศักดิ์สิทธิ์, รุยจิน, หงเหลียน,เฮยยู่และคนอื่น ๆ จากทวีปเทียนหยวนเปลี่ยนไปทั้งหมด
พวกเขารู้ได้โดยไม่ต้องคิดเลยว่าผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรเมื่อขั้นเหนือเทพเผชิญหน้ากับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตตั้งต้น
ในทางกลับกัน ดวงตาของจักรพรรดิซีก็สว่างวาบเมื่อเขาได้ยินสิ่งนั้น เขากล่าวว่า “เจ้ามีภาพของเจี้ยนเฉินหรือว่ามีสิ่งของที่ระบุพลังแห่งการมีอยู่ของเขาหรือไม่ ? ”
“เรามี ห้องผู้นำและห้องบ่มเพาะควรจะมีสิ่งของที่ระบุพลังแห่งการมีอยู่ของเขา” โม่หลิงกล่าว หลังจากนั้นเขาก็นำจักรพรรดิซีไปยังที่เจี้ยนเฉินอยู่ตรง ๆ
จักรพรรดิซีเป็นผู้เชี่ยวชาญชั้นยอด ในห้องของเจี้ยนเฉินเขาสามารถจับภาพตกค้างได้โดยไม่ต้องใช้ความพยายามใด ๆ หลังจากนั้นเขาก็ขยายความสัมผัสของวิญญาณของเขาครอบคลุมพื้นที่โดยรอบ
ซีหยูจ้องมองจักรพรรดิซีอย่างกระวนกระวาย แม้ว่านางจะยังไม่ยอมรับพ่อแม่ของนางที่ปรากฏจากที่ใด ๆ ก็ตาม แต่พวกเขาก็สามารถช่วยเจี้ยนเฉินได้ในตอนนี้
ไม่นานจักรพรรดิซีก็เรียกสัมผัสของเขากลับคืนมา เขามองไปยังซีหยูและพูดว่า “ข้าเจอห้วยอันที่นอกเมืองหลวงของจักรวรรดิตะวันโลหิต มีร่องรอยของเจี้ยนเฉินในเมืองหลวง แต่เขาไม่ได้อยู่ที่นั่น”
“อย่างไรก็ตามยานอวกาศจะเริ่มบินเร็ว ๆ นี้ การปรากฏตัวของเจี้ยนเฉินหายไปในท่าจอดยาน หากข้าคาดเดาได้ถูกต้องเขาควรจะขึ้นยานอวกาศและออกจากที่ราบเมฆา”
ท้ายที่สุดซีหยูและคนอื่น ๆ ก็รู้สึกโล่งใจเมื่อได้ยินว่าเจี้ยนเฉินยังคงปลอดภัยดีอยู่
อย่างไรก็ตามจักรพรรดิซีรู้สึกสงสารไม่น้อย เดิมทีเขาต้องการที่จะแก้ไขความสัมพันธ์กับลูกสาวของเขาผ่านการช่วยเหลือเจี้ยนเฉิน มันสามารถลดอคติของลูกสาวที่มีต่อเขาได้ อย่างไรก็ตามเขาไม่อาจหาเจี้ยนเฉินเจอ
“เจี่ยหยุนถวายบังคมจักรพรรดิ, ไทเฮาและองค์หญิง ! ” ไม่นานนักชายวัยกลางคนผู้สวมอาภรณ์สีม่วงก็มาถึงตระกูลเทียนหยวน เขาโค้งคำนับต่อทั้งสามคนอย่างสุภาพ
เจี่ยหยุนเป็นราชาเทพธาตุแสงที่จักรพรรดิซีได้เชิญมาจากจักรวรรดิซี เขารีบมาอย่างรวดเร็วที่สุดผ่ายค่ายกลเคลื่อนย้าย ทันทีที่เขามาถึงตระกูลเทียนหยวน เขาก็ได้รับรู้ตัวตนของซีหยูจากผู้เชี่ยวชาญขอบเขตตั้งต้นที่มาพร้อมจักรพรรดิซี
ซีหยูรีบพาเจี่ยหยุนไปยังที่ซึ่งโม่หยานตายหลังจากที่รู้ว่าเขาเป็นราชาเทพธาตุแสง นางถามอย่างตื่นเต้นว่า “ผู้อาวุโส ท่านช่วยชุบชีวิตน้องโม่หยานได้หรือไม่ ? ”
