เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 2001: สายเลือดที่เคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ
ตอนที่ 2001: สายเลือดที่เคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ
ชายชราชุดขาวหยุดก่อนที่จะพูดต่อ “เหนือราชาเทพเป็นขอบเขตตั้งต้น ข้าคิดว่าเจ้าคงจะรู้แล้ว ขอบเขตตั้งต้นนั้นแบ่งออกเป็นสามขั้นหลักใหญ่ ๆ คือ ขั้นอสงไขย, ขั้นบรรพกาลและขั้นอัครสูงสุด”
“ขั้นอัครสูงสุดจะเป็นขั้นสุดท้ายของขอบเขตตั้งต้น มันเป็นขอบเขตสุดท้ายในการบ่มเพาะ ในขณะเดียวกันก็เป็นสิ่งมีชีวิตที่ยืนอยู่บนจุดสูงสุดของโลกเซียน อย่างไรก็ตามขั้นอัครสูงสุดเป็นเพียงขอบเขตแห่งการบ่มเพาะ มันมีความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างพลังขั้นอัครสูงสุด มันเป็นแบ่งออกเป็นชั้นสวรรค์ 9 ชั้น ชั้นสวรรค์ที่ 1-3 เป็นช่วงต้นของขั้นอัครสูงสุด ชั้นสวรรค์ที่ 4-6 เป็นช่วงกลางของขั้นอัครสูงสุด และชั้นสวรรค์ที่ 7-9 เป็นช่วงปลายของขั้นอัครสูงสุด”
“ทั่วทั้งที่ราบ 49 แห่งและดาวเคราะห์ทั้ง 81 ดวง ก็มีผู้เชี่ยวชาญหลายคนที่มาถึงขั้นอัครสูงสุด แต่พวกเขาแล้วแต่อยู่ในชั้นสวรรค์ที่ 1-6 ซึ่งเทียบเท่ากับขั้นอัครสูงสุดช่วงต้นและช่วงกลาง มีน้อยมากที่จะอยู่ในช่วงปลาย ความจริงแล้วอัครสูงสุดช่วงปลายมันไม่เคยปรากฏออกมาทั้งที่ราบ 49 แห่งและดาวเคราะห์ทั้ง 81 ดวง แม้แต่บางคนที่ทะลวงระดับไปขั้นกลางของอัครสูงสุด”
“พูดให้ชัดก็คือชั้นสวรรค์ที่ 9 คือจุดสูงสุดของอัครสูงสุดในขอบเขตตั้งต้น แต่ในความจริงแล้วชั้นบนสุดของสวรรค์ชั้น 9 ยังไม่ใช่จุดสูงสุดของการบ่มเพาะ สำหรับใครที่ไม่เคยเห็นมาก่อนก็ไม่อาจรับรู้ได้ว่าความลึกลับนี้จะสิ้นสุดเมื่อไหร่และข้อจำกัดของกฏมีมากแค่ไหน ทำให้พวกเขาจะสามารถรู้ได้ว่ามีขอบเขตต่อจากสวรรค์ชั้น 9 ของอัครสูงสุดอยู่ในระดับที่สูงกว่า”
“แม้ว่าขั้นอัครสูงสุดจะฟังดูยิ่งใหญ่ แต่ผู้ที่สามารถเข้าถึงระดับดังกล่าวได้ก็มีพลังมากอย่างน่าเหลือเชื่อ พวกเขาเกือบจะอยู่เหนือกฏของโลกราวกับว่าพวกเขาเป็นหนึ่งในเอกภพของจักรวาลซึ่งมันน่ากลัวอย่างยิ่ง เพื่อแสดงความเคารพอย่างสุดซึ้งต่อผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้ที่ทะลวงระดับไปยังขอบเขตพวกนี้ได้ด้วยการแยกตัวออกจากอัครสูงสุดคนอื่น ๆ ผู้เชี่ยวชาญชั้นยอดเหล่านี้รู้จักกันในนาม จอมปราชญ์สูงสุด”
