เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 2185 : อภัยโทษ
ตอนที่ 2185 : อภัยโทษ
“มันหมายความว่าเราออกจากที่นี่ไม่ได้หรือ ? ” สีหน้าของไคยะเปลี่ยนไปเล็กน้อย
เจี้ยนเฉินมองไปยังการต่อสู้ระหว่างทั้งสามคนด้วยท่าทีอึดอัด เขาพลิกฝ่ามือและเอายันต์ส่งตัวจักรวาลออกมา เจี้ยนเฉินกำลังจะใช้ยันต์ส่งตัวจักรวาลแต่เขาก็ลังเลขึ้น
นี่คือยันต์ส่งตัวจักรวาลแผ่นสุดท้ายที่เขามี เขาไม่เต็มใจจะใช้มันนอกซะจากว่าเขาจะเผชิญหน้ากับความตาย เขาเข้าใจว่าแม่ทัพศักดิ์สิทธิ์ของพระราชวังสวรรค์แห่งบิเชิงคงไม่อคติต่อเขา ยังไงซะพี่ชายร่วมสาบานของเขา หมิงตง ก็เป็นองค์ชายเก้าของพระราชวังสวรรค์แห่งบิเชิง เพราะแบบนั้นแม่ทัพศักดิ์สิทธิ์ก็ไม่น่าจะสร้างปัญหาอะไรให้เขา
สิ่งที่เขากังวลจริง ๆ คือแม่ทัพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองจะรับรู้ถึงหอคอยอนัตตาหรือไม่
หากพวกนั้นรับรู้ได้ถึงหอคอยอนัตตา หอคอยอนัตตาก็คงต้องตกเป็นของพวกนั้น
ตอนนั้นไคยะได้จับมือเจี้ยนเฉินเอาไว้ หยุดไม่ให้เขาใช้ยันต์ส่งตัวจักรวาล นางได้พูดขึ้นว่า “เรายังไม่ได้เผชิญหน้ากับความตาย อย่าเพิ่งใช้ยันต์ บางทีมันอาจจะไม่แย่แบบนั้นก็ได้”
“หวังว่าจะเป็นแบบนั้น” มือที่กำยันต์ส่งตัวจักรวาลคลายลง เขามองไปยังการต่อสู้ที่อวกาศรอบนอกด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
หญิงชราสู้กับแม่ทัพศักดิ์สิทธิ์ 2 คนพร้อมกัน การต่อสู้นี้ดุเดือดอย่างมาก กฎปะทะกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า มิติที่พังทลายนี้ทำให้ดวงดาวนับไม่ถ้วนต้องกลายเป็นฝุ่นผง
หญิงชราดูเหมือนว่าจะแพ้ในไม่ใช้หลังจากที่เริ่มสู้ ไม่นานนางก็กระอักเลือดอกมาและกระเด็นกลับออกไป นางบินมาทางยานอวกาศของเจี้ยนเฉิน
เจี้ยนเฉินลังเลไปเล็กน้อย ก่อนจะบินออกมาจากยานอวกาศและรับหญิงชราเอาไว้
ใบหน้าของหญิงชราซีดเผือดและนางก็ตัวชุ่มไปด้วยเลือด นางไอออกมาอยู่หลายครั้งและพูดด้วยเสียงที่แหบและอ่อนล้า “เจ้าเข้ามายุ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้ไม่ได้ อย่าเข้ามายุ่ง” หากฟังโดยผิวเผินแล้วนี่คือสิ่งที่นางพูด แต่เจี้ยนเฉินกลับได้ยินอีกเสียง “อย่าเอาหอคอยอนัตตาออกมา ตราบใดที่เจ้าซ่อนหอคอยอนัตตาไว้ มันก็เป็นไปไม่ได้ที่แม่ทัพทั้งสองจะพบมัน”
ข้อความนี้ทำให้เจี้ยนเฉินใจเย็นลง ในที่สุดเขาก็โล่งใจได้
ในเวลาเดียวกันจิตวิญญาณกระบี่ก็ทำการซ่อนตัวไปเช่นกัน
เจี้ยนเฉิน ในตอนนี้ไม่ได้เป็นผู้บ่มเพาะกระจอกแบบเดิมเหมือนในอดีต เพราะความแข็งแกร่งที่เพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว เขาจึงซ่อนตัวได้ดียิ่งกว่าเดิม รวมกับการร่วมมือของจิตวิญญาณกระบี่ เขาจึงมั่นใจว่าแม้แต่ขั้นบรรพกาลก็ไม่อาจะหาจิตวิญญาณกระบี่พบ แม้ว่าจะเผชิญหน้ากันก็ตาม
