เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 2210: ไปยังที่ราบรกร้าง (2)
ตอนที่ 2210: ไปยังที่ราบรกร้าง (2)
“เอาล่ะ เช่นนั้นไปที่ราบรกร้างกัน ! เจี้ยนเฉินลังเลสักครู่ก่อนจะเห็นด้วย แน่นอนมีเหตุผลว่าทำไมเขาต้องไปยังที่ราบรกร้าง โถงเซียนธาตุแสงตั้งอยู่อยู่บนที่ราบรกร้าง
นับตั้งแต่เขามาถึงโลกเซียน เขาได้พยายามดิ้นรนเพื่อให้พลังเซียนธาตุแสงของเขารุดหน้า ถึงตอนนี้ ขอบเขตการบ่มเพาะของเขาในฐานะเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงยังคงอยู่ในระดับเดียวกับเมื่อตอนที่เขาอยู่ในทวีปเทียนหยวน ไม่ใช่เพราะเขาไม่ต้องการเพิ่มมัน แต่เป็นเพราะเขาขาดวิธีการบ่มเพาะ
ในช่วงเวลานี้ เขาได้พิจารณาการสร้างวิธีการบ่มเพาะของตัวเอง แต่การสร้างของแต่ละวิธีจะใช้เวลานาน มันต้องมีการคาดการณ์และการทดลองนับไม่ถ้วนก่อนที่จะก่อตัวเป็นรูปเป็นร่าง เป็นผลให้การสร้างวิธีการบ่มเพาะไม่เหมาะกับเจี้ยนเฉินอย่างชัดเจน
“ข้ามีแผนที่แสดงดาวในท้องฟ้าอยู่ที่นี่ มันแสดงตำแหน่งของ 49 ที่ราบและดาวเคราะห์ 81 ดวงของโลกเซียนอย่างถูกต้อง รวมถึงพื้นที่ต้องห้ามบางแห่งที่เจ้าไม่ควรก้าวเข้าไป” ซวนหมิงกล่าว การตัดสินใจของเจี้ยนเฉินเพื่อไปยังที่ราบรกร้างทำให้ซวนหมิงดีใจมาก ในไม่ช้าเขาก็มอบแผนที่แสดงดาวบนท้องฟ้ากับเจี้ยนเฉินราวกับว่าเขากลัวว่าเจี้ยนเฉินจะหลงทาง
ที่ราบรกร้างคือบ้านของซวนหมิง ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงเข้าใจความรู้สึกของซวนหมิงได้อย่างสมบูรณ์แบบ เขายอมรับแผนที่แสดงดาวจากซวนหมิงและพูดกับไคยะว่า “อย่ารอช้า เราจะไปที่นั่นทันที เราต้องไปที่ที่ราบรกร้างก่อนที่ราชาเผิงสีฟ้าจะถูกปลดปล่อยเป็นอิสระ”
หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินก็ขับเคลื่อนนำหอคอยอนัตตาค้นหาทางออก
ในโลกเซียน เขาและไคยะได้รวมความพยายามเข้าด้วยกัน พวกเขาถึงเปิดมิติออกมาได้บ้าง อย่างไรก็ตาม พวกเขาไม่กล้าทำเช่นนั้นในช่วงรอยแยกของมิติ แม้ว่าร่างบรรพกาลของเจี้ยนเฉินจะมาถึงขั้นที่ 13
