เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 227: ยอมจำนน
ตอนที่ 227: ยอมจำนน
ชายอีกเจ็ดคนที่มีใบหน้าซีดเซียวสามารถรู้สึกได้ถึงเจตนาของเจี้ยนเฉินในการฆ่าพวกเขา เพียงแค่เจี้ยนเฉินสามารถฆ่าเทียนซ่งหลีได้พวกเขาก็ตกใจมากพอ แต่วิธีการที่เขาทำมันทำให้พวกเขาหวาดกลัวจนขนหัวลุก
ตอนที่เจี้ยนเฉินแทงทะลุผ่านอาวุธเซียนของเทียนซ่งเต้าหยุนได้อย่างง่ายดาย มันก็แสดงให้เห็นว่าถ้าเขาต้องการเขาก็สามารถฆ่าเซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษ 7 คนได้อย่างง่ายดายเช่นเดียวกับการเหยียบมด แม้ว่าอาวุธเซียนจะเป็นอาวุธของมนุษย์แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ของความสัมพันธ์กับชีวิตของพวกเขา ถ้าอาวุธเซียนแตกสลายพวกเขาก็จะตาย แม้ว่าพวกเขาจะโชคดีพอที่จะมีชีวิตอยู่พวกเขาก็คงจะไม่ได้อยู่ในสภาพที่ดีไปกว่าคนพิการ
ตรงหน้าของพวกเขาเป็นข้อพิสูจน์ที่ชัดเจนว่าเจี้ยนเฉินสามารถทำลายอาวุธเซียนของพวกเขาได้อย่างง่ายดาย เพียงแค่คิดว่าพวกเขากำลังเดินอยู่บนเส้นแคบ ๆ ระหว่างชีวิตและความตาย มันก็ทำให้พวกเขาตกใจและใจหายไปตาม ๆ กัน ถึงตอนนี้พวกเขาทั้งเจ็ดได้สูญเสียจิตวิญญาณการต่อสู้ของพวกเขาและมองเจี้ยนเฉินด้วยท่าทีที่แตกต่างไปจากเดิม แต่บนใบหน้าของพวกเขายังผสมผสานไปด้วยความกลัวอย่างมาก
หยุด ! สหาย อย่าทำอะไรเราเลย” เมื่อเห็นว่าเจี้ยนเฉินกำลังจ้องมองพวกเขาอย่างเต็มไปด้วยความอาฆาตพยาบาท ผู้อาวุโสคนหนึ่งรีบพูดขึ้นมา ในขณะที่เขาเก็บอาวุธเซียนของเขาเข้าสู่ร่างกายราวกับว่าเขาไม่เต็มใจที่จะเป็นศัตรูกับเจี้ยนเฉิน
จากนั้นเจี้ยนเฉินก็ตะโกนว่า “ให้ข้าเมตตาอย่างนั้นหรือ? ช่างเป็นเรื่องตลกจริง ๆ เมื่อไม่นานมานี้ข้าได้บอกให้พวกเจ้าถอยไปอย่ามายุ่ง แต่พวกเจ้าก็ยังสอดมือเข้ามายุ่ง ฉะนั้นอย่าโทษข้าเลย”
คำพูดของเจี้ยนเฉินทำให้เจ็ดคนนั้นดูหวาดผวา ก่อนผู้อาวุโสที่พูดออกมาก่อนหน้านี้จะพูดขึ้นอีกครั้งว่า “น้องชาย มันเป็นความเข้าใจผิด เราไม่ได้มาจากตระกูลเทียนซ่ง เราเป็นแค่คนที่ถูกเชิญมา วันนี้ถ้าเจ้าปล่อยเราไป เราจะถือว่าเป็นบุญคุณอันยิ่งใหญ่
“ถูกต้อง น้องชาย ถ้าเจ้าปล่อยพวกเราไปในวันนี้ เราจะขอบคุณจริง ๆ จากก้นบึ้งของหัวใจของเรา” ผู้อาวุโสอีกคนรีบพูด ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อที่สำคัญนี้ซึ่งจะตัดสินชีวิตของพวกเขา ผู้อาวุโสทั้งสองได้ทิ้งสถานะอันสูงส่งของพวกเขาไปเพื่อโอกาสในการอยู่รอด วิธีการของเจี้ยนเฉินในการฆ่าเทียนซ่งเต้าหยุนทำให้การป้องกันของพวกเขาไร้ประโยชน์ ในสายตาของพวกเขา สิ่งที่ต้องทำให้ได้คือปกป้องชีวิตของพวกเขาในวันนี้
