เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 2219: กฎแห่งศรัทธา
ตอนที่ 2219: กฎแห่งศรัทธา
“ไม่ เจียงหยาง ข้าต้องการเปลี่ยนกลับ ข้าเป็นศิษย์พี่รองของเจ้า เจ้าเป็นศิษย์น้องของข้า” ไป๋หยูหันไปหาเจี้ยนเฉิน นางจ้องมองเขาและวางท่าทางที่เคร่งเครียดราวกับนางกำลังคุกคามเขา
เจี้ยนเฉินอดยิ้มไม่ได้ “นั่นไม่ใช่สิ่งที่พวกเราสองคนตัดสินใจได้ หากศิษย์น้องไม่เต็มใจที่จะยอมรับ ศิษย์น้องก็ควรไปหาท่านอาจารย์” หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินก็จากไปแล้วออกจากภูเขา
“หืมม ใครคือศิษย์น้องของเจ้า ? เจียงหยาง เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เรียกข้าเช่นนั้นในอนาคต” ไป๋หยูเรียกร้องด้วยความรำคาญ ราวกับว่านางเพิ่งได้รับความอยุติธรรมและนางก็ไม่มีความสุขอย่างมาก
หลังจากนั้นเจี้ยนเฉินพบบริเวณที่เงียบสงบครึ่งทางขึ้นไปบนภูเขา เขาสร้างถ้ำขึ้นมา ซึ่งจะเป็นที่พักอาศัยของเขาสำหรับการบ่มเพาะในอนาคต
สถานที่ที่เขาเลือกนั้นไม่เด่น ไม่เพียงแต่อยู่ในพื้นที่ห่างไกลเท่านั้น แต่ยังอยู่ท่ามกลางพุ่มไม้ด้วย ดังนั้นทางเข้าครึ่งหนึ่งจึงถูกบดบัง ดูเหมือนว่ามันถูกซ่อนไว้อย่างดีมาก
ในฐานะที่เป็นบ้านพัก มันจำเป็นต้องมีค่ายกลป้องกัน อย่างไรก็ตาม มันไม่เหมาะสมสำหรับเจี้ยนเฉินที่จะวางค่ายกลที่ทรงพลังมากเกินไปที่นี่ ดังนั้นเขาจึงหาแผ่นอาคมที่อ่อนแอกว่าและวางไว้ที่ทางเข้าเป็นค่ายกลป้องกัน
ในเวลาเพียง 3 ชั่วโมง เจี้ยนเฉินได้สร้างบ้านพักแบบเรียบง่ายอย่างสมบูรณ์ หลังจากนั้นเขาก็นั่งลงตรงกลางและเริ่มคิดแผนสำหรับอนาคต
“ข้าไม่สามารถอยู่ในโถงเซียนธาตุแสงได้นานเกินไป เหตุผลหลักที่ทำไมข้ามาที่นี่ก็เพราะวิธีการบ่มเพาะในการเป็นเซียนผู้เชี่ยวชาญศรัทธา เมื่อข้าได้รับวิธีการบ่มเพาะ ข้าจะรีบจากไปทันที” เจี้ยนเฉินตัดสินใจอย่างลับ ๆ สำหรับภัยคุกคามจากราชาเผิงสีฟ้า เขาได้คิดแผนไว้แล้ว
“เนื่องจากราชาเผิงสีฟ้าไม่สามารถเข้ามาบนที่ราบรกร้างได้ ข้าไม่จำเป็นต้องกังวลเกี่ยวกับเขาเลย ถ้าข้าออกจากที่ราบรกร้างในอนาคต ข้าสามารถไปที่พระราชวังสวรรค์แห่งบิเชิงบนที่ราบรุ่งโรจน์ได้โดยตรงและกลับไปยังหอคอยอนัตตา หลังจากขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญของพระราชวังสวรรค์แห่งบิเชิงให้ช่วยปราบปรามราชาเผิงสีฟ้า”
“ปัญหาเดียวที่เหลือคือบรรพชนกระบี่เดียวดาย ถ้าเขามาถึงที่ราบรกร้าง ข้าคงต้องทดลองใช้เส้นทางแห่งกระบี่เท่านั้น” เจี้ยนเฉินกล่าว