นี่เป็นเพราะมันอันตรายเกินไป โดยทั่วไปอันตรายจะถูกวางไว้ในทุกขั้นตอน แม้แต่ระลอกคลื่นเพียงเล็กน้อยของพลังงานก็สามารถทำให้เกิดปฏิกิริยาลูกโซ่และนำไปสู่อันตรายที่รุนแรงยิ่งขึ้น หากพวกเขาใช้กำลังเต็มที่ที่นี่ มันจะเกิดผลที่น่ากลัวก่อนที่พวกเขาจะฉีกมิติให้เปิดออก
ท้ายที่สุดพวกเขาไม่ได้มีพละกำลังที่น่ากลัวเหมือนกับราชาเผิงสีฟ้า ซึ่งเขาไม่จำเป็นต้องกลัวภัยคุกคามที่นี่
เป็นผลให้พวกเขาต้องหาทางออกอีกทางหนึ่ง
อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินก็ยังมีหอคอยอนัตตาที่ปกป้องเขา ตราบใดที่เขาไม่ได้ออกไปข้างนอก เขาสามารถไปที่ใดก็ได้ในรอยแยกของมิติ เป็นผลให้เขาพบรอยแยกที่นำไปสู่โลกภายนอก รอยแยกนั้นเล็กมาก มันมีขนาดเพียง 1 เมตรเท่านั้น
เจี้ยนเฉินไม่ต้องลังเลเลยที่จะย่อขนาดหอคอยอนัตตาให้เท่ากับนิ้วเพียงนิ้วเดียวและพุ่งออกไปจากรอยแยกเล็ก ๆ
อย่างไรก็ตามทันทีที่เขากลับไปสู่โลกเซียน พลังอันทรงพลังก็โหมกระหน่ำ
ในบริเวณใกล้เคียงมีสัตว์ร้ายขนาดมหึมาต่อสู้กับชายชราที่โชกเลือด
ไม่ว่าจะเป็นสัตว์อวกาศหรือชายชรา พวกเขาทั้งคู่มีพลังอย่างมาก คลื่นกระแทกแห่งพลังงานจากการต่อสู้ก่อให้เกิดพายุที่น่าสยดสยองที่พัดผ่านฟ้า ทำให้มันพังทลายและถูกปกคลุมด้วยรอยแยก
หอคอยอนัตตาพุ่งออกมาจากหนึ่งในรอยแยกนั้น
เจี้ยนเฉินไม่ได้เข้าไปยุ่งกับปัญหาของชายชรา เขาซ่อนตัวอย่างระมัดระวังและพุ่งทะยานออกไปไกลเพราะทั้งสัตว์อวกาศและชายชราแข็งแกร่งอย่างมาก เขาไม่สามารถจัดการกับใครได้
สัตว์อวกาศกำลังได้เปรียบในการต่อสู้ ชายชราจึงทุ่มเทความพยายามในการสู้กลับ ดังนั้นเขาจึงล้มเหลวอย่างชัดเจนที่จะสังเกตเห็นหอคอยอนัตตาขนาดเล็ก ในท้ายที่สุดเจี้ยนเฉินก็ถอยห่างจากด้านหน้าของพวกเขาด้วยหอคอยอนัตตา
“โชคดีที่เราอยู่ใกล้กับดาวเคราะห์เมฆศักดิ์สิทธิ์แห่งดาวเคราะห์ 81 ดวง ด้วยความเร็วของเรา เราควรจะไปถึงที่นั่นภายในหนึ่งวัน หวังว่าเราจะสามารถทำได้สำเร็จ” เจี้ยนเฉินเก็บหอคอยอนัตตาไว้และนำยานอวกาศขนาดเล็กที่ซวนหมิงมอบให้เขา เขาคลี่แผนที่และรีบออกไปที่ดาวเคราะห์เมฆศักดิ์สิทธิ์ด้วยความเร็วเต็มพิกัด
ยานอวกาศของซวนหมิงมีคุณภาพที่น่าประทับใจ มันเร็วมาก ในที่สุดการเดินทางของหนึ่งวันโดยประมาณก็เสร็จสมบูรณ์ในเวลาเพียง 2 ชั่วยาม พวกเขามาถึงดาวเคราะห์เมฆศักดิ์สิทธิ์
