เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 2218: ศิษย์พี่รอง
ตอนที่ 2218: ศิษย์พี่รอง
ใบหน้าของราชาเผิงสีฟ้านั้นจมลงทันทีเมื่อได้ยินคำเตือนที่พึงระวังของบรรพชนกระบี่เดียวดาย บรรพชนกระบี่เดียวดายได้เปิดเผยความจริง 1 ข้อแก่เขาอย่างไม่ต้องสงสัย ชายวัยกลางคนที่เป็นเพียงขั้นอสงไขยชั้นสวรรค์ที่เก้ามีร่างกายดั้งเดิมที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงที่ทรงพลังอย่างบรรพชนกระบี่เดียวดายก็ต้องปฏิบัติตัวด้วยความระมัดระวัง
เดิมทีชายวัยกลางคนไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกับราชาเผิงสีฟ้า แต่เขาเกิดมีเหตุผลที่ต้องการปกป้องเจี้ยนเฉินคนที่ราชาเผิงสีฟ้าต้องการฆ่า มันจึงทำให้ราชาเผิงสีฟ้ามีสีหน้าน่าเกลียดทันที
บรรพชนกระบี่เดียวดายนิ่งเงียบเมื่อเขาได้ยินคำพูดของชายวัยกลางคน เขามองไปที่ชายเสื้อสีขาวผู้ตั้งใจแน่วแน่อย่างไม่แแสและพูดขี้นมาว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่ามันยากแค่ไหนที่จะหาผู้สืบทอดที่เหมาะสมสำหรับตระกูลกระบี่เดียวดายของข้า กงเจิ้งเป็นคนเดียวที่ข้าสามารถหาได้ในโลกเซียนอันกว้างใหญ่หลังจากผ่านความยากลำบากมากมาย แต่ในท้ายที่สุดเขาถูกเจี้ยนเฉินสังหารในพระราชวังศักดิ์สิทธิ์เนปจูนก่อนที่เขาจะโตเต็มที่และกางปีกของเขาออก”
“ถ้าเจ้าต้องการปกป้องเจี้ยนเฉิน ข้าจะอธิบายเรื่องนี้กับตระกูลกระบี่เดียวดายของข้าได้อย่างไร ? ”
ชายเสื้อคลุมสีขาวยิ้มอย่างเฉยเมย “การหาผู้สืบทอดที่เหมาะสมอาจเป็นเรื่องยากลำบากสำหรับเจ้า แต่มันไม่มีปัญหาอะไรสำหรับข้าเลย”
ดวงตาบรรพชนกระบี่เดียวดายหรี่แคบลงเมื่อเขาได้ยิน เขาจ้องมองชายวัยกลางคนด้วยความสนใจอย่างเต็มเปี่ยมและถามอย่างกระตือรือร้นว่า “เจ้าเต็มใจที่จะหาผู้สืบทอดที่เหมาะสมให้ข้างั้นหรือ ? ”
ชายวัยกลางคนพยักหน้า “ไม่ใช่เรื่องยากในการหาผู้สืบทอดที่เหมาะสม ข้าพบผู้สืบทอดที่เหมาะสมแล้ว มีผู้เยาว์ 3 คนที่มีความสามารถที่ยอดเยี่ยมซึ่งเหมาะอย่างยิ่งที่จะเป็นผู้สืบทอดตระกูลกระบี่เดียวดายของเจ้า”
“3 คน ? จริง ๆ รึ ? ” ใบหน้าของบรรพชนกระบี่เดียวดายส่องสว่างขึ้นและดวงตาของเขาก็เปล่งประกาย
“เจ้ารู้ว่าข้ากำลังพูดความจริงหรือไม่ กระบี่เดียวดาย ข้าจะใช้ผู้สืบทอดทั้งสามนี้เพื่อแลกเปลี่ยนเงินนำจับของเจ้ากับเจี้ยนเฉิน ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าไม่สามารถหมายเป้าเจี้ยนเฉินได้ในอนาคตอีกต่อไป เจ้าเห็นด้วยหรือไม่ ? ” ชายวัยกลางคนพูดอย่างเป็นกลาง
