เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 2194 : ตระกูลนักรบโลหิต
ตอนที่ 2194 : ตระกูลนักรบโลหิต
“การป้ายความผิดให้กับตระกูลกัสไม่ใช่เรื่องง่าย เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่ามันจะสำเร็จ ? ” บรรพชนของตระกูลนักรบโลหิตถามขึ้นมา
แม้ว่าตระกูลนักรบโลหิตจะอยู่ระดับเดียวกับตระกูลกัสที่เป็นหนึ่งในสามตระกูลระดับสูงของจักรวรรดิพันใบ แต่ทั้งสามตระกูลไม่ได้ปรองดองกันนัก พวกเขาขัดแย้งกันมาโดยตลอด โดยทั่วไปแล้วตระกูลนักรบโลหิตและตระกูลกัสได้มีความแค้นต่อกันมาหลายปีแล้ว
แต่ทั้งสองตระกูลนั้นมีความแข็งแกร่งทัดเทียมกัน ดังนั้นจึงไม่อาจจะทำลายกันได้ ผลก็คือตระกูลนักรบโลหิตหรือตระกูลกัสต่างก็ไม่กล้าที่จะเปิดสงครามกันเต็มที่ เพราะกลัวว่าพวกเขาจะถูกเอาเปรียบตอนที่เสียหายอยู่
แต่เมื่อพวกเขาพบโอกสที่จะทำลายอีกฝ่ายได้ พวกเขาก็ไม่มีทางปล่อยให้มันหลุดมือ
“นายน้อยผู้นี้ออกมาจากตระกูลกัสแล้ว มันเป็นโอกาสที่ดีอย่างมาก ตระกูลนักรบโลหิตของเราได้แอบเตรียมการมาหลายปี ตราบใดที่เราใช้มันให้ดี เราก็มีโอกาสกว่าเก้าในสิบส่วนที่ตระกูลกัสจะถูกป้ายความผิด” คนด้านนอกห้องลับพูดขึ้น เขามั่นใจอย่างมากราวกับว่าชัยชนะอยู่ในกำมือ
ครืน….
เสียงหนัก ๆ ดังขึ้นมาพร้อมกับประตูห้องลับที่เปิดออก รังสีอาฆาตแผ่ออกมาจากห้องจนทำให้อุณหภูมิรอบ ๆลดลงฮวบ
ชายวัยกลางคนเดินออกมาจากห้องช้า ๆ ผมของเขายาวจนถึงเอว เขาใส่ชุดสีแดงซึ่งดูเหมือนว่าจะย้อมด้วยเลือด ตัวเขาเองก็แผ่กลิ่นคาวเลือดออกมา
พลังกดดันอันแข็งแกร่งที่แผ่ออกมาจากตัวเขานั้นเกินกว่าระดับราชาเทพ มันระดับสูงกว่านั้น ขอบเขตตั้งต้น
“ข้าได้ฝากทุกอย่างที่สำคัญของตระกูลไว้กับเจ้าและเจ้าก็ไม่ทำให้ข้าผิดหวัง ไปเตรียมการให้เสร็จสิ้น จำไว้ว่า เจ้าไม่อาจจะทิ้งร่องรอยเอาไว้ได้ เจ้าต้องมั่นใจว่าจะไม่มีเรื่องไม่คาดฝันเกิดขึ้น เราไม่อาจจะทำให้ตระกูลต้องถูกทำลายได้ ข้าจะจัดการกับนายน้อยนั่นด้วยตัวเอง” บรรพชนพูดขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งเครียด
“ขอรับ ท่านบรรพชน ข้าจะจัดการทุกอย่างเอง” อีกฝ่ายตอบกลับ
บรรพชนของตระกูลนักรบโลหิตยืนอยู่ที่ทางเข้าห้องลับ สายตาของเขาคมกริบและเขาก็ได้พึมพำออกมา “เรื่องนี้มันเสี่ยงอย่างมาก แต่เพื่อการทำลายตระกูลกัส เราจำเป็นต้องเสี่ยง…”
….