ครั้งนี้เขาไม่ได้ให้ไคยะเดินเข้ามากับเขา หลังจากอำพรางตัวเขาเองอีกครั้ง เขาก็ก้าวเท้าไปบนดาวเคราะห์คนเดียว เขาเดินทางไปยังค่ายกลส่งตัวทางไกลซึ่งสามารถพาผู้คนข้ามที่ราบได้โดยตรง
“ราคาของที่ราบรกร้างคือ 500 เหรียญผลึกห้าสีต่อคน โปรดจำไว้ว่าเจ้าไม่สามารถมีชีวิตอยู่ในสมบัติมิติได้ เมื่อค่ายกลสัมผัสกับบางสิ่ง มันจะมีผลกระทบที่รุนแรงตามมา” ผู้คุมที่จัดการค่ายกลส่งตัวทางไกลเตือนเจี้ยนเฉินอย่างจริงจัง
เจี้ยนเฉินตกตะลึงอย่างเงียบ ๆ เมื่อเขาได้ยินราคา เขารู้ว่าราคาจะสูงมาก สูงจนแม้แต่ผู้เชี่ยวชาญขอบเขตตั้งต้นก็จะมีปัญหา แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะสูงมากเช่นนี้
เหรียญผลึกระดับสูงสุด 100 เหรียญมีค่าเท่ากับเหรียญผลึกหนึ่งสี 1 เหรียญ เหรียญผลึกหนึ่งสี 10 เหรียญมีค่าเท่ากับเหรียญผลึกสองสี 1 เหรียญ, เหรียญผลึกสองสี 10 เหรียญมีค่าเท่ากับเหรียญผลึกสามสี 1 เหรียญ ราคามันสูงไปเรื่อย ๆ ดังนั้นเหรียญผลึกห้าสี 1 เหรียญก็เท่ากับเหรียญผลึกหนึ่งสี 10,000 เหรียญ หากมีการแลกเปลี่ยนกับเหรียญผลึกระดับสูงสุด เหรียญผลึกห้าสีจะเทียบเท่ากับเหรียญผลึกที่มีคุณภาพสูงสุดนับล้านเหรียญ
แต่ค่ายกลส่งตัวทางไกลเพียงครั้งเดียวมีค่าใช้จ่ายถึง 500 เหรียญ !
มันก็ต้องบอกว่าราคาสำหรับค่ายกลส่งตัวครั้งนี้มากเกินไป
เจี้ยนเฉินอ้าปากค้าง เขาส่งเหรียยผลึกสีห้าสี 500 เหรียญอย่างค่อนข้างเจ็บปวดก่อนที่จะเข้าไปในค่ายกลส่งตัวอย่างไร้อารมณ์
ผู้คุมที่อยู่ใกล้กับค่ายกลส่งตัวต่างให้ความสนใจอย่างใกล้ชิดกับเจี้ยนเฉิน ระหว่างทางไปสู่ค่ายกลส่งตัวทางไกล มีค่ายกลพิเศษที่สามารถตรวจสอบได้ว่าผู้คนกำลังพกพาสิ่งมีชีวิตในสมบัติมิติของพวกเขาหรือไม่
โดยพื้นฐานแล้วทุกคนที่ควบคุมค่ายกลเคลื่อนย้ายผ่านที่ราบในโลกเซียนจะห้ามมิให้ผู้คนนำสิ่งมีชีวิตใด ๆติดตัวมา เพราะทุกคนต้องจ่ายเพิ่มสำหรับสิ่งมีชีวิตอื่น
มันจะไม่ส่งผลกระทบต่อความมั่นคงของค่ายกล มันเป็นเพื่อผลกำไรอย่างหมดจด พวกเขาจะขาดทุนหากมีอีกคนแอบลักลอบเข้ามา