นอกจากนี้ที่สำคัญกว่านั้นพวกเขาไม่มีความคับข้องใจหรือเรื่องบาดหมางกับเจี้ยนเฉิน เป็นเพียงเพราะเทียนซ่งหลีได้เชิญพวกเขามามีส่วนร่วมในเรื่องนี้
เจี้ยนเฉินยังคงจ้องมองชายเจ็ดคนด้วยสายตาที่แวววาว ครู่หนึ่งเขาเงียบ แต่รอยยิ้มเล็ก ๆ ปรากฏบนใบหน้าของเขา “หากเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะให้โอกาสทุกคนได้มีชีวิต”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น ดวงตาของเซียนผู้เชี่ยวชาญทั้งเจ็ดก็เปล่งประกาย มีห้าคนจากเจ็ดคนที่ไม่พูดเพื่อปกป้องตัวเอง แต่พวกเขาทุกคนล้วนมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป
เมื่อเห็นความปรารถนาอันแรงกล้าที่จะมีชีวิต ปากของเจี้ยนเฉินเริ่มขยายกว้างขึ้นในขณะที่เขาพูดว่า “การอยู่รอดมีนั้นเงื่อนไขอย่างหนึ่ง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปพวกเจ้าจะยอมแพ้และจงรักภักดีต่อข้า”
ใบหน้าของชายทั้งเจ็ดเริ่มอ้ำอึ้งด้วยท่าทางที่ไม่น่าดู แต่ละคนนิ่งเงียบเมื่อเริ่มเกิดความขัดแย้งอย่างรุนแรงภายในจิตใจของตัวเอง
เมื่อรู้ว่าทั้งเจ็ดไม่สามารถตัดสินใจได้ ใบหน้าของเจี้ยนเฉินก็เย็นชาไปครู่หนึ่ง แต่ข้างในเขาแอบหัวเราะ เมื่อเขาใช้ปราณสีฟ้าและสีม่วงเพื่อฆ่าเทียนซ่งต้าหยุน มันรุนแรงมากแต่เขาได้วางแผนไปหมดแล้ว เป้าหมายของเขานั้นง่ายโดยการใช้กำลังที่มากพอ เขาจะบังคับให้ทั้งเจ็ดยอมจำนนและในที่สุดก็ใช้อำนาจนั้นเพื่อขยายกลุ่มทหารรับจ้างอัคนี
แน่นอนถ้าพวกเขายังคงเป็นสุกรโง่และปฏิเสธที่จะยอมจำนน เจี้ยนเฉินก็จะฆ่าพวกเขาโดยไม่ลังเล
เจี้ยนเฉินรู้ว่าแผนการของเขามาถึงครึ่งทางเมื่อเห็นชายเจ็ดคนข้างหน้า สำหรับตอนนี้เขาแค่ต้องรอว่าทั้งเจ็ดคนจะตัดสินใจอย่างไร
เจี้ยนเฉินเข้าใจคติที่ว่า “ตีเหล็กตอนที่มันยังร้อน” ทันที เขาจึงพูดว่า “ข้ารู้ว่าพวกเจ้าเป็นบุคคลที่มีอิทธิพลในเมืองเวคด้วยอำนาจและเกียรติยศ อย่าคิดว่าข้าพยายามทำให้พวกเจ้าเสียเกียรติด้วยข้อเสนอการยอมจำนน ตรงกันข้ามถ้าพวกเจ้ายอมจำนนต่อข้า ข้า เจี้ยนเฉินจะรับประกันว่าความสำเร็จในอนาคตจะดีกว่าปัจจุบันอย่างแน่นอน ความสำเร็จจะสูงขึ้นไปถึงระดับที่ไม่สามารถบรรลุได้ก่อนหน้านี้ แทนที่จะถูกจำกัดอยู่เพียงแค่เมืองเล็ก ๆ ที่ห่างไกลเช่นเมืองเวค อย่าสงสัยความสามารถของข้า”