แม้ว่าตอนนี้เขาจะเปลี่ยนรูปร่างหน้าตาของเขาไปแล้ว การปลอมตัวของเขาก็ไร้ประโยชน์ต่อหน้าผู้เชี่ยวชาญเช่นบรรพชนกระบี่เดียวดาย
“เซียนกระบี่สวรรค์สร้างเส้นทางแห่งกระบี่บนที่ราบรกร้าง และมีข่าวลือว่าการไปถึงจุดหมายจะทำให้มีสิทธิ์ที่จะเป็นศิษย์ของเซียนกระบี่สวรรค์ ข้าไม่รู้ว่าเซียนกระบี่สวรรค์ไปถึงระดับการบ่มเพาะใด แต่มันก็ค่อนข้างชัดเจนจากข่าวลือที่ว่าเขาน่าสะพรึงกลัวอย่างมากในที่ราบรกร้าง เขาไม่ควรอ่อนแอกว่าเซียนกระบี่เดียวดาย หากหมดหนทางจริง ๆ ข้าก็จะลองสุดความสามารถ”
“อย่างไรก็ตาม การพยายามใช้เส้นทางแห่งกระบี่ก็มีความเสี่ยงเช่นกัน ข้าไม่ควรลองใช้เว้นแต่จะไม่มีทางเลือกอื่น เพราะข้าไม่มั่นใจอย่างเต็มที่ว่าข้าจะสามารถซ่อนจิตวิญญาณกระบี่จากเซียนกระบี่เดียวดายด้วยระดับการบ่มเพาะในปัจจุบันของข้า”
เมื่อเขาแข็งแกร่งขึ้น ความสามารถในการซ่อนจิตวิญญาณกระบี่ก็ดีขึ้นเรื่อย ๆ ในที่สุดเขาก็เป็นคนที่มาถึงความสำเร็จขั้นกลางของร่างบรรพกาล เว้นแต่เขาจะพบผู้เชี่ยวชาญระดับสูงที่มีพลังมากกว่าเขาหลายเท่า ไม่เช่นนั้นมันจะเป็นไปไม่ได้เลยที่ความลับที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของเขาจะถูกค้นพบได้ภายในพริบตา
ไม่นานนักเจี้ยนเฉินก็สลัดก็ความคิดเหล่านี้ทั้งหมด เขาใช้เวลาที่เหลือรวบรวมแกนวิญญาณที่เพิ่งตัดผ่าน
การบ่มเพาะนั้นไม่มีกาลเวลา ดังนั้นเขาจึงหลงลืมเวลาไปโดยสิ้นเชิง เป็นผลให้เมื่อเจี้ยนเฉินออกมาจากการบ่มเพาะ มันก็เป็นเวลาเที่ยงในวันถัดไป เวลาที่หานซินบอกให้พวกเขามาพบกันจึงผ่านไปแล้ว
เจี้ยนเฉินขมวดคิ้วเมื่อมองไปที่ท้องฟ้า เขาออกจากถ้ำและแสดงความแข็งแกร่งของเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงที่มีแกนวิญญาณหนึ่งสีและบินไปที่ยอดเขา
ในไม่ช้าเจี้ยนเฉินก็ขึ้นไปถึงยอดเขา เขาค้นพบว่าจ้าวเฟิงและไป๋หยูนั่งอยู่บนพื้นดิน พวกเขาถูกล้อมรอบด้วยพลังเซียนธาตุแสงสีขาวนวล เห็นได้ชัดว่าพวกเขากำลังบ่มเพาะอยู่
หานซินยืนเอามือไพล่หลัง เขาหันหลังให้ทั้งสองในขณะที่เขาจ้องมองโถงเซียนธาตุแสงที่ว่างเปล่าในก้อนเมฆ ความกระตือรือร้นเติมเต็มส่วนลึกของดวงตาเขา
“เจียงหยาง ทำไมเจ้ามาช้าตั้งแต่วันแรก ? ” หานซินถามขณะที่ยังหันหลังให้เจี้ยนเฉิน เขาพูดอย่างเมินเฉย
“ท่านอาจารย์ ข้าเพิ่งตัดผ่านแกนวิญญาณสีแรกเมื่อวานนี้ ในตอนที่ข้าทำให้การบ่มเพาะเพิ่มแข็งแกร่งในบ้าน ข้าจึงหลงลืมเกี่ยวกับเวลาไปเลย ข้าเพิ่งเสร็จจากการนั่งสมาธิจริง ๆ ” เจี้ยนเฉินป้องมือแล้วพูดอย่างสงบ