มันก็เป็นเพราะเหตุนี้เองที่กลุ่มและองค์กรที่ทรงพลังจำนวนมากต้องการเลือกที่จะเดินทางไปทั่วอวกาศบนยานอวกาศมากกว่าที่จะใช้ค่ายกลส่งตัว
อย่างไรก็ตามเจี้ยนเฉินไม่ได้กังวลว่าค่ายกลจะค้นพบว่าเขามีอีกคนมาด้วยกับเขา หอคอยอนัตตาเป็นวัตถุเทพอันน่าประทับใจ มันไม่สามารถถูกค้นพบผ่านค่ายกลเก่า ๆ ได้ แม้แต่ฉิงยี่หยวนและเฮยหยาก็ถูกย้ายจากโถงศักดิ์สิทธิ์มายังหอคอยอนัตตา
ในท้ายที่สุดเจี้ยนเฉินก็ผ่านค่ายกลไปสำเร็จและออกจากดาวเคราะห์เมฆศักดิ์สิทธิ์เพื่อไปยังที่ราบรกร้าง
เมื่อเจี้ยนเฉินออกจากดาวเคราะห์เมฆศักดิ์สิทธิ์ ในที่สุดราชาเผิงสีฟ้าก็พุ่งออกมาจากพายุมิติในรอยแยกของมิติได้ เขาสามารถเห็นได้ว่าหอคอยอนัตตาได้หายไปแล้ว ดังนั้นสีหน้าของเขาจึงน่าเกลียดอย่างยิ่ง
“แม้แต่ร่องรอยของมันก็หายไป ดูเหมือนว่าข้าติดอยู่ข้างในมาระยะหนึ่งแล้ว อย่างไรก็ตามข้ายังมีเลือดหยดหนึ่งของเจ้า ไม่ว่าเจ้าจะไปที่ไหน เจ้าจะไม่สามารถหลบหนีจากข้าได้” ราชาเผิงสีฟ้ากัดฟันพูด
…
ในห้องที่ตกแต่งเป็นสีชมพูสดใสอย่างอบอุ่นของตระกูลเทียนหยวน เสี่ยวหลิง, และเสี่ยวจินนั่งอยู่ที่โต๊ะ พวกเขากินผลไม้และพูดคุยกันอย่างสบาย ๆ
ในขณะนี้ชายชราที่สวมเสื้อสีดำที่มีรูปร่างแปลกตาปรากฏตัวข้างหลังเสี่ยวหลิง เขาช่างเงียบเหมือนผี
คนแรกที่ค้นพบชายชราคือเสี่ยวจิน ผู้ซึ่งนั่งตรงข้ามกับเสี่ยวหลิง. ทันใดนั้นดวงตาของเขาก็หรี่แคบลงและเขาก็ลุกขึ้นยืนทันที เขาร้องออกมาว่า “ท่านเป็นใคร ? ”
ชายชราเป็นมิตร เขามองดูเสี่ยวหลิงด้วยความอยากรู้อยากเห็น แต่เขารู้สึกสับสนภายใน เขาคิดว่า “ เด็กผู้หญิงคนนี้อยู่ในขั้นแลกเปลี่ยนเท่านั้น ทำไมเจ้านายจึงส่งข้ามารับนางด้วยตัวเอง ? ”
“ อะไร ! ท่านปู่เป็นใคร ? ท่านเข้ามาที่นี่ได้อย่างไร ? ” เสี่ยวหลิงเห็นชายชราที่อยู่ข้างหลังนาง ใบหน้าเล็ก ๆ ที่บริสุทธิ์ของนางเต็มไปด้วยความประหลาดใจ
ชายชราไม่พูดอะไร เขาไม่ได้เปิดเผยพลังแห่งการมีอยู่ใด ๆ เขาดูเหมือนคนธรรมดา เขาศึกษาเสี่ยวหลิงอยู่พักหนึ่งก่อนที่จะนำปอยผมออกมาอย่างระมัดระวัง
เขาถือปอยผมด้วยมือทั้งสองราวกับว่ามันสำคัญมาก ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความเคารพ