เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 2297 : ความช่วยเหลือจากโลก
ตอนที่ 2297 : ความช่วยเหลือจากโลก
ตอนที่ผู้อาวุโสเหอเทียนได้เข้าต่อสู้กับฉิงฉันนั้น กลุ่มที่นำโดยตงหลินหยานเซว่ก็ได้พบกับสัตว์อสูรตัวหนึ่งห่างออกไปจากจุดเดิม 2 ล้านกิโลเมตร เป็นธรรมดาที่ต้องเกิดการต่อสู้ที่ดุเดือดขึ้น
ในหมู่ผู้พิทักษ์ทั้งแปดของตงหลินหยานเซว่ หนึ่งในนั้นได้เผชิญหน้ากับสัตว์อสูรที่คล้ายกับกระทิงสูงกว่า 30 เมตร
สัตว์อสูรที่คล้ายกับกระทิงนี้ตัวใหญ่โตอย่างมาก มันราวกับเนินเขาซึ่งทำให้เซียนผู้เชี่ยวชาญศรัทธาที่ซึ่งสู้กับมันอยู่นั้นดูไม่ต่างอะไรจากมด
แต่แม้ว่าขนาดจะต่างกันอย่างมากแต่พวกเขากลับต่อสู้ได้อย่างทัดเทียมกัน กฎแห่งศรัทธาถูกใช้ออกมาเข้าปะทะกับพลังของสัตว์อสูรและเกิดการระเบิดขึ้นมา พลังงานอันแข็งแกร่งได้กระจายออกไปโดยรอบ ทำให้พลังงานดั้งเดิมในพื้นที่นั้นปั่นป่วน หินและดินกระจายคลุ้งเกิดรอยแตกจำนวนมากขึ้นมาที่พื้น
นี่คือการต่อสู้ระหว่างราชาเทพ คลื่นพลังแผ่กระจายออกไปหลายหมื่นกิโลเมตร หากไม่มีความแข็งแกร่งทัดเทียมกัน งั้นมันคงยากที่จะเข้าไปใกล้การต่อสู้ได้
ห่างออกมาร้อยกิโลเมตร ตงหลินหยานเซว่ยืนอยู่ข้าง ๆ เจี้ยนเฉิน นางมองไปยังการต่อสู้ด้านหน้าพร้อมกับผู้พิทักษ์อีก 7 คนที่เหลือ ซึ่งยืนอยู่ล้อมรอบทั้งคู่เพื่อคอยปกป้องพวกเขา คนด้านหน้าสุดสองคนได้รวมพลังกันเพื่อรักษาโล่งพลังงานที่ใช้ไว้กันคลื่นพลังที่กระจายออกมาจากการต่อสู้ด้านหน้า
หากไม่ใช่เพราะโล่พลังนี้ มันคงเป็นไปไม่ได้ที่ตงหลินหยานเซว่จะอยู่ใกล้การต่อสู้ได้ขนาดนี้ด้วยระดับการบ่มเพาะที่อยู่ขั้นศักดิ์สิทธิ์ นางคงโดนผลักกระเด็นออกไปเพราะคลื่นพลังจากการต่อสู้ตั้งแต่ต้น
ตอนนั้นทุกคนต่างก็หันไปสนใจการต่อสู้ พวกเขาต่างพากันคิ้วขมวดและสีหน้าของผู้พิทักษ์อีก 7 คนต่างก็เริ่มบิดเบี้ยว
“สัตว์อสูรนี่มันแข็งแกร่งแบบนี้ได้ยังไง ? ชัดแล้วว่ามันเป็นแค่ราชาเทพช่วงต้นแต่มันกลับรับมือกับเฉินเฟิงที่มีแกนวิญญาณ 7 สีขั้นกลางได้ ยังไงซะเขาก็เป็นถึงเซียนผู้เชี่ยวชาญศรัทธา…”
“เซียนผู้เชี่ยวชาญศรัทธานั้นแข็งแกร่งกว่านักสู้ทั่วไปในระดับการบ่มเพาะเท่ากันในโลกเซียน ด้วยระดับการบ่มเพาะของเฉินเฟิงที่เทียบเท่ากับราชาเทพช่วงกลาง แต่เขากลับแค่ทัดเทียมกับสัตว์อสูรที่เป็นแค่ราชาเทพช่วงต้น นี่มัน…”
“สัตว์อสูรในโลกดวงจันทร์และดวงดาวแข็งแกร่งแค่ไหนกัน…”
…