ทันใดนั้นเจี้ยนเฉินก็กลายเป็นแสงสีทอง เขาหันกลับไปมองและพบว่าแม่ทัพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองในชุดเกราะสีทองได้โผล่มาใกล้ ๆ ราวกับทำการเคลื่อนย้ายมา
เกราะนี้ส่องแสงออกมาราวกับดวงอาทิตย์ ภายใต้แสงสีทองนี้แม่ทัพทั้งสองดูพร่ามัวราวกับเทพสูงส่ง “ขั้นบรรพกาล ! ” ใจของเจี้ยนเฉินเต้นรัว เขาเคร่งเครียดอย่างมาก
ไคยะได้บินออกมาจากยานและยืนอยู่ข้างเจี้ยนเฉิน นางเองก็มองไปที่แม่ทัพทั้งสองด้วยความระวัง
แต่แม่ทัพทั้งสองกลับไม่ได้มองไปที่เจี้ยนเฉินกับไคยะเลยแม้แต่น้อย ในสายตาพวกเขาแล้ว ราชาเทพไม่ต่างอะไรจากมด เจี้ยนเฉินกับไคยะไม่อาจทำให้พวกเขาสนใจได้
ทั้งสองมองไปที่หญิงชราและหนึ่งในนั้นก็ได้ตะโกนออกมา “ ซูหราน ครั้งนี้เจ้าจบสิ้นแล้ว”
“ซูหราน เจ้าหนีมาหลายล้านปี เจ้าคงเหนื่อยล้า เราสองคนเองก็ไล่ล่าเจ้ามาหลายล้านปี ดังนั้นเราเองก็เหนื่อยเช่นกัน มาจบเรื่องนี้เพื่อที่เราจะได้กลับไปรายงานภารกิจ” แม่ทัพคนหนึ่งถอนหายใจออกมา น้ำเสียงเขาแฝงไปด้วยความรู้สึกที่ซับซ้อน
อาจารย์ของซูหรานคือศิษย์ของอัครสูงสุดอนัตตา ส่วนพวกเขาคือทหารที่ภักดีที่ถูกบ่มเพาะขึ้นมาโดยพระราชวังสวรรค์แห่งบิเชิง พวกเขาต่างก็มีทักษะลับมากมายรวมไปถึงวิธีหนีด้วย ผลก็คือการไล่ล่าและหนีระหว่างพวกเขาได้กินเวลามากว่าหลายล้านปีนี้จะมาสิ้นสุดกันในวันนี้
“ข้าเหนื่อยจริง ๆ กับการหนีมาหลายปีแบบนี้ การตายด้วยน้ำมือพวกเจ้าในวันนี้ถือว่าเป็นการปลดปล่อย ลงมือซะ” หญิงชราพูดขึ้นมาอย่างใจเย็น นางยอมรับความตายแล้ว นางพร้อมเผชิญหน้ากับความตายจริง ๆ
“แต่สองคนนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับข้า พวกเขามาที่นี่โดยบังเอิญ ดังนั้นข้าหวังว่าพวกเจ้าจะไม่ทำให้เรื่องมันยุ่งยาก” หญิงชรามองไปที่เจี้ยนเฉินกับไคยะด้วยความละอาย
เจี้ยนเฉินเห็นความละอายในสายตาของนาง เขาบอกได้ว่าความละอายนี้มาจากวิถีดั้งเดิม
“มีแค่เจ้าเท่านั้นที่เป็นส่วนหนึ่งของภารกิจเรา” แม่ทัพคนหนึ่งพูดขึ้น พวกเขาไม่ได้สนใจเจี้ยนเฉินและไคยะเลยสักนิด
หญิงชรายิ้มออกมาเศร้า ๆ “ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะคน ๆ เดียว ว่าอาจารย์ข้าจะปล่อยให้ข้าอยู่รอดมาถึงวันนี้ แต่ข้าก็ตายเพราะเขาเช่นกัน ก่อนที่ข้าจะตาย ข้าต้องบอกพวกเจ้าว่าไม่ใช่แค่ว่าข้าไม่รู้เรื่องความผิดพลาดในอดีตของอาจารย์ข้า แต่ข้ายังไม่ได้เกี่ยวข้องกับมันอีกด้วย”
ในเวลาเดียวกันไกลออกไปจากตำแหน่งนั้นก็มีร่างอันพร่ามัวปกคลุมไปด้วยแสงนั่งอยู่บนบัลลังก์ภายในห้องโถงสีทอง กฎหมุนวนรอบตัวคนคนนั้นและเปล่งแสงออกมาราวกับหลอมรวมไปกับร่างของเขา