“ตกลง ข้าเห็นด้วย หากทั้งสามคนกลายเป็นผู้สืบทอดตระกูลกระบี่เดียวดายของข้า ไม่เพียงแต่ข้าจะหยุดกำหนดเป้าหมายเจี้ยนเฉินเท่านั้น แต่ข้าจะยังเป็นหนี้บุญคุณเจ้าอย่างมากอีกด้วย” บรรพชนกระบี่เดียวดายพูดเสียงดัง ความปีติยินดีเติมเต็มเสียงของเขา มันเป็นเรื่องยากอย่างยิ่งที่ตระกูลกระบี่เดียวดายจะหาผู้สืบทอดได้ แม้ในช่วงเวลาที่รุ่งโรจน์ที่สุดก็มีผู้สืบทอดไม่เกิน 10 คน ในรุ่นของเขามีผู้สืบทอดเพียงคนเดียวคือกงเจิ้ง
มันจึงเป็นเรื่องธรรมดาที่บรรพชนกระบี่เดียวดายจะมีความสุขมากเมื่อเขาก็ได้ยินข่าวของผู้สืบทอด 3 คน
“เจ้าพูดว่ามีสาเหตุ 2 ประการที่ทำให้เจ้าตามหาข้า เหตุผลประการที่ 2 คืออะไร ? ” บรรพชนกระบี่เดียวดายถาม
“ข้าอยากให้เจ้าลงมือด้วยตนเอง” ชายวัยกลางคนกล่าว
“เจ้าต้องการให้ข้าลงมือหรือ ? ” บรรพชนกระบี่เดียวดายประหลาดใจ
ชายวัยกลางคนใช้ความคิดชั่วครู่หนึ่งก่อนที่จะบอกบรรพชนกระบี่เดียวดายอย่างลับ ๆ ว่า “ร่างกายดั้งเดิมของข้าติดอยู่ ข้าต้องการให้เจ้าลงมือทำลายผนึก”
บรรพชนกระบี่เดียวดายเคร่งเครียดทันที เขามองชายวัยกลางคนด้วยสายตาของเขาที่ได้เห็นหลายแง่มุมของชีวิตและใช้ความคิดเป็นเวลานานมากก่อนที่จะพยักหน้าช้า ๆ
เมื่อเห็นว่าบรรพชนกระบี่เดียวดายเห็นด้วย ใบหน้าของชายวัยกลางคนก็ไม่เปลี่ยนแปลงเลย เขายังคงสงบและใจเย็นตลอดเวลา เศษหยกถูกยิงเข้าสู่มือของบรรพชนกระบี่เดียวดายโดยตรง และชายวัยกลางคนก็กล่าวว่า “นี่คือตำแหน่งที่อยู่ของผู้สืบทอด 3 คนของเจ้า”
หลังจากนั้นชายวัยกลางคนไม่ได้อยู่ที่นั่นอีกต่อไป เขาก้าวไปทางซ้ายแล้วเข้าสู่ที่ราบรกร้างด้วยความสงบ เขาไม่ได้เหลือบมองราชาเผิงสีฟ้าด้วยซ้ำเหมือนกับว่าอีกฝ่ายไม่สำคัญแม้แต่น้อย
“กระบี่เดียวดาย เขาคือใคร ? ” ราชาเผิงสีฟ้ามาถึงข้างหน้าบรรพชนกระบี่เดียวดายภายในพริบตาและถามด้วยใบหน้าที่มืดมิดหลังจากชายวัยกลางคนจากไปแล้ว
บรรพชนกระบี่เดียวดายส่ายหน้าเบา ๆ ดูเหมือนเขาจะไม่เต็มใจพูดคุยเกี่ยวกับตัวตนของชายวัยกลางคน อย่างไรก็ตาม เขาได้เอ่ยปากอ้อนวอนเตือนราชาเผิงสีฟ้าให้ยกเลิกการตามล่าหาเจี้ยนเฉิน แต่ทันทีที่เขาจะพูด เขาก็จำได้ถึงนิสัยของราชาเผิงสีฟ้า เขารู้ว่าแม้ว่าเขาจะเตือนราชาเผิงสีฟ้า อีกฝ่ายก็จะไม่เปลี่ยนใจ ดังนั้นเขาจึงไม่พูดอะไรในตอนท้าย เขาหยิบเอาหยกที่มีตำแหน่งของผู้สืบทอดทั้งสามและจากไปด้วยความตื่นเต้นและความคาดหวังอย่างกระตือรือร้น
เมื่อเห็นบรรพชนกระบี่เดียวดายจากไป ราชาเผิงสีฟ้าก็ไม่สบายใจ เขามองไปยังที่ราบรกร้างขนาดใหญ่ที่บินวนอยู่ในอวกาศและแสงในดวงตาของเขาสั่นไหวด้วยความไม่แน่ใจ