ผู้พิทักษ์ทั้งเจ็ดที่คุ้มกันตงหลินหยานเซว่และเจี้ยนเฉินต่างพูดคุยเรื่องนี้กันด้วยสีหน้าเคร่งเครียด ฉากตรงหน้าพวกเขาทำให้ความเข้าใจที่เคยมีพลิกกลับตาลปัตร
สายตาของเจี้ยนเฉินเปลี่ยนไป เขามองไปยังสัตว์อสูรตรงหน้าด้วยความสนใจก่อนจะมองไปที่ท้องฟ้า เขาทั้งแสดงความแปลกใจและสงสัยออกมา
หลังจากที่หลอมรวมกับเส้นพลังบรรพกาลที่แท้จริงแล้ว วิญญาณของเขาก็เปลี่ยนไปซึ่งทำให้เขาได้ความสามารถหลากหลายกลับมา ตอนนี้เขารับรู้ได้ว่ามีพลังงานที่เป็นของโลกนี้ได้หลอมรวมกับตัวสัตว์อสูร ทำให้มันสามารถรับมือกับเซียนผู้เชี่ยวชาญศรัทธาที่ถือว่าเป็นราชาเทพช่วงกลางได้ ทั้ง ๆ ที่มันเป็นแค่ราชาเทพช่วงต้น
“สัตว์อสูรตรงหน้าข้าสามารถใช้พลังของโลกดวงจันทร์และดวงดาวได้รึ ? ” เจี้ยนเฉินชัดเจนแล้วว่าตื่นเต้นกับการค้นพบเรื่องนี้ เขาตกอยู่ในห้วงความคิดทันที
นี่ไม่ใช่การรควบคุมพลังงานโดยรอบ พลังของโกลนี้ได้หลอมรวมกับตัวสัตว์อสูรเพื่อช่วยมันในการต่อสู้ มันคล้ายกับจิตวัตถุที่ควบคุมพลังของพระราชวังศักดิ์สิทธิ์เนปจูนเพื่อปกป้องเสี่ยวม่าน
พลังของพระราชวังศักดิ์สิทธิ์เนปจูนมาจากโครงสร้างของตัวมันเอง แต่พลังที่ช่วยเหลือสัตว์อสูรนี้มาจากโลกดวงจันทร์และดวงดาว แน่นอนว่ามันไม่ได้ธรรมดาแบบการควบคุมพลังดั้งเดิมที่อยู่โดยรอบ
“นี่เป็นความสามารถติดตัวรึว่าโลกนี้คล้ายกับพระราชวังศักดิ์สิทธิ์เนปจูนที่ช่วยเหลือสัตว์อสูรพวกนี้ ? ” เจี้ยนเฉินครุ่นคิด มันคงไม่ใช่เรื่องใหญ่หากเป็นแบบแรก แต่เขาก็อดใจสั่นไม่ได้หากมันเป็นแบบที่สอง
“แต่ข้าตัดความเป็นไปได้ที่ว่าโถงเซียนธาตุแสงได้สร้างสัตว์อสูรนี้ขึ้นมา ยังไงซะที่นี่ก็คือที่จัดการทดสอบ เมื่อมันคือการทดสอบ มันก็ต้องมีความยากระดับหนึ่ง” เจี้ยนเฉินเดา
แต่ตอนนั้นเอง เจี้ยนเฉินก็หรี่ตาแคบลง จู่ ๆ เขาก็มองไปด้านหลัง มันมีการต่อสู้อันดุเดือดระหว่างผู้ที่อยู่ขอบเขตบรรพกาลขึ้นไกลออกไป แม้ว่าจะอยู่ไกลออกไปแต่เขาก็ยังรับรู้ได้ถึงคลื่นพลังานจากการต่อสู้นั้นทันทีที่มันกระจายออกมา
ตอนนั้นสายตาของเจี้ยนเฉินดูเฉียบคมขึ้นมา ราวกับว่าเขามองทะลุมิติได้และมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นในจุดที่ห่างออกไปกว่า 2 ล้านกิโลเมตร
ด้วยระดับการบ่มเพาะของเจี้ยนเฉินตอนนี้ การเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นในระยะไกลแบบนั้นไม่ใช่ปัญหาอีกต่อไป เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่า ผู้อาวุโสเหอเทียนที่ดูแลที่นี่อยู่ได้เข้าต่อสู้กับชายในชุดสีฟ้า