“ในโลกเซียน มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้ชื่อ จอมปราชน์สูงสุด หมาป่านภาโบราณเป็นหนึ่งในนั้น”
“เมื่อถึงตอนนี้ชายชราเสื้อขาวมองดูเจี้ยนเฉินและพูดว่า “ตอนนี้เจ้าเข้าใจหรือยังว่าตอนนี้หมาป่านภาโบราณทรงพลังแค่ไหน ? ”
เจี้ยนเฉินเข้าใจตัวตนของจอมปราชณ์สูงสุดจากวิญญาณกระบี่ อย่างไรก็ตามชายชราเสื้อขาวที่พูดออกมานั้น มันก็เป็นข้อมูลที่ขั้นเหนือเทพเช่นเจี้ยนเฉินไม่อาจรับรู้ได้
แม้ว่าจะเป็นอย่างนั้นก็ตามเจี้ยนเฉินก็ยังคงสงสัยหลังจากฟังคำพูดของชายชราชุดขาว เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงสิ่งที่เขาพบได้ในหอคอยอนัตตาของอัครสูงสุดที่โลกเบื้องล่าง เขาถามว่า “ท่านอาวุโส ข้าเคยได้ยินว่ากฏของโลกการแบ่งเป็น 10 ส่วน ซึ่งเป็นขีดจำกัดและสิ่งที่ท่านต้องทำคือทำความเข้าใจกับขีดจำกัดและจะกลายเป็นจอมปราชญ์สูงสุด”
สายตาของชาราที่นั่งอยู่ทั้งสามได้มองเจี้ยนเฉินอย่างลึกซึ้งและชายชราเสื้อขาวก็พูดอย่างประหลาดใจว่า”ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะมีข้อมูลโบราณเหล่านี้ด้วย ถูกต้อง กฏของโลกนั้นแบ่งออกเป็น 10 ส่วน แต่แนวคิดเหล่านี้เก่าแก่อย่างมาก จนถึงกับมีแค่อยู่ในบันทึกโบราณเท่านั้น อย่างไรก็ตามแนวคิดนี้ไม่เพียงแต่จะทำให้เข้าใจในจุดแตกต่างใหญ่ ๆ อย่างสำคัญ”
“ถูกต้อง ยกตัวอย่าง โลกอมตะที่เป็นศัตรู เราก็มีการแบ่งขอบเขตการบ่มเพาะในระดับต่าง ๆ ออกไปอย่างสิ้นเชิง อย่างไรก็ตามที่พวกเขาเข้าในนั้นก็เหมือนกันอย่างหนึ่งในโลกเซียน นั้นก็คือสามพันวิถีแห่งจักรวาล” ชายชราเสื้อแดงกล่าว
ในเวลานั้น ทันทีที่เขาพูดถึงโลกอมตะ จิตใจของเจี้ยนเฉินก็สั่นสะท้าน เขาระมัดระวังอย่างมากและซ่อนกระบี่คู่ของเขาไว้อย่างลึกล้ำ
โชคดีที่ตอนนี้เขาแตกต่างจากเมื่อก่อน ไม่อย่างนั้นเมื่อตอนที่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตตั้งต้นได้ทำการตรวจสอบร่างกายของเขาอย่างระมัดระวังนี้ เขาคงต้องต่อสู้เมื่อพวกเขาค้นพบจับร่องรอยของกระบี่คู่
ยิ่งกว่านั้น ความแข็งแกร่งของเขาแตกต่างจากเมื่อก่อน ในอนาคตเขาจะสามารถซ่อนกระบี่คู่ได้ดียิ่งขึ้น
“เจี้ยนข้าขอชมกระบี่กระดูกเล่มที่ 9 ของราชาหมาป่าได้หรือไม่ ? ” ชายชราเสื้อแแดงมองไปเจี้ยนเฉินอย่างใจเย็น
