เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 2017: หลอมรวมอย่างต่อเนื่อง
ตอนที่ 2017: หลอมรวมอย่างต่อเนื่อง
“ข้าไม่คิดเลยว่าเจ้าจะได้รับวัตถุเทพที่ทรงพลังเช่นนี้ แม้ว่าจะได้รับความเสียหายจากพายุมิติและกระแสธารโกลาหลก็ไม่อาจทำอะไรมันได้ ดูเหมือนว่ามันจะต้องมีคุณภาพที่เยี่ยมที่สุด” ปรมาจารย์เฉินหลงอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจด้วยความประหลาดใจ เขาศึกษาพื้นที่ในหอคอยอนัตตาอย่างต่อเนื่อง เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมที่นี่ถึงได้ดูคุ้นตามากนัก
“เหลือเชื่อจริง ๆ ด้วยวัตถุเทพนี้เราจะไม่เจอภัยคุกคามใด ๆ เมื่อเขาเดินทางผ่านรอยแยกมิติทั้งหมด” ไคยะตื่นเต้น จากนั้นนางก็ดูเหมือนจะคิดอะไรบางอย่างออกและนางก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย นางมองไปที่เจี้ยนเฉินและถามว่า “เจี้ยนเฉิน เราควรจะออกจากรอยแยกมิติหรือไม่ ? ทำไมเจ้าไม่ลองควบคุมวัตถุเทพโจมตีขณะที่เจ้าสามารถเปิดมันออกไปสู่ภายนอก”
เจี้ยนเฉินค่อนข้างเครียดหลังจากที่ได้ยินอย่างนั้นเขากล่าวว่า “ข้าได้หลอมรวมมันไปนิดหน่อย ข้าสามารถควบคุมได้แค่พื้นฐานเท่านั้น ไม่ต้องไปคิดเรื่องโจมตีเลย ข้าไม่อาจจะทำให้มันขยับได้ขณะที่เราอยู่ด้านใน”
เจี้ยนเฉินหยุดพูดสักพักก่อนที่จะพูดต่อ “ตอนนี้เราอยู่ในพายุมิติ พายุมิติอาจไม่ทำให้เรามีอันตรายตราบเท่าที่เราอยู่ในวัตถุเทพ แต่สำหรับเรามันอาจจะเป็นความตายแน่นอนถ้าเราไปท้าทายมัน ด้วยเหตุนี้เราจึงไม่อาจออกจากวัตถุเทพได้ในตอนนี้”
“นั่นไม่ได้หมายความว่าเราจะติดอยู่ที่นี่เป็นเวลานานมากจนกระทั่งพายุมิติสิ้นสุดลง”ไคยะถามพลางนิ่วหน้า
“ไม่ถึงขนาดนั้น”เจี้ยนเฉินส่ายหัวและกล่าวว่า”ข้าเพิ่งจะหลอมรวมชั้นหนึ่งของวัตถุเทพ ดังนั้นข้าจึงไม่อาจควบคุมให้มันเคลื่อนไหวได้ อย่างไรก็ตามข้าเชื่อว่าข้าสามารถหลอมรวมวัตถุเทพมากขึ้นกว่านี้ การควบคุมของข้าอาจจะมากขึ้นเรื่อย ๆ ”
“งั้นก็อย่ารอกันเลย ข้าจะไปช่วยเจ้าปรับแต่งวัตถุเทพในตอนนี้ จงจำไว้ด้วยว่าวัตถุเทพนี้อยู่ในพายุมิติ ดังนั้นเจ้าถึงไม่อาจออกไปได้”
ท้ายที่สุด เจี้ยนเฉินก็เตือนพวกเขาอย่างจริงจังก่อนที่จะเดินทางไปยังชั้นเก้า
ศูนย์กลางควบคุมของหอคอยอนัตตาเป็นแผ่นศิลาขนาดใหญ่บนชั้น 9 ตอนนี้เจี้ยนเฉินเพิ่งหลอมรวมส่วนที่อยู่ด้านล่างสุดของมันเท่านั้น
เจี้ยนเฉินยืนอยู่บนชั้น 9 ขณะที่เขาจ้องไปที่แผ่นศิลาขนาดใหญ่ที่อยู่ห่างออกไปหลายร้อยเมตร
แต่เดิมมีการฉายภาพของพระราชวังสวรรค์แห่งบิเชิง ซึ่งมีแผ่นศิลาอยู่ด้านหน้า เขาเห็นรูปปั้นที่สวยงามมากซึ่งน่าจะเป็นอัครสูงสุดอนัตตา ในพระราชวังสวรรค์แห่งบิเชิง เจ้าของมรดกที่เขาได้รับมา
อย่างไรก็ตามหลังจากเรียนรู้จากวิญญาณ เสียงของอัครสูงสุดอนัตตานั้นเป็นภาษาจักรวาล มันบรรจุเสียงทั้งหมดของโลกและมันจะเปลี่ยนไปตามสิ่งที่เราต้องการ มันจะเป็นเสียงผู้ชายหากเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น หรืออาจจะเปลี่ยนเป็นผู้หญิงหากเราเชื่อว่ามันเป็นอย่างนั้น