เจี่ยหยุนหลับตาเพื่อสัมผัสกับสภาพแวดล้อมก่อนที่จะยิ้มอย่างมั่นใจ เขาป้องมือให้กับซีหยูและพูดว่า “แม้ว่าร่างกายของนางจะถูกทำลาย แต่วิญญาณของนางยังไม่ไปไหน มันยังอยู่ ดังนั้นไม่ต้องกังวลเลยองค์หญิง การช่วยชีวิตนางไม่ใช่เรื่องยากนัก”
ถ้าอย่างนั้นข้าก็ปล่อยให้ผู้อาวุโสเจี่ยหยุนช่วยชีวิตน้องโม่หยาน” ซีหยุนพูดอย่างร่าเริง
“พะยะค่ะ องค์หญิง” เจี่ยหยุนป้องมือให้ซีหยูซึ่งเป็นลูกสาวเพียงคนเดียวของจักรพรรดิซีอย่างสุภาพ สถานะของนางจึงยิ่งใหญ่มากกว่าในอดีต แม้ว่าเจี่ยหยุนจะเป็นราชาเทพธาตุแสงที่มีสถานะที่ยิ่งใหญ่กว่าราชาเทพคนอื่น ๆ ในจักรวรรดิตะวันโลหิต เขายังคงสุภาพกับลูกสาวเพียงหนึ่งเดียวของจักรพรรดิซี
อย่างไรก็ตามเมื่อเจี่ยหยุนกำลังชุบชีวิตโม่หยาน เขาก็หยุดชั่วคราว ก่อนที่จะทำตัวเป็นปกติและถามซีหยูว่า “องค์หญิง เพื่อที่จะช่วยคน มันต้องทำในจักรวรรดิซี มันมีค่ายกลเพื่อรวบรวมพลังเซียนธาตุแสง ทำให้มันเต็มไปด้วยพลังงานอย่างมาก ภายใต้สถานการณ์นี้เราจะประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน”
“ยิ่งกว่านั้นเมื่อข้าควบแน่นวิญญาณ มันก็มีโอกาสสูงมากที่นางจะเสียความทรงจำและลืมอดีต ด้วยเหตุนี้เพื่อให้แน่ใจว่าน้องสาวของท่านจะยังคงมีความทรงจำของนางไว้ ข้าจะให้ท่านเรียกชื่อของนางอยู่ข้าง ๆ เพื่อให้ท่านเป็นสื่อกลางให้วิญญาณไม่สูญเสียความทรงจำไป”
สีหน้าของเจี่ยหยุนค่อนข้างอิหลักอิเหลื่อ นับตั้งแต่ที่เขาเริ่มบ่มเพาะมา นี่เป็นครั้งแรกที่เขาพูดโกหกยืดยาวขนาดนี้ อย่างไรก็ตามเขารู้สึกไร้พลังอย่างมากเมื่อจักรพรรดิซีสั่งให้เขา ‘หลอก’ องค์หญิงให้กลับไปจักรวรรดิซีให้ได้ไม่ว่าเขาจะใช้วิธีการใด
ทำให้เขาต้องโกหกจนหัวหมุนขนาดนี้ ในความเป็นจริง มันไม่ใช่เรื่องยากเลยที่จะชุบชีวิตโม่หยานที่เหลือแต่เพียงวิญญาณ ด้วยความสามารถของราชาเทพธาตุแสง
“เอาล่ะ งั้นก็ไปกันเถอะ ! ” ซีหยูเห็นด้วยอย่างไม่ลังเล นางไม่เข้าใจพลังของราชาเทพธาตุแสงเลย โดยธรรมชาติแล้วนางไม่ทราบว่าไม่จำเป็นต้องลงทุนไปถึงจักรวรรดิซีเพื่อช่วยโม่หยานด้วยระดับการบ่มเพาะของเจี่ยหยุน
อย่างไรก็ตามเจี่ยหยุนเป็นความหวังเดียวของนางในการช่วยชีวิตของโม่หยาน ไม่ต้องพูดถึงจักรพรรดิซี เพียงซีหยูต้องการ เขาก็พร้อมที่จะฝ่าอันตรายเพื่อช่วยโม่หยาน
“อย่าช้า รีบกลับกันเลย เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับตระกูลเทียนหยวน ข้าจะหาใครสักคนมาปกป้องสถานที่นี้ในตอนนี้….” จักรพรรดิซียิ้มแย้ม เขาทำให้เจี่ยหยุนรู้ว่านี่เป็นเรื่องสำคัญก่อนที่จะออกจากตระกูลเทียนหยวนเพื่อให้ซีหยูกลับไปที่จักรวรรดิซี