ในท้ายที่สุด เขาก็ยังไม่เต็มใจที่จะเฝ้าดูเจี้ยนเฉินซ่อนบนที่ราบรกร้างอย่างปลอดภัย เขาร้องออกมาว่า “เซียนกระบี่สวรรค์ ทุกข์ในอดีตอยู่ในอดีต มันผ่านมาเป็นเวลาหลายปีแล้วทำไมเจ้าต้องยึดติดกับมัน ? ถ้าเจ้าให้ข้าเข้าไปเพียง 1 ชั่วยามบนที่ราบรกร้าง ข้าจะให้สิ่งตอบแทนที่ยอดเยี่ยมแก่เจ้าอย่างแน่นอน”
“ฮ่าฮ่าฮ่า ในแง่ของความพยาบาท มีกี่คนที่สามารถเทียบกับสมองนกสีฟ้าในโลกเซียน ? มันยังคงเหมือนเดิม หากเจ้าต้องการที่จะก้าวขึ้นไปบนที่ราบรกร้างก็ลองดูเลย” เซียนกระบี่สวรรค์ตอบกลับด้วยการยั่วยุและข่มขู่ เขาไม่ปรากฏตัว แต่เสียงของเขาดังขึ้นในอวกาศเหมือนเสียงระฆังดัง
ใบหน้าของราชาเผิงสีฟ้าแดงก่ำนั้นเต็มไปด้วยความโกรธ เขาจ้องมองไปในทิศทางของที่ราบรกร้างอย่างเย็นชาและพ่นลมหายใจอย่างฉุนเฉียวก่อนที่จะหันหลังกลับ
อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ไปไกล แต่เขากลับนั่งลงบนอุกกาบาตในพื้นที่ห่างไกลโดยคอยสังเกตเจี้ยนเฉินจากที่นั่น
“เจี้ยนเฉิน ข้าอยากเห็นว่าเจ้าสามารถอยู่บนที่ราบรกร้างได้นานแค่ไหน” ราชาเผิงสีฟ้านึกขณะที่เขามองดูดินแดนขนาดเล็กลงในระยะไกล
…
เจี้ยนเฉิน,ไป๋หยู, และจ้าวเฟิงกำลังปลดปล่อยพลังทั้งหมดของพวกเขาในโถงเซียนธาตุแสง พวกเขาวิ่งไปที่ยอดเขาอย่างบ้าคลั่ง พวกเขาเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว กลายเป็นแสงสีขาวสามเส้นที่หายไปจากป่าในพริบตา
ในบรรดาสามคนนั้น จ้าวเฟิงนั้นแข็งแกร่งที่สุด เขามีแกนวิญญาณสามสี ร่างกายทั้งหมดของเขาอาบพลังเซียนธาตุแสงในสีขาวนวลขณะที่เขาวิ่งไปข้างหน้า
ไป๋หยูติดตามเขามาพร้อมกับแกนวิญญาณสองสี ขณะที่เจี้ยนเฉินตามมาเป็นคนสุดท้าย
ในความเป็นจริง เจี้ยนเฉินสามารถหลุดพ้นจากพันธนาการของพลังลึกลับได้อย่างสมบูรณ์ด้วยการบ่มเพาะในปัจจุบันของเขาและขึ้นไปถึงยอดเขาในก้าวเดียว อย่างไรก็ตาม สถานะของเขาในตอนนี้เป็นเพียงเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงที่เพิ่งจะควบแน่นแกนวิญญาณหนึ่งสี ดังนั้นความแข็งแกร่งที่เขาสามารถแสดงได้นั้นจึงถูกจำกัดอย่างสมบูรณ์
อย่างไรก็ตาม ถึงแม้จะเป็นเช่นนั้น ความแข็งแกร่งที่เขาแสดงไม่สามารถนำมาเปรียบเทียบกับพลังเซียนธาตุแสงจากแกนวิญญาณหนึ่งสี ขณะที่พวกเขาวิ่ง เขาค่อย ๆ เข้าไปใกล้ไป๋หยู
และนี่คือสิ่งที่เจี้ยนเฉินตั้งใจทำ เขาไม่เต็มใจที่จะโดดเด่น มิฉะนั้นเขาสามารถทำมันได้อย่างง่ายดายกว่าไป๋หยูและจ้าวเฟิง