เจี้ยนเฉินโบกมือและเดินไปทั่วเมืองหลวงของจักรวรรดิพันใบด้วยความสบายใจ ฉิงยี่หยวนกับเฮยหยาเดินตามเขามาติด ๆ
เฮยหยาเดินตามเจี้ยนเฉิน ทำตัวราวกับผู้คุ้มกัน
ยังไงซะเขาก็ยอมอุทิศตนให้กับเจี้ยนเฉินตั้งแต่อยู่ในพระราชวังศักดิ์สิทธิ์เนปจูนแล้ว
สำหรับฉิงยี่หยวน นางเดินตามเจี้ยนเฉินไปอย่างไม่เต็มใจ นางรู้สึกเหมือนถูกดูหมิ่นและต้องกัดฟันแน่น นางรู้สึกสิ้นหวัง
แม้ว่านางจะออกจากตระกูลกัสและหนีจากเงื้อมมือนายน้อยคนโตมาได้ แต่สุดท้ายนางก็ตกอยู่ในมือของนายน้อยเจียงหยาง ซึ่งไม่ได้ต่างอะไรกับการอยู่กับนายน้อยคนโตของตระกูลกัส นายน้อยที่แม้แต่ตระกูลกัสก็ยังกลัวก็ยังสนใจในความงดงามของนาง เขาไม่ได้ต่างจากนายน้อยคนโตของตระกูลกัสเลย
ตอนนั้นเจี้ยนเฉินได้หันกลับมามองที่ฉิงยี่หยวนและพูดขึ้นมาว่า “เจ้าโดนคนของตระกูลกัสจับไป หากไม่ใช่ว่าข้ามาถึงทันเวลา เจ้าอาจจะมีมลทินไปเพราะกู้เฟิงแล้ว เจ้าอยากแก้แค้นหรือไม่ ? เจ้าอยากฆ่ากู้เฟิงด้วยตัวเองรวมถึงทหารที่จับตัวเจ้าไปหรือไม่ ? ”
ฉิงยี่หยวนมองไปที่เจี้ยนเฉินด้วยสายตาเย็นชาเมื่อได้ยินแบบนั้น นางพูดขึ้นมาว่า “หากร่างกายข้าคือสิ่งที่เจ้าต้องการ ข้าก็ไม่ต้องการความช่วยเหลือของเจ้า”
“ฮิฮิ เจ้านี่ช่างดื้อด้านเสียจริง” เจี้ยนเฉินยิ้มออกมา “นี่คือโลกเซียน มันไม่ใช่โลกเบื้องล่างที่เจ้าจากมา ที่นี่เจ้าต้องปรับตัวกับกฎเอาตัวรอดและประเมินสถานของตัวเองใหม่ ไม่เช่นนั้นแล้วคงยากที่เจ้าจะรอดไปได้”
ฉิงยี่หยวนฟังอยู่เงียบ ๆ นางกัดฟันแน่นแต่ไม่ได้พูดอะไรออกมา
จู่ ๆ ตัวของนางก็นิ่งไป นางหยุดอยู่กับที่และมองไปด้านหน้า
แผ่นประกาศจับของเจี้ยนเฉินแปะเอาไว้ด้านหน้านั้นดูโดดเด่น มีหลายคนหยุดดูป้ายประกาศนั้นพร้อมกับชี้ไปที่รูปของเจี้ยนเฉินและพูดคุยกัน
“เป็นเจี้ยนเฉินจริง ๆ ! ” ใจของฉิงยี่หยวนเต้นรัวเมื่อเห็นใบหน้าและชื่อที่คุ้นเคย
โลกเซียนนั้นกว้างใหญ่ ดังนั้นนางจึงไม่คิดว่านางจะได้ยินเกี่ยวกับเจี้ยนเฉินเร็วแบบนี้ แม้ว่ามันจะมีป้ายประกาศจับ แต่มันก็ทำให้ฉิงยี่หยวนรู้ว่าเจี้ยนเฉินยังมีชีวิตอยู่ ไม่ใช่แค่ยังมีชีวิตอยู่แต่เขาถึงกับสร้างปัญหาใหญ่ได้ถึงเพียงนี้
