เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 2009: สัมผัสอันตราย
ตอนที่ 2009: สัมผัสอันตราย
เจี้ยนเฉินยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือขนาดใหญ่ของยานอวกาศจ้องมองที่พื้นที่ไร้ขอบเขตที่เต็มไปด้วยดวงดาว เขาอดไม่ได้ที่จะอ้าปากค้างก่อนที่จะเงยหน้า เขาอดไม่ได้ที่จะยื่นมือออกไป
นี่เป็นครั้งแรกที่เขาไม่เห็นอวกาศนอกโลกเซียนอย่างชัดเจนนับตั้งแต่ที่เขามาที่นี่ มันเป็นครั้งแรกที่เขาได้สัมผัสใกล้ชิดกับจักรวาลที่ไร้ขอบเขต อาจจะเป็นเพราะความไร้ขอบเขต เจี้ยนเฉินรู้สึกเปิดกว้างมากในตอนนี้ เขารู้สึกเหมือนกำลังจะหลอมรวมกับจักรวาลและเขาต้องการกอดมัน
“พี่สาว ดูสิ่งที่เขากำลังทำ เขายืนอยู่ที่นั่นอย่างงงวยพร้อมกับปิดตาอ้าแขน มันแปลกมาก” ในเวลาเดียวกันก็มีเสียงดังขึ้น
ผู้หญิงสองคนที่เพิ่งขึ้นมาบนดาดฟ้าเรือรบมิติ หนึ่งนั้นดูเหมือนจะอายุ 7-8 ขวบเท่านั้น นางยังเด็กและมองเจี้ยนเฉินด้วยดวงตาที่สดใสของนาง
ผู้หญิงอีกคนดูเหมือนจะอายุราว ๆ 20 ปี นางงดงามและมีผิวที่ขาวเนียนนุ่ม นางมีรูปร่างเพรียวบาง แม้ว่านางจะไม่งดงามจนถึงขั้นล่มเมือง แต่นางก็งดงามมาก
หญิงสาวอายุมากรีบปิดปากเด็กหญิงทันที นางอธิบายอย่างจริงจัง “เสี่ยวม่าน เจ้าลืมสิ่งที่ข้าพูดไปแล้วหรือ ? ไม่สำคัญว่าจะมีอะไรแปลก ๆ หรือคนประหลาด ๆ ที่เจ้าเห็น เจ้าก็ไม่อาจพูดสร้างปัญหาหรือพูดโดยไม่คิดออกไปได้”
“ค่ะ ท่านพี่ ! ” เด็กหญิงที่ชื่อเสี่ยวม่านผงกหัวอย่างเชื่อฟัง นางจ้องมองไปที่เจี้ยนเฉินอย่างอาย ๆ ก่อนที่จะเดินออกไป
เจี้ยนเฉินลืมตาและมองไปที่เด็กหญิงที่กำลังหนีไป สายตาของเขาเริ่มเศร้าหมองและเขารู้สึกเหงา
ความบริสุทธิ์และไร้เดียงสาของเด็กหญิงทำให้เขาคิดถึงเสี่ยวหลิง
“ข้าคงไม่อาจกลับไปยังที่ราบเมฆาได้ในเร็ว ๆ นี้ ข้าหวังว่าเสี่ยวหลิงจะปลอดภัยในตระกูลเทียนหยวน” เจี้ยนเฉินถอนหายใจกับตัวเอง เขามองไปรอบ ๆ ดาดฟ้าเรือก่อนที่จะนั่งลงบริเวณที่เงียบสงบ เขาสร้างค่ายกลง่าย ๆ รอบตัวเขาก่อนที่จะทำความเข้าใจต่อไป เขาหวังว่าเขาจะเข้าใจบางอย่างจากดวงดาวและทะลวงคอขวดของเขาเพื่อที่จะบรรลุความสำเร็จขั้นกลางของจิตวิญญาณกระบี่