ในท้ายที่สุด จ้าวเฟิงก็ขึ้นไปถึงยอดเขาเป็นคนแรก ในทางกลับกัน เจี้ยนเฉินเร่งความเร็วขึ้นเล็กน้อยในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ ทำให้เขาก้าวเร็วกว่าไป๋หยูถึงหนึ่งก้าว นอกจากนี้ยังทำให้ไป๋หยูซึ่งเดิมเป็นอันดับสองต้องจบลงด้วยอันดับสาม
“ศิษย์น้อง ข้าไม่สามารถบอกได้ว่าจริง ๆ ว่าเจ้าเร็วกว่าข้า” ไป๋หยูมองดูเจี้ยนเฉินขณะที่นางหอบหายใจเสียงดัง
“ดีมาก เนื่องจากทุกคนอยู่ที่นี่ ข้าจึงประกาศอย่างเป็นทางการว่าจ้าวเฟิง, เจียงหยางและไป๋หยูจะเป็นลูกศิษย์ของข้า หานซิน ในอนาคตข้าจะเป็นผู้แนะนำพวกเจ้าในเส้นทางการบ่มเพาะในฐานะเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสง”
ชายวัยกลางคนในชุดขาวยืนอยู่ข้างหน้าทั้งสามคน เขาดูสง่างามและประณีตเหมือนบัณฑิตเล็กน้อย แต่ดวงตาของเขาส่องประกายสดใสขณะที่เขาพูดกับทั้งสามคน
“ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปจ้าวเฟิงจะเป็นศิษย์พี่ใหญ่ เจียงหยางจะเป็นศิษย์พี่รอง ในขณะที่ไป๋หยูจะเป็นศิษย์น้องเล็ก” หานซินพูดอย่างมั่นคงโดยไม่เว้นช่องว่างให้โต้แย้ง
“ฮะ ? ข้ากลายเป็นศิษย์น้องเล็กได้อย่างไร ? ไม่ไม่ ท่านอาจารย์ นี่ไม่ยุติธรรมเลย สิ่งนี้ไม่สมเหตุสมผลเลย ข้าควรจะเป็นศิษย์พี่รอง ทำไมข้าถึงเป็นศิษย์น้องเล็ก ? ” ไป๋หยูปฏิเสธที่จะยอมรับสิ่งนี้ “ท่านอาจารย์ ข้ามีแกนวิญญาณสองสี ในขณะที่เจียงหยางควบแน่นได้เพียงสีเดียว ข้าไม่มีข้อคัดค้านเกี่ยวกับศิษย์พี่จ้าวเฟิงได้เป็นศิษย์พี่ใหญ่ แต่ทำไมศิษย์น้องเจียงหยางที่ยังต้องอ่อนแอกว่าข้าได้เป็นศิษย์พี่ ? นั่นไม่ยุติธรรมเลย”
หานซินมองไป๋หยูแล้วพูดว่า “ใครบอกเจ้าว่าศิษย์พี่ถูกกำหนดโดยการบ่มเพาะ ? ”
“มันไม่ใช่เช่นนั้นหรีอ ? ” ไป๋หยูคิดว่านางพูดเรื่องจริง นางรู้สึกผิด
“ที่นี่ ใครก็ตามที่ขึ้นมาถึงบนยอดเขาก่อนจะได้เป็นศิษย์พี่ จ้าวเฟิงมาถึงเป็นคนแรก เขาจึงเป็นศิษย์พี่ใหญ่ เจียงหยางตามหลังเขามา เขาจึงได้เป็นศิษย์พี่รอง ส่วนเจ้าเป็นคนสุดท้าย เจ้าจึงได้เป็นศิษย์น้องเล็กในแง่ของความอาวุโส” หานซินพูดอย่างหนักแน่น จากนั้นเขาก็โบกมือ “พอได้แล้ว ปัญหาถูกตัดสินแล้ว อย่าพูดถึงเรื่องนี้อีก ไปหาสถานที่เพื่อสร้างที่อยู่อาศัยของเจ้าเองให้เป็นสถานที่สำหรับการบ่มเพาะ มาพบข้าพรุ่งนี้เช้า”
“ต้องจำไว้ว่าที่อยู่อาศัยจะต้องอยู่ในอาณาเขตของข้า” หลังจากนั้นหานซินก็เดินจากไปโดยไม่มองสีหน้าของไป๋หยู
“ท่านอาจารย์ ท่านทำสิ่งนี้ได้อย่างไร ? มันไม่ยุติธรรมเลย” ไป๋หยูรู้สึกเสียใจเมื่อหานซินเดินจากไป นางเกือบจะร้องไห้