นี่คือการหลอมรวมกับกฎของโลกที่แท้จริงและกลายเป็นส่วนหนึ่งของกฎ ชายคนี้คือตัวตนระดับสูงสุดในการบ่มเพาะของจักรวาล
ตอนนั้นร่างนั้นได้ลืมตาขึ้น
สายตาแบบไหนรึ ? เย็นชา, ไร้อารมณ์, ไร้สีสัน สายตานี้ดูน่าหลงใลราวกับว่ามองผ่านอดีตและอนาคตได้ทันทีและสามารถมองความลึกลับของจักรวาลออก
“จิตวิญญาณพระราชวัง ! ” ตอนนั้นคนผู้นั้นก็ได้พูดขึ้น เสียงของนางเหมือนจะแฝงไปด้วยเสียงของทั้งโลก มันไม่อาจจะบอกรายละเอียดของคนพูดได้เลย
“นายท่าน ! ” ชายแก่ใจดีปรากฏตัวขึ้นมา เขายืนอยู่ด้านล่างและโค้งให้พร้อมกับคำนับคนที่อยู่บนบัลลังก์
“ จากนี้เป็นต้นไป หยุดไล่ล่าซูหราน” ร่างนั้นพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา
“ ได้ นายท่าน ! “
ร่างบนบัลลังก์เหมือนจะมีสิทธิไร้ขีดจำกัด ทุกการกระทำและคำพูดนั้นแทนลิขิตของโลก ชายแก่เหมือนจะได้รับคำสั่งจากจักรพรรดิและรีบทำตามโดยไม่ถามหาเหตุผล
ต่อมาพลังจิตที่น่าพิศวงก็แผ่ออกมาจากห้องโถง มันพุ่งผ่านมิติและเวลาก่อนจะไปถึงจิตของแม่ทัพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองในทันที
“ซูหราน เรารู้แล้วว่าเจ้าถูกลากเข้ามาเกี่ยวกับเรื่องนี้โดยองค์หญิงเจ็ด เมื่อองค์หญิงใหญ่ไม่คิดถือโทษ เราเองก็ไม่ต้องการจะฆ่าเจ้าเช่นกัน แต่จิตวิญญาณพระราชวังได้สั่งการมา”
“นอกซะจากว่าองค์หญิงจะออกตัวปกป้องเจ้า เราก็ไม่อาจจะขัดคำสั่งได้…” แม่ทัพศักดิ์สิทธิ์คนหนึ่งพูดขึ้นมา แต่จู่ ๆ เขาก็หยุด เขามองไปยังแม่ทัพอีกคนด้วยความแปลกใจ
“จิตวิญญาณพระราชวัง ? ฮ่าฮ่า มันคือจิตวิญญาณพระราชวังจริง ๆ คนที่ต้องการให้ข้าตายกลับเป็นจิตวิญญาณของพระราชวังสวรรค์แห่งบิเชิง…” หญิงชราหัวเราะออกมาด้วยความเศร้า ตอนแรกนางเชื่อว่าหนึ่งในองค์หญิงหรือองค์ชายได้สั่งการให้ฆ่านาง แต่นางคิดไม่ถึงเลยว่ากลับเป็นจิตวิญญาณของพระราชวังสวรรค์แห่งบิเชิงที่สั่งการแบบนั้น
แม่ทัพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองได้มองไปที่ซูหรานด้วยสายตาซับซ้อน หลังจากเงียบไปชั่วครู่หนึ่งในนั้นก็พูดขึ้น “ซูหราน ยินดีด้วย จากวันนี้เป็นต้นไปเจ้าเป็นอิสระ” เมื่อพูดจบแม่ทัพศักดิ์สิทธิ์ทั้งสองก็ดึงพลังกลับมาและไม่คิดจะฆ่าใครอีก
“ยินดีรึ ? ฮ่าฮ่า เจ้าสองคนต้องการจะปั่นหัวข้าก่อนจะฆ่าข้าหรือ ? ก็น่าจะเพียงพอ ข้าให้พวกเจ้าไล่ล่ามาหลายล้านปี พวกเจ้าเสียเวลาไปนานแทนที่จะใช้เวลาไปกับการบ่มเพาะ ข้าถึงกับทำให้พวกเจ้าบาดเจ็บ ข้าเข้าใจว่าพวกเจ้าแค้นข้ามากเพียงใด หากเป็นเช่นนั้นเจ้าก็ปั่นหัวข้าได้ตามใจ จากนั้นก็รีบฆ่าข้าซะเพื่อปลดปล่อยข้า” หญิงชรายิ้มมาด้วยรอยยิ้มเศร้า ๆ
แม่ทัพทั้งสองรู้ว่าหญิงชราเข้าใจผิด พวกนั้นถอนหายใจและอธิบายออกมา “จิตวิญญาณพระราชวังได้สั่งการมาให้หยุดไล่ล่าเจ้านับจากวันนี้เป็นต้นไป”