“ช่างเถอะ” หานซินตอบเบา ๆ เขาไม่ได้หันไปมองเจี้ยนเฉินและเขาก็ไม่ได้สนใจเรื่องนี้อีกต่อไป เขาเอ่ยถามว่า “เจ้ารู้หรือไม่ว่าพลังเซียนธาตุแสงคืออะไร ? ”
เจี้ยนเฉินแปลกใจเล็กน้อยกับคำถามนี้ เขาคิดว่าหานซินจะพร่ำบ่นละสั่งสอนเขาที่มาสาย แต่เขาไม่เคยคิดเลยว่ามันจะจบลงแบบนี้
หลังจากตะลึงไปชั่วครู่ เจี้ยนเฉินจึงตอบว่า “พลังเซียนธาตุแสงจากความรู้สึกเรียบง่าย เป็นพลังงานที่มีเพียงเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงเท่านั้นที่สามารถมองเห็นได้ พลังงานนี้ไม่มีพลังโจมตีที่โดดเด่น แต่มีพลังรักษาที่ยอดเยี่ยม มันสามารถทำให้คนฟื้นขึ้นมาจากความตายได้ ทำให้มันมหัศจรรย์อย่างยิ่ง จากแง่มุมที่ซับซ้อนยิ่งขึ้น พลังเซียนธาตุแสงเป็นหนึ่งในสามพันเส้นทางที่สร้างและสนับสนุนการทำงานของโลกนี้”
“เจ้าพูดถูกอย่างมาก พลังเซียนธาตุแสงเป็นหนึ่งในสามพันกฎ เจ้ารู้หรือไม่ว่าความแตกต่างระหว่างเซียนผู้เชี่ยวชาญศรัทธากับเซียนผู้เชี่ยวชาญธาตุแสงคืออะไร ? ” หานซินยังคงถามต่อไป
คราวนี้เจี้ยนเฉินลังเลสักครู่ก่อนจะตอบกลับว่า “ข้าไม่รู้เกี่ยวกับเซียนผู้เชี่ยวชาญศรัทธามากพอ และข้าก็ไม่เข้าใจพวกมันมากนัก ทั้งหมดที่ข้ารู้ก็คือเซียนผู้เชี่ยวชาญศรัทธาได้เข้าใจกฎอื่นและสามารถเปลี่ยนพลังเซียนธาตุแสงได้ ทำให้มีพลังและสามารถโจมตีได้แม้จะต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเดิมก็ตาม ความแข็งแกร่งของกฏนี้ไม่ได้อ่อนแอไปกว่ากฎที่เป็นที่่รู้กันว่ามีพลังการโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุด”
เจี้ยนเฉินไม่ค่อยจะได้สัมผัสกับเซียนผู้เชี่ยวชาญศรัทธา มีเพียงซวนหมิงเท่านั้นที่เขาเคยเจอ ดังนั้นเขาจึงไม่ค่อยรู้อะไรมากนักเกี่ยวกับเซียนผู้เชี่ยวชาญศรัทธา
ในที่สุดหานซินก็หันหน้ามา เขามองเจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่ส่องประกาย “เจียงหยาง ทุกอย่างถูกต้อง มีสิ่งหนึ่งที่เจ้าคิดผิด กฎที่เซียนผู้เชี่ยวชาญศรัทธาเข้าใจนั้นไม่ใช่ว่าเท่ากับกฎที่รู้กันว่ามีพลังโจมตีที่แข็งแกร่งที่สุด มันแข็งแกร่งกว่านั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าทำไม ? ”
ก่อนที่เจี้ยนเฉินจะตอบคำถาม หานซินกล่าวต่อไปว่า “นั่นเป็นเพราะกฎที่เซียนผู้เชี่ยวชาญศรัทธาเข้าใจ ไม่เพียงแต่เป็นกฎที่ทรงพลังเท่านั้น แต่เป็นพลังแห่งจิตวิญญาณของเราเช่นกัน กฎประเภทนี้เป็นที่รู้จักกันในนามกฎแห่งศรัทธา”