“ข้าไม่คิดว่าเขาจะกลายเป็นราชาเทพแล้ว แต่สุดยอดราชาเทพสุดก็ยังต้องตายเพราะเขา” ความรู้สึกของฉิงยี่หยวนนั้นซับซ้อนตอนที่เห็นป้ายหประกาศจับเจี้ยนเฉิน ซึ่งเพียงพอทำให้นางอิจฉา
นางเหมือนจะเห็นเด็กน้อยที่ต้องล้มลงไปกองจากการโจมตีเพียงครั้งเดียวของนางกับการแย่งเศษแผนที่ของแผ่นดินทั้งแปด
ตอนนั้นความแข็งแกร่งของเจี้ยนเฉินไม่อาจจะทำให้นางสนใจได้ เขาต่ำต้อย
แต่ตอนนี้เขากลับเป็นราชาเทพที่แข็งแกร่งในสายตาของนาง ส่วนนางอยู่แค่ขอบเขตดั้งเดิม
ฉิงยี่หยวนมองไปที่ป้ายประกาศจับก่อนจะแอบถอนหายใจออกมา นางเริ่มเดินออกมาด้วยสีหน้าหม่นหมอง
“เจี้ยนเฉิน ข้าอยากช่วยเจ้าแต่ตอนนี้ข้าไม่อาจจะปกป้องตัวเองได้ด้วยซ้ำ ดังนั้นข้าได้แต่หวังว่าเจ้าจะปลอดภัยดี ข้าหวังว่าเจ้าจะรอดไปได้” ฉิงยี่หยวนคิด
“เราจะไม่อยู่บนดาวเคราะห์เทียนหมิงนานนัก มีธุระอะไรที่เจ้าต้องสะสางที่นี่หรือไม่ ? ” ตอนนั้นเสียงของ เจี้ยนเฉินก็ดังขึ้นมา
ฉิงยี่หยวนลังเลเมื่อได้ยินแบบนั้น นางกัดปากและพูดขึ้นด้วยสีหน้าจริงจัง “ข้ายังมีพี่สาวที่ข้าพบที่นี่ไม่นานมานี้ ข้าอยากไปลานาง”
“งั้นก็ไปซะ เฮยหยาไปกับนาง ดูแลนางให้ปลอดภัย ในเวลาเดียวกันก็เอาเหรียญผลึกให้กับพี่สาวนางด้วย” เจี้ยนเฉินบอกกับเฮยหยา เป็นธรรมดาที่เขาจะรู้ว่าฉิงยี่หยวนพูดถึงใคร มันคือผู้หญิงที่หน้าเต็มไปด้วยรอยแผลเป็น
“ขอรับ นายน้อย” เฮยหยาตอบกลับก่อนจะจากไปพร้อมกับฉิงยี่หยวน
เมื่อทั้งสองจากไป เจี้ยนเฉินก็ได้หยุดเสแสร้ง เขาเริ่มเครียดขึ้นมา เขามองไปทีท้องฟ้าและมีความเย็นชาสะท้อนผ่านสายตา จากนั้นเขาก็บินออกจากเมืองทันที
เขารับรู้ได้นานแล้วว่าไม่ใช่แค่ถูกตาม แต่ยังเหมือนกับมีสายตาที่มองไม่เห็นจับจ้องมาที่เขาอยู่ตลอด
เมื่อไหร่ก็ตามที่ตาคู่นั้นมองมาที่เขา เจี้ยนเฉินจะรู้สึกได้ถึงอันตราย
แต่โดยพื้นฐานแล้วไม่มีราชาเทพคนไหนที่เป็นภัยต่อเขาได้ มันมีแค่พวกขอบเขตตั้งต้นที่ก้าวข้ามราชาเทพได้แล้วที่ทำแบบนั้นได้