ด้วยความจริงที่ว่า เราสามารถเชื่อว่ามันเป็นเสียงของสัตว์อสูร มันก็จะเป็นอย่างนั้นจริง ๆ
อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินได้ยินเสียงเป็นผู่หญิงซึ่งแตกต่างจากที่จิตวิญญาณกระบี่พูด ในขณะเดียวกันเขาก็เห็นสายตาที่คล้ายกับจิตวิญญาณวัตถุของหอคอยอนัตตาจากภาพลวงตาของ ‘อัครสูงสุดอนัตตา’ ที่เจี้ยนเฉินสงสัยว่านั้นอาจจะเป็นเจ้าของเสียง เขาเชื่อว่ามรดกอาจจะเป็นรูปแบบที่จิตวิญญาณวัตถุจัดทำเอาไว้
อย่างไรก็ตามแม้ว่าตัวตนของเจ้าของนั้นจะน่าสงสัย เจี้ยนเฉินก็เชื่อว่าอัครสูงสุดอนัตตาได้ผ่านการช่วงเวลาแห่งต่อสู้ในอดีต
เจี้ยนเฉินอดคิดไม่ได้แต่เมื่อคิดถึงลูกประคำสีดำที่บรรจุกฏแห่งการทำลายล้างนั้น ตอนนี้เขาจำได้ทั้งหมดแล้ว
อย่างไรก็ตามเมื่อเข้าใจว่ามันเป็นแบบแผน เขาก็เก็บลูกประคำสีดำกลับไป แลัวไม่เคยใช้มันแม้ว่ามันจะบางอย่างเกิดขึ้น
แม้ว่าเขาจะมีพลังมากกว่าที่เคยเป็นนับครั้งไม่ถ้วนเขาก็ยังไม่ได้วางแผนที่จะหยิบลูกประคำ
“The teleportation formation in the projection of the Heavenly Palace of Bisheng took Ming Dong away back then. I wonder how he is right now,” Jian Chen stared at where the Heavenly Palace of Bisheng stood before. Although he knew Ming Dong was in the Saints’ World right now and that it was extremely likely for him to be in the Heavenly Palace of Bisheng of the Saints’ World, he still did not possess the strength to travel this great distance.
“ค่ายกลส่งตัวในภาพของพระราชวังสวรรค์แห่งบิเชิง ทำให้หมิงตงกระเด็นออกไป ข้าสงสัยว่าตอนนี้เขาจะเป็นอย่างไร”เจี้ยนเฉินมองไปที่พระราชวังสวรรค์แห่งบิเชิงที่อยู่ด้านหน้าของเขา แม้ว่าเขาจะรู้ว่าหมิงตงอยู่ในโลกเซียนตอนนี้และเป็นไปได้อย่างมากว่าเขาจะอยู่ในพระราชวังสวรรค์แห่งบิเชิง แต่เขาก็ยังไม่ได้มีพละกำลังในการเดินทางไกล
อัครสูงสุดอนัตตาเป็นหนึ่งในเจ็ดจอมปราชน์สูงสุดของโลกเซียน เขามีชื่อเสียงด้านดีอย่างมาก
ทำให้หลังจากที่ใช้เวลาที่นี่มากมาย เจี้ยนเฉินก็ได้เรียนรู้ว่าอัครสูงสุดอนัตตาอาศัยอยู่ในที่ราบเชิง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีว่าเป็นหนึ่งในเจ็ดที่ราบศักดิ์สิทธิ์ของโลกเซียน
ที่ราบเชิงนั้นอยู่ไกลจากที่ราบเมฆามาก มันอยู่ไกลกว่าที่ราบน้ำแข็งขั้วโลกมาก ถ้าเขาใช้ยานอวกาศจากที่ราบเมฆไปยังที่ราบเชิง เขาจะต้องเดินทางเป็นเวลาหลายพันปีโดยไม่ต้องหยุดเลยแม้แต่น้อย มันอาจจะใช้เวลาหลายปี
“เมื่อข้ามีเหรียญผลึกห้าสีเพียงพอที่จะจ่ายค่าธรรมเนียมสำหรับการใช้ค่ายกลส่งตัวระยะไกล ข้าจะไปเที่ยวที่ที่ราบเชิง นอกจากนี้ยังมีพี่สาวของข้า เจียงหยางหมิงเยว่ พริบตาเดียวเราก็แยกจากกันมาเกือบสองร้อยปีแล้วข้าสงสัยว่านางจะเป็นอย่างไรตอนนี้”