ดาดฟ้ามีขนาดใหญ่มากและมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่รวมกลุ่มกัน พวกเขารวมกลุ่มเล็ก ๆ เพื่อดื่มหรือทำแบบเจี้ยนเฉินเพื่อทำความเข้าใจกับความลึกลับของหมู่ดาว ในขณะที่สร้างค่ายกลง่าย ๆ รอบ ๆ ตัวเขา
ค่ายกลรอบตัวเจี้ยนเฉินได้ตัดเสียงทั้งหมดจากภายนอก เขาบอกว่าเขาทำความเข้าใจ แต่จริง ๆ แล้วเขาเงยหน้ามองไปที่จักรวาลที่ไร้ขอบเขต เขามองดูดวงดาวที่อยู่เหนือบนหัวของเขาและมีดาวนับไม่ถ้วนกับอุกาบาตรอบ ๆ ตัวของเขาที่กลายเป็นริ้วแสงจากความเร็วของเรือรบ สายตาของเขาค่อน ๆ กลายเป็นพร่างพราว
และในเวลาเดียวกันเขารู้สึกเหมือนได้หลอมรวมกับจักรวาลจนเป็นหนึ่งเดียวกัน
แน่นอนว่านี่เป็นเพียงความรู้สึก ไม่มีที่ไหนที่เขาจะหลอมรวมจนใกล้เคียงกับจักรวาล
อย่างไรก็ตาม เจี้ยนเฉินสามารถสัมผัสบางอย่างของกฏของกระบี่ที่เชื่อมโยงกับจักรวาล มันเป็นเหมือนลำดับในสภาพแวดล้อมเช่นเดียวกับสายหลักของจักรวาล มันผสานกับกฎอื่น ๆ และก่อตัวเป็นขอบเขตที่ไร้สิ้นสุดที่สร้างจักรวาลอันไร้ขอบเขต
“แม้ว่าเส้นทางของโลกนั้นจะถูกแบ่งด้วยพลัง แต่พวกมันก็สามารถกลายเป็นหลักสากลได้หากเข้าใจจนถึงขีดสุด พวกมันสามารถควบคุมจักรวาล”
“สามพันเส้นทางหมายถึงกฏทั้งสามพัน กฏทุกอันมีส่วนร่วมในการสร้างจักรวาลซึ่งเป็นหัวใจหลักที่รองรับโลก พวกมันมีจุดประสงค์ที่เป็นเอกลักษณ์และไม่สามารถแทนที่ได้”
เจี้ยนเฉินเงียบขณะที่รู้แจ้ง ดูเหมือนว่าเขาจะเข้าใจบางสิ่ง แต่เมื่อเขาพยายามเข้าใจอย่างใกล้ชิดเขาก็พบว่ามันไม่มีอะไรเลย
เจี้ยนเฉินไม่ได้สังเกตเลยว่าเมื่อเขาเข้าใจโลก กฏของกระบี่ก็ไม่ได้เป็นเพียงสิ่งเดียวที่เขาสัมผัสได้เมื่อเขาอยู่ในสถานะนี้ เขาสามารถถึงการคงอยู่ของกฎอื่น ๆ ที่กำเนิดโลกอย่างชัดเจน
เรื่องนี้มันเป็นไปไม่ได้
ดังที่ทุกคนรู้ ผู้บ่มเพาะจำเป็นต้องเข้าในกฏของโลกเพื่อที่จะทะลวงขอบเขตเทพ นั่นคือวิธีที่พวกเขาจะผ่านสู้ประตูของเทพ
อย่างไรก็ตาม การควบคุมกฏของโลกหมายความว่าการดำรงอยู่ของพวกเขาต้องมีความรู้สึก พวกเขาต้อง ‘เห็น’ กฎก่อนที่จะจับมันได้อย่างช้า ๆ
ถ้าแม้แต่การ ‘มองเห็น’ ยังเป็นไปไม่ได้ การจับต้องมันก็เป็นไปไม่ได้เช่นกัน
ผู้บ่มเพาะขอบเขตดั้งเดิมหลายคนไม่สามารถเข้าถึงขอบเขตเทพได้ตลอดช่วงชีวิตของเขา เพราะพวกเขาไม่อาจ ‘เห็น’ กฏของโลก เป็นผลทำให้พวกเขาไม่เข้าใจพวกมัน