“พลังวิญญาณนักรบ ! มันกลับเป็นพลังจากพลังวิญญาณนักรบ ! ” เจี้ยนเฉินตะโกนขึ้นในใจ ตอนนั้นเขารู้สึกสับสน เขาพยายามที่จะใจเย็น เขาเองก็มีพลังวิญญาณนักรบแต่เขาไม่อาจจะหาวิธีบ่มเพาะมันได้ ผลก็คือพลังวิญญาณนักรบของเขาจึงถือว่ายังด้อยอยู่ เจี้ยนเฉินจำพลังวิญญาณนักรบที่ถูกใช้ระหว่างการต่อสู้ของฉิงฉันและ ผู้อาวุโสเหอเทียนทันที
แต่ผู้พิทักษ์ด้านหลังเจี้ยนเฉินต่างก็สสนใจสัตว์อสูรตรงหน้า ไม่มีใครเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของเจี้ยนเฉินเลย
“ชายหนุ่มผู้นั้นเป็นแค่ราชาเทพแต่เขากลับเหนือกว่าผู้อาวุโสเหอเทียนได้ มันมีราชาเทพเพียงคนเดียวที่ใช้พลังวิญญาณนักรบได้ — ฉิงฉันที่อยู่อันดับหนึ่งบนบัลลังก์ราชาเทพ” เจี้ยนเฉินคิด ไม่นานเขาก็เดาตัวตนของชายหนุ่มผู้นี้ออก พร้อมกับสายตาที่สั่นไหวขึ้นมา
การต่อสู้ระหว่างฉิงฉันกับเหอเทียนดุเดือดขึ้นเรื่อย ๆ คลื่นพลังที่กระจายออกมาน่ากลัวยิ่งกว่าเก่า สุดท้ายแล้วผู้พิทักษ์ทั้งเจ็ดคนรอบตัวเจี้ยนเฉินและตงหลินหยานเซว่ก็รับรู้ถึงมันได้
ทั้งเจ็ดคนหันกลับไปมองด้านหลัง สายตาของพวกเขาไม่ได้ดีเท่ากับเจี้ยนเฉิน ดังนั้นพวกเขาจึงมองไม่เห็นสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยตาเปล่าได้ ผลก็คือพวกเขาต้องใช้การรับรู้วิญญาณ
แม้ว่าพวกเรขาจะสามารถใช้การรับรู้วิญญาณครอบคลุมระยะเขตหนึ่งได้ง่าย ๆ ในฐานะราชาเทพช่วงกลาง แต่เขตนั้นเต็มไปด้วยพายุพลังงานอันรุนแรงซึ่งกันไม่ให้การรับรู้ของพวกเขาเข้าใกล้
แต่พวกเขาก็ยังรับรู้ได้ถึงพลังของผู้อาวุโสเหอเทียนและพลังของกฎแห่งศรัทธาที่เขาใช้ออกมาภายในพายุพลังงานนั้น
ผลก็คือสีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที
“ไม่นะ นักสู้ขอบเขตบรรพกาลได้เข้ามาในโลกดวงจันทร์และดวงดาว ! ”
“มันดูเหมือนจะทัดเทียมกับผู้อาวุโสเหอเทียน อย่างนี้ไม่ดีแน่…”
“เป็นไปได้ยังไงกัน ? ผู้อาวุโสได้ส่งพวกที่อยู่ขอบเขตบรรพกาลออกไปหมดแล้วไม่ใช่หรือ ? พวกเขาพลาดชายผู้นี้ได้ยังไง…”
“เมื่อนักสู้ขอบเขตบรรพกาลได้สู้อยู่กับผู้อาวุโสเหอเทียน มันก็ต้องเป็นศัตรู หากผู้อาวุโสเหอเทียนยอมหลีกทาง เรานี่แหละต้องเจอกับภัยพิบัติ..”
…
ผู้พิทักษ์ทั้งเจ็ดพากันตะโกนออกมาพร้อมกับสีหน้าที่บิดเบี้ยวไป
ชัดเจนแล้วว่าพวกเขารู้ถึงผลลัพธ์ของเรื่องนี้