“พลังแห่งจิตวิญญาณ” เจี้ยนเฉินพึมพำ เขาพบคำว่าจิตวิญญาณทั้งที่คุ้นเคยและไม่คุ้นเคยเพราะเป็นรูปแบบดั้งเดิมของวิญญาณ ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อนมีเพียงวิญญาณในโลกที่เขามีปฏิสัมพันธ์ ผู้คนจำนวนมากยังคงใช้คำว่าจิตวิญญาณ
TL: คำอธิบายของเรื่องมีนี้มาก่อนแล้ว วิญญาณ/จิตวิญญาณที่ผ่านการเปลี่ยนแปลงหลังจากที่ได้มาถึงขอบเขตเซียน (โดยเฉพาะเซียนผู้คุมกฎ ) และมันก็หลุดพ้นจากวิญญาณ ดังนั้นแม้ว่าร่างกายจะถูกทำลาย คนยังคงมีชีวิตตราบเท่าที่วิญญาณของพวกเขายังคงอยู่ ในภาษาจีนพวกเขาเปลี่ยนคำศัพท์ ดังนั้นจึงมีคำศัพท์เฉพาะสำหรับวิญญาณก่อนที่จะเป็นขอบเขตเซียน เรื่องนี้เกิดขึ้นบ่อยครั้งกับนวนิยายหลายเล่ม อย่างไรก็ตาม นักแปลในอดีคไม่เคยวางแผนเรื่องนี้ ดังนั้นผู้แปลจึงใช้จิตวิญญาณ/วิญญาณที่นี่เพื่อแสดงถึงความแตกต่าง
“ดูใกล้ ๆ นี่คือกฎแห่งศรัทธา” หานซินยกมือขึ้นช้า ๆ และลูกบอลที่ส่องแสงสีขาวค่อย ๆ ควบแน่นอยู่ในมือของเขา นั่นคือกฎแห่งศรัทธา
เจี้ยนเฉินจ้องกฎแห่งศรัทธาในมือของหานซินอย่างใกล้ชิด ครั้งแรกที่เขาเคยเห็นกฎแห่งศรัทธามาจากซวนหมิง ดังนั้นนี่เป็นครั้งที่สองที่เขาเห็นมัน
อย่างไรก็ตามเขาได้รับความรู้สึกที่แตกต่างอย่างสิ้นเชิงจากการมองดูกฎแห่งศรัทธาที่นี่เมื่อเทียบกับตอนที่เขาเห็นจากซวนหมิง
นี่เป็นเพราะในเวลานั้นซวนหมิงใช้กฎแห่งศรัทธาในการโจมตี เขาแสดงแง่มุมต่าง ๆ ของกฎอย่างว่องไวและดุร้าย มันเร็วมากเช่นกัน ดังนั้นเจี้ยนเฉินจึงไม่มีเวลามากพอที่จะเข้าใจความลับของมัน
กระนั้นกฎแห่งศรัทธาที่อยู่ในมือของหานซินนั้นดูอ่อนโยนมากสำหรับเจี้ยนเฉิน ยิ่งไปกว่านั้นหานซินยังควบแน่นกฎอย่างค่อยเป็นค่อยไปอย่างมาก มันทำให้เจี้ยนเฉินรู้สึกถึงความลึกลับในกฎได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นและยังทำให้เขามีเวลามากพอที่จะทำความเข้าใจอย่างใกล้ชิด
เจี้ยนเฉินหลับตาลง ในขณะนั้นเขารู้สึกเหมือนว่าวิญญาณของเขาบินออกมาและหลอมรวมเข้ากับกฎแห่งศรัทธาในมือของหานซิน
ภายใต้สถานะนี้ เขาสามารถสัมผัสได้ถึงความลึกลับทั้งหมดของกฎแห่งศรัทธา เขารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่กฏผ่านเข้าไปในมือของหานซิน
ในขณะนั้น เจี้ยนเฉินรู้สึกเหมือนเขาได้กลายเป็นกฎแห่งศรัทธาในมือของหานซิน ซึ่งแยกกันไม่ออก