ผู้บ่มเพาะขอบเขตกำเนิดบางคนเข้าใจกฏ 2 กฏ, 3 กฏหรือมากกว่านั้นในเวลาเดียวกันเพราะพวกเขาสามารถสัมผัสการมีอยู่ของพวกมันได้
อย่างไรก็ตามไม่เพียงแต่เจี้ยนเฉินจะสัมผัสเส้นทางกระบี่ที่เขาเชี่ยวชาญที่สุดได้ แต่เขายังสัมผัสกับเส้นทางอื่น ๆ ได้เช่นกัน
อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินรู้สึกหนาวถึงกระดูกสันหลังของเขาในตอนนี้ ความเย็นนี้เกิดขึ้นเองทำให้เขาออกจากการหยั่งรู้
เจี้ยนเฉินลืมตาและจ้องไปที่อวกาศ เขาจริงจังมาก ความเย็นกระทันหันทำให้เขารู้สึกถึงอันตราย มันเป็นเหมือนกับหายนะครั้งใหญ่จะเกิดขึ้นเดี๋ยวนั้น
“เจี้ยนเฉิน ทำไมเจ้ามาอยู่นี่ ? ข้าตามหาเจ้าทุกที่” เมื่อเจี้ยนเฉินเก็บค่ายกล เสียงของไคยะก็ดังขึ้น นางพึ่งมาถึงดาดฟ้าเรือและรีบมาหาเจี้ยนเฉินอย่างรวดเร็ว
ด้านหลังนางเป็นปรมาจารย์เฉินหลงในชุดขาว
เจี้ยนเฉินมองไปที่ไคยะและเห็นสีหน้าที่ตื่นเต้นของนาง เขาอดไม่ได้ที่จะถามอย่างอยากรู้อยากเห็น “ไคยะเกิดอะไรขึ้น ? ทำไมเจ้าต้องมาหาข้าอย่างรีบเร่ง ? ”
ไคยะเข้ามาหาเจี้ยนเฉิน นางสูดลมหายใจสองสามครั้งก่อนที่จะถามคำถามกับเจี้ยนเฉินและกล่าวว่า “ข้ารู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย ดังนั้นข้าจึงต้องการมาหาเจ้าและปรมาจารย์เฉินหลงอยู่เก็บตัว ข้าเลยไปหาปรมาจารย์เฉินหลง แต่ห้องของเจ้าว่างเปล่า ข้าและปรมาจารย์เฉินหลงหาเจ้าทั่วทั้งเรือ”
เจี้ยนเฉินกลายเป็นเคร่งเครียดมากขึ้น เขาอดไม่ได้ที่จะคิดถึงมัน แต่ความเย็นที่เกิดขึ้นนั้นมาอาจจะเป็นอย่างเดียวกับสิ่งที่ไคยะไม่สบายใจ
“ฮ่าฮ่า พี่เจี้ยนเฉิน ช่างเป็นเรื่องบังเอิญ เจ้ามาที่นี่ด้วย”ในตอนนี้มีเสียงที่คุ้นเคยดังออกมา
เจี้ยนเฉินมองไปตามเสียงและเขาก็เห็นชิเซียง ซึ่งเขาได้เจอกันที่ชุมนุม ขณะที่เขากำลังเดินเข้ามาพร้อมด้วยรอยยิ้ม
“พี่ชิเซียง” เจี้ยนเฉินป้องมือ
ชิเซียงมองไปที่ดวงดาวและอุกาบาตรที่กลายเป็นริ้วแสงรอบ ๆ และยิ้ม “ดาวนั้นเปรียบเสมือนสายฟ้าที่มีแสง มันช่างเป็นฉากที่งดงาม มันจะเกิดขึ้นกับยานอวกาศที่เร็วยิ่งกว่าขั้นอสงไขย หากเราไม่ชอบฉากที่งดงามเช่นนี้มันน่าเสียใจต่อชีวิต น้องเจี้ยนเฉิน ทำไมเราไม่มาดื่มกันขณะที่เราชมมัน ข้าหวังว่าเจ้าจะให้เกียรติข้า”