“แน่นอน” เจี้ยนเฉินตอบกลับอย่างไม่ลังเล ทันใดนั้นเขาก็หยิบกระบี่กระดูกเล่มที่ 9 ออกมาจากแหวนมิติของเขา
ชายชราเสื้อแดงศึกษากระดูกอยู่สักพักก่อนที่จะหายใจ เขาพูดอย่างเสียดายว่า “ถึงแม้ว่ามันจะมีพลังสายเลือดจากหมาป่านภาโบราณ แต่มันก็บางเกินไป ถ้ามันเข้มกว่านี้เล็กน้อย ข้าอาจจะให้ราคาที่ดีแก่เจ้า”
ชานชราเสื้อแดงส่งของคืนให้กับเจี้ยนเฉิน เขาพูดอย่างเสียดาย “กระบี่กระดูกนี้มันมีค่าไม่มากพอที่จะสะสม พลังสายเลือดนี้ไม่เป็นประโยชน์แก่ข้าเลย”
ไม่มีอะไรที่เจี้ยนเฉินจะตอบสนองไปได้ ในสายตาของเขา เนื่องจากกระบี่กระดูกได้มีพลังบางส่วนจากสายเลือดของจอมปราชญ์สูงสุด มันจึงเป็นสิ่งมีค่า แต่สำหรับชายชราเสื้อแดงนั้นไม่มีค่าแม้แต่จะเก็บไว้
มันไม่มีแค่ชายชราเสื้อแดง เขาพบว่าผู้เชี่ยวชาญอีกสองคนในขอบเขตตั้งต้นก็ดูเฉยเมยกระบี่กระดูกราวกับไม่ได้มีค่าใด ๆ
“พลังสายเลือดหมาป่านภาโบราณนั้นพิเศษมาก มันไม่อาจดูดซับได้ แม้ว่าเจ้าจะมอบมันให้กับสัตว์อสูรตัวคล้ายสุนัขอื่น เนื่องจากไม่มีใครเอาสายเลือดมันมาได้ ทำให้พลังสายเลือดที่มีมาแต่เดิมนั้นกลายเป็นพลังที่มาจากธรรมชาติ” ชายชราเสื้อแดงอธิบายอาจเป็นเพราะเขาเห็นความสับสนของเจี้ยนเฉิน
ด้วยคำพูดเหล่านี้ทำให้เจี้ยนเฉินตระหนักรู้ขึ้นมา เขาอดคิดถึงเสือขาวไม่ได้ ในเมื่อมันเป็นกฏของสัตว์เทวะที่ต้องใช้สายเลือดเสือขาวเท่านั้นที่จะครอบครองมันได้และไม่อาจทำด้วยวิธีอื่นได้
นี่เป็นเพราะพลังสายเลือดนั้นยากที่จะได้รับมา นอกเหนือจากมีร่างกายที่ครอบครองอยู่แล้ว มันก็ไม่มีวิธีอื่นที่จะได้มันมา
หลังจากพูดอย่างนั้น ชายชราทั้งสามก็ถามเจี้ยนเฉินอีกสองสามข้อ เช่น เจี้ยนเฉินมาจากนิกายไหนหรือมาเขามีเบื้องหลังอย่างไร
เจี้ยนเฉินเตรียมคำตอบของคำถามเหล่านี้ไว้ล่วงหน้าแล้ว เขาพูดถึงนางฟ้าเฮายู่และพูดกึ่งจริงกึ่งเท็จออกมา
ชายชราทั้งสามก็ไม่ได้รบกวนเจี้ยนเฉินอีก หลังจากรับทราบข้อมูลเบื้องต้นแล้ว เขาก็ให้เจี้ยนเฉินกลับไป
“หงโม่ เจ้าคิดว่าไง ? ”
มู่เหอมองไปที่หงโม่หลังจากเจี้ยนเฉินจากไป