“นางได้รับการปกป้องจากผู้พิทักษ์ซุยหยุนหลาน ดังนั้นนางจึงไม่จำเป็นต้องกลัวคนธรรมดาทั่วไป อย่างไรก็ตามพี่สาวที่อยู่บนที่ราบเดียวกับนางฟ้าเฮายู่ โถงเทพจันทรา”
เจี้ยนเฉินคิดกับตัวเอง เขามีเพียงความเข้าใจที่ไม่เจนเกี่ยวกับความแข็งแกร่งของผู้พิทักษ์ซุยหยุนหลานในทวีปเทียนหยวน แต่ตอนนี้เขาเข้าใจกระจ่างแล้วว่านางน่ากลัวเพียงไร
นางอยู่ในอันดับ 9 ของบัลลังก์ราชาเทพ การคงอยู่ดังกล่าวนั้นเพียงพอที่จะต่อสู้กับผู้เชี่ยวชาญขอบเขตตั้งต้น ! มันน่าประหลาดใจอย่างมากแม้แต่ในโลกเซียน
หลังจากสงบสติอารมณ์ของตัวเองแล้วเจี้ยนเฉินก็เลิกคิดสิ่งอื่นและนั่งลงต่อหน้าแผ่นศิลาเพื่อหลอมรวมต่อไป
ทางเหนือของที่ราบเมฆา ภายในพระราชวังจักรพรรดิซี
“กระบี่ไม่ควรเป็นแค่อาวุธในสายตาเจ้า แต่มันคือชีวิตที่สองของเจ้า หากเจ้าเข้าใจกฏของกระบี่ เจ้าต้องหลอมรวมวิญญาณเข้าในกระบี่เพื่อที่จะได้ถึงจุดนั้น ๆ และทำให้เจ้าเข้าใจแก่นแท้ของกระบี่ได้”
ชายวัยกลางคนยืนอยู่ในลานด้านนอกที่พักพร้อมกับถือกระบี่อยู่ในมือ ขณะที่ปากของเขาพร่ำบ่นออกมา
ด้านหน้าชายกลางคนเป็นหญิงสาวที่สวยที่ดูเหมือนจะอยู่ในวัย 20 ปีกว่าปี นางถือกระบี่ในมือของนางและให้ความสำคัญกับแนวทางที่ชายวัยกลางคนแนะนำอย่างใส่ใจ
ในเวลานี้หญิงสาวในชุดขาวเดินไปช้า ๆ เข้าไปในลาน ด้านหลังของนางมีหญิงสาวงดงาม 2 คน
การมาถึงของหญิงสาวชุดขาวทำให้ท่าทีของชายวัยกลางคนนั้นกลายเป็นนอบน้อม เขาโค้งคำนับและกล่าวออกมาด้วยความเคารพ “คารวะองค์หญิง ! ”
“พี่ซีหยู่ ท่านมาแล้ว ! ”
หญิงสาวที่เรียนรู้กระบี่นั้นยิ้มแย้มแจ่มใสมันที นางปักกระบี่ไว้ที่พื้นแล้ววิ่งออกไป
มีความรักและความห่วงใยอยู่ในสายตาของซีหยู นางถามเบา ๆ ว่า “โม่หยาน เจ้าเรียนรู้ในการใช้กระบี่ไปถึงไหนแล้ว ? ข้ารบกวนเจ้าหรือไม่ ? ”
“ไม่ ไม่เลย มันแค่ไม่เดือนมานี้ตั้งแต่ที่ข้าเห็นพี่ซีหยู่ ข้าเริ่มคิดถึงท่านมานานแล้ว” โม่หยานเกาะแขนของซีหยู่อย่างสนิทสนมขณะที่นางหัวเราะคิกคัก
หญิงสาวที่เรียนกระบี่คือโม่หยาน ราชาเทพธาตุแสงของจักรวรรดิซีได้ช่วยนางมานานแล้ว
ถึงแม้ว่าโม่หยานจะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งจักรวรรดิซี สถานะของนางนั้นพิเศษมากในจักรวรรดิเนื่องจากความสัมพันธ์ของนางกับซีหยู นางได้รับการดูแลส่วนตัวจากจักรพรรดิซีและจักรพรรดินี
ทั้งคู่มักเรียกโม่หยานไปพบบ่อยครั้ง เพื่อที่พวกเขาจะได้รู้จักกับอดีตของซีหยู่ผ่านนาง
ทำให้โม่หยานกลายเป็นที่ใกล้ชิดที่สุดของจักรพรรดิซีและจักรพรรดินีนอกจากองค์หญิงไทอันในจักรวรรดิซี จนทำให้องค์หญิงและองค์ชายจำนวนมากในอาณาจักรต้องมองนางด้วยความอิจฉา
นี่เป็นเพราะองค์หญิงและองค์ชายหลายคนไม่เคยพบจักรพรรดิซีหรือจักรพรรดินีมาก่อน แม้ว่าพวกเขาจะพบบ้างแต่มันก็เป็นการพบจากระยะไกลมาก พวกเขาไม่เคยเข้าไปใกล้หรือแม้แต่เข้าไปสนทนาด้วย