ทันใดนั้นชายทุกคนเงยหน้าขึ้นมองราวกับว่าพวกเขามีรู้สึกร่วมกัน แม้ว่าพวกเขาทั้งหมดคิดว่าเจี้ยนเฉินจะยังเด็กเกินไป แต่ความแข็งแกร่งของเขานั้นแข็งแกร่งจนพวกเขารู้สึกราวกับว่าตัวเองถูกทิ้งไว้ในกองฝุ่น การแสดงความแข็งแกร่งนี้พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่าเจี้ยนเฉินไม่ใช่คนธรรมดา แน่นอนว่ายังมีคนหลายคนในกลุ่มของพวกเขาที่เชื่อว่าเจี้ยนเฉินจะสร้างกลุ่มที่ทรงพลังอย่างยิ่ง
ด้วยสิ่งนั้น ชายทั้งเจ็ดก็อดไม่ได้ที่จะคิดว่าการเป็นพันธมิตรกับเจี้ยนเฉินนั้นไม่ใช่เรื่องเลวร้าย ในความเป็นจริง มันเป็นโอกาสที่ยิ่งใหญ่อย่างมากสำหรับพวกเขาที่จะยิ่งใหญ่ไปกับเจี้ยนเฉิน เพราะพวกเขาไม่รู้ว่าตนเองจะไปถึงจุดสูงสุดได้ด้วยตัวเองหรือไม่
“ข้าเอาด้วย ข้า เวส ตัวแทนตระกูลดอร์ ตระกูลดอร์ตกลงที่จะติดตามเจ้า ตั้งแต่วันนี้ไปเจ้าสามารถควบคุมคนของข้าได้” ผู้อาวุโสที่พูดคนแรกก่อนหน้านี้ให้คำมั่นสัญญา
เจี้ยนเฉินยิ้มกว้าง
” ข้าคือไค่เอ้อ จากตระกูลไค่ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปตระกูลของข้าจะยอมเชื่อฟังเจ้า” ผู้อาวุโสคนที่สองกล่าว
รอยยิ้มของเจี้ยนเฉินขยายกว้างขึ้น เขาไม่ได้คิดว่าผู้อาวุโสทั้งสองนี้เป็นตัวแทนของตระกูลไค่และตระกูลดอร์ เจี้ยนเฉินเคยได้ยินมาก่อนว่าในเมืองเวคสองตระกูลนี้เป็นกลุ่มที่ทรงอิทธิพลมากแม้ว่าจะไม่อยู่ในระดับเดียวกับตระกูลเทียนซ่งหรือตระกูลโจว
“แล้วเจ้าทั้งห้าคนล่ะ ? ” เจี้ยนเฉินหันไปหาชายวัยกลางคนห้าคน เซียนผู้เชี่ยวชาญพิเศษถือได้ว่าเป็นนักรบที่มีระดับในทวีปเทียนหยวน ดังนั้นเมื่อพูดถึงผู้คนประเภทนี้ เขาไม่ต้องการให้พวกเขาถูกฆ่า เพราะนอกจากหมิงตงและเขาแล้ว กลุ่มทหารรับจ้างอัคนีก็ไม่มีใครอื่น หากเขาต้องการให้กลุ่มทหารรับจ้างอัคนีขยายตัว เขาจึงต้องรวบรวมคนที่แข็งแกร่งให้ได้มากที่สุด
“ก็ได้ ข้ายินดีที่จะยอมจำนนต่อเจ้า แต่ข้าไม่สามารถรับประกันได้ว่าพี่น้องของข้าจะทำเช่นเดียวกัน”
หลังจากนั้นชายห้าคนที่เหลือทั้งหมดยินยอมที่จะติดตามเจี้ยนเฉินในฐานะผู้นำของพวกเขา
จากสถานที่ห่างไกล ทหารยามของตระกูลเทียนซ่งนับร้อยมองดูเจี้ยนเฉินด้วยสายตาที่เบิกกว้างราวกับว่าพวกเขากำลังดูการแสดงอยู่ ทุกคนเงียบไปด้วยความตกใจเมื่อดูคนที่มีชื่อเสียงของเมืองเวค 7 คนซึ่งได้รับคำเชิญจากเทียนซ่งหลีให้มาร่วมกันปราบเจี้ยนเฉิน ตอนนี้ทั้งเจ็ดคนกลับยอมเชื่อฟังเขา พวกเขาคิดไม่ถึงเลยว่าทั้งเจ็ดคนนี้จะยอมจำนนต่อชายคนที่ฆ่าเทียนซ่งหลี
แม้ว่ามันจะเกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขา ทหารยามนับร้อยคนก็ยังไม่อยากเชื่อสายตาของตัวเอง