หงโม่พยักหน้า “เด็กคนนี้น่าประทับใจ เขาสามารถฆ่าราชาเทพได้ด้วยพลังของขั้นเหนือเทพช่วงปลาย เมื่อเขากลายเป็นราชาเทพ เขาจะต้องอยู่ในบัลลังก์ราชาเทพแน่นอน แต่การบ่มเพาะของเขายังไม่แน่ชัดนัก หากเขากลายเป็นราชาเทพ เราก็ฝากความหวังไว้กับเขาได้ พระราชวังศักดิ์สิทธิ์เนปจูนเปิดทุก ๆ หมื่นปี เมื่อคำนวนดูแล้วมันก็จะเปิดในเร็ว ๆ นี้ นั่นคือสนามรบของราชาเทพ ถ้าเขาเข้าไปขณะที่เป็นขั้นเหนือเทพ เขาจะต้องเก็บตัวเพื่อให้รอดชีวิตได้ เราไม่อาจสูญเสียป้ายเนปจูนที่เราได้รับมาอย่างยากลำบากขนาดนี้ไปได้”
“คราวนี้ก็ยอมแพ้กับราชวังเนปจูนแล้วรออีกหมื่นปี ตราบใดที่เจี้ยนเฉินยังมีชีวิตอยู่ เขาจะกลายเป็นราชาเทพในอีกหมื่นปี เราสามารถมอบป้ายเนปจูนให้กับเขาเพื่อให้เขาเอาสิ่งของต่าง ๆ มาให้กับเรา”
“และในเวลานี้ข้าจะส่งคนไปตรวจสอบภูมิหลังและตัวตนของเจี้ยนเฉินและดูว่าเขาพูดความจริงหรือไม่ เพื่อที่เราจะได้รู้และไว้ใจเขาได้”
เจี้ยนเฉินนั่งลงบนเตียงหยกของเขาในห้องโดยสารชั้นสูงของเขา เขาถือกระบี่กระดูกเล่มที่ 9 ที่มีพลังของสายเลือดหมาป่านภาและศึกษาอย่างรอบคอบ เขาส่งสัมผัสวิญญาณของเขาเข้าไปในกระบี่กระดูกเพื่อตรวจดูสายเลือดของหมาป่านภาโบราณ เพื่อดูว่ากระบี่กระดูกจะสามารถกำจัดพลังที่ตกค้างอยู่ในร่างกายของเขาได้หรือไม่
เมื่อสัมผัสวิญญาณของเจี้ยนเฉินเข้าไปในกระบี่กระดูก เขาก็ค่อย ๆ พบว่าพลังจากสายเลือดหมาป่านภาโบราณมันเป็นเพียงหมอกสีแดงที่มีขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือ บางทีมันอาจเพราะมันเล็กเกินไปทำให้มันไม่ได้ควบแน่นเป็นของเหลว
แม้ว่ามันจะบางมาก แต่มันก็ไม่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับพลังของมัน เจี้ยนเฉินสามารถสัมผัสได้ถึงความว่างเปล่าอย่างไร้เหตุผลจากพลังของสายเลือด ดูเหมือนว่ามันจะมีความดุร้ายและเกรี้ยวกราดของสัตว์ป่า
อย่างไรก็ตามใบหน้าของเจี้ยนเฉินก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยเมื่อพลังสายเลือดของหมาป่านภาโบราณที่เขาเก็บกดไว้ในร่างกายของเขาก็เริ่มที่จะอาละวาดอย่างรุนแรงราวกับว่ามันต้องการหลุดพ้นจากการข่มไว้ของเจี้ยนเฉิน
ด้วยความคิดนี้เจี้ยนเฉินจึงควบคุมพลังบรรพกาลเพื่อเพิ่มพลังในการกดดันและทำให้เขาสามารถควบคุมสายเลือดของมันภายใต้น้ำมือของเขา
อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินก็ประหลาดใจไม่ช้า เมื่อเขากดดันพลังของสายเลือด เขาก็พบว่าพลังของสายเลือดในกระบี่กระดูกนั้นดูเหมือนจะตื่นขึ้นและทิ้งจากกระบี่กระดูกแล้วไหลผ่านมือของเขาเพื่อเข้าไปในร่างกายของเขา