สำหรับชายชราสองคนที่เดินเข้ามา หนึ่งในนั้นยังคงอยู่ที่ตระกูลเทียนหยวน
หลังจากที่จักรพรรดิซีจากไป ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตตั้งต้นจากจักรวรรดิจันทราสวรรค์ก็มีโอกาสได้พูด ไม่ว่าพวกเขาจะเป็นส่วนหนึ่งของบรรพชนจักรพรรดิจากนิกายจิตวิญญาณปฐพีหรือลัทธิเต๋าเมฆกระจ่าง พวกเขาต่างก็เก็บความยโสของพวกเขาในฐานะผู้เชี่ยวชาญขอบเขตตั้งต้นและแสดงความยินดีกับตระกูลเทียนหยวน พวกเขาทำตัวอย่างสุภาพและทิ้งทรัพยากรต่าง ๆ ไว้ก่อนที่จะเดินทางจากไป
ห้วยอันและราชาเทพทั้งสามของเขาบินอยู่บนอากาศอย่างช้านอกเหมืองหลวงจักรวรรดิตะวันโลหิต ใบหน้าของห้วยอันมืดครึ้มจากจิตสังหารที่น่ากลัวที่เล็ดลอดออกมาจากตามแววตาของเขาเป็นครั้งคราว
สามผู้พิทักษ์ด้านหลังของเขายังคงติดตามอย่างเงียบ ๆ ด้วยความกลัว
พวกเขาทั้งสามรู้ว่ารองหัวหน้าของเขาโกรธมากเพราะพวกเขาไม่อาจหยุดเจี้ยนเฉินและปล่อยให้เขาหนีไปเมืองหลวงของจักรวรรดิตะวันโลหิตได้และขึ้นยานอวกาศไปในท้ายที่สุด
“มีการปรากฏตัวของขั้นบรรพกาลในอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียน ข้าจะไปดูสถานการณ์ก่อนที่จะกวาดล้างตระกูลเทียนหยวนออกไปให้พ้นทาง” ห้วยอันคิด เขาบินไปยังอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียนพร้อมกับราชาเทพสามคนด้านหลังของเขา
…
เจี้ยนเฉินยืนอยู่ข้างหน้าต่างและจ้องมองออกไปอย่างว่างเปล่า ตอนนี้เขาอยู่ในห้องโดยสารขนาดใหญ่ส่วนล่างของยานอวกาศ เขาจ้องมองไปยังผืนดินที่หดตัวอย่างรวดเร็ว
ยานอวกาศเร่งตัวขึ้นและมันก็เคลื่อนที่ไปไกลขึ้นเรื่อย ๆ สามารถมองเห็นดินแดนที่กว้างใหญ่ได้สุดลูกหูลูกตาในที่สุด
นี่เป็นครั้งแรกที่เจี้ยนเฉินได้เห็นพื้นที่ทั้งหมดของที่ราบเมฆา ที่ราบเมฆานั้นไม่ใช่ทรงกลม แต่มันเป็นผืนดินขนาดใหญ่ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า ผืนดินและทะเลได้ครอบพื้นที่แทบจะเท่า ๆ กันในขณะที่ทะเลเป็นเส้นแบ่งผืนดินทั้งหมดในห้าภูมิภาค พวกมันกลายเป็นห้าภูมิภาคหลัก
เจี้ยนเฉินมองไปที่ภาคใต้ ราวกับว่าเขาต้องการพบตระกูลเทียนหยวน โชคไม่ดีที่ตระกูลเทียนหยวนนั้นมีพื้นที่เล็ก ๆ ในมุมของภาคใต้ เขายังต้องหาพื้นที่ของอาณาจักรศักดิ์สิทธิ์ปิงเทียนจากจุดที่เขาอยู่
เมื่อเจี้ยนเฉินตกตะลึง ก็มีเสียงเกิดขึ้นในห้องโดยสาย มันเป็นเสียงที่หยิ่งยโสอย่างมาก “ไปทำงาน ไปทำงาน เลิกจ้องมองได้แล้ว ยานได้เข้าในมิติแล้วดังนั้นพลังงานของยานจึงหมดอย่างรวดเร็ว อย่าขี้เกียจและมองไปรอบ ๆ เจ้ารู้อยู่แล้วว่าจะเกิดอะไรหากว่าเจ้าขี้เกียจ ข้าจะไม่พูดมาก”