เทพกระบี่มรณะ (Chaotic sword god) - ตอนที่ 2480: กลับไปยังที่ราบรกร้าง
ตอนที่ 2480: กลับไปยังที่ราบรกร้าง
พลังป้องกันจากกระบี่ผู้พิทักษ์นั้นปิดกั้นพลังวิญญาณนักรบของพวกเขาได้ นั่นเป็นข่าวร้ายสำหรับพวกเขาจริง ๆ
นี่เป็นเพราะพลังวิญญาณนักรบของพวกเขาจะไร้ประโยชน์อย่างสิ้นเชิงต่อหน้ากระบี่ผู้พิทักษ์
“ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ? ต้นกำเนิดของกระบี่ผู้พิทักษ์คืออะไร ? พวกเขาถึงสามารถปิดกั้นพลังวิญญาณนักรบของเราได้” จื้อเจี้ยนพูดอย่างเคร่งเครียด
“ไม่เคยมีสิ่งของหรือการคงอยู่ใด ๆ ที่ป้องกันพลังวิญญาณนักรบของเราได้มาก่อนในประวัติศาสตร์ของเชื้อสายนักรบวิญญาณ ไม่มีจดหมายใด ๆ หรือบันทึกแบบไหนที่พูดถึงเรื่องนี้” ซูฉีกล่าวพร้อมกับขมวดคิ้ว
“โถงเซียนธาตุแสงตอนนี้มีกระบี่ผู้พิทักษ์ 6 คน เชื้อสายนักรบวิญญาณของเราจะใช้อะไรจัดการพวกเขาในอนาคต ? ” หยุนซื่อติงพูดอย่างเคร่งขรึม
สักพัก เชื้อสายนักรบวิญญาณทั้งแปดก็เงียบลง กระบี่ผู้พิทักษ์ทรงพลังมากและโถงเซียนธาตุแสงมีถึง 6 คน ควบคู่ไปกับหัวหน้าของพวกเขาหยู่เฉิน, รองหัวหน้าและผู้อาวุโสพวกเขามีพลังมากกว่าเชื้อสายนักรบวิญญาณมากกว่าหลายเท่าในตอนนี้
แม้จะเป็นพันธมิตรกับพระราชวังศักดิ์สิทธิ์เนปจูน พวกเขาก็ไม่อาจชดเชยความแตกต่างนี้ได้
“ศิษย์พี่เยว่เฉา ข้าขอถามได้ไหมว่าพวกเขาเป็นใคร ? ” เจี้ยนเฉินถามขึ้นในเวลาต่อมา
“ตัวตนของผู้พิทักษ์ทั้งหกไม่ได้เปิดเผยต่อสาธารณะทั้งหมด ข้ารู้จักพวกเขาแค่สองคนคือ ตงหลินหยานเซว่และหานซิน” เยว่เฉากล่าว
“หา ? ผู้พิทักษ์ทั้งสองคือตงหลินหยานเซว่และหานซิน ? ” เจี้ยนเฉินตื่นตระหนกและตกตะลึง เขาผงะอย่างเห็นได้ชัด
เขาคุ้นเคยกับคนทั้งสอง
พวกเขาทั้งสอง ตงหลินหยานเซว่นั้นไม่น่าแปลกใจ นางเป็นเซียนที่ถูกเลือกจากโถงเซียนธาตุแสงและพรสวรรค์ของนางก็โดดเด่น ด้วยเหตุนี้นางจึงอาจจะเป็นกระบี่ผู้พิทักษ์ อย่างไรก็ตามทั้งความสามารถและศักยภาพของหานซินนั้นอยู่ในระดับปานกลางในโถงเซียนธาตุแสง เขาไม่ใช่คนพิเศษ ดังนั้นที่เขากลายเป็นกระบี่ผู้พิทักษ์ได้ ทำให้เจี้ยนเฉินประหลาดใจ
“มันเกี่ยวข้องกับจิตวิญญาณวัตถุหรือไม่ ? ” เจี้ยนเฉินสงสัยอย่างลับ ๆ ขณะที่แสงในดวงตาของเขาวาบด้วยความไม่แน่ใจ
หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็ลุกขึ้นยืนและกล่าวลาหุนเจิ้งและคนอื่น ๆ ทันที เขาบอกกับพวกเขาว่าเขาต้องการไปที่ราบรกร้าง
“เจ้าไปไม่ได้ โถงเซียนธาตุแสงทรงพลังอย่างมากในที่ราบรกร้าง แม้ว่าพวกเขาจะไม่ใช่ผู้คุมกฏสูงสุด แต่ตอนนี้พวกเขาก็อยู่ไม่ห่างจากมัน ศิษย์น้องแปด โถงเซียนธาตุแสงนั้นไม่พอใจเจ้าอย่างมาก ดังนั้นมันอันตรายเกินไปที่เจ้าจะไปที่ราบรกร้าง” หุนเจิ้งกล่าวทันที
“ถูกต้อง ศิษย์น้องแปด เจ้าได้นำวิถีบ่มเพาะของจอมปราชญ์สูงสุดออกมาจากโถงเซียนธาตุแสง ตอนนี้โถงเซียนธาตุแสงกำลังตามหาเจ้าอยู่ทุกหนทุกแห่ง ถ้าเจ้าไปยังที่ราบรกร้าง เจ้าก็จะเข้าไปยังท้องสัตว์ร้ายทันที”
“ศิษย์น้องแปด เจ้าเป็นคนที่ไม่อาจไปที่ราบรกร้างได้ อย่างไรก็ตามเจ้าไม่มีความแข็งแกร่งเท่ากับพี่เยว่เฉา…..”
ผู้สืบทอดคนอื่น ๆ ก็พยายามเกลี้ยมกล่อมเขาเช่นกัน
“ศิษย์พี่ไม่ต้องกังวล ข้ามีวิธีการซ่อนตัวเพื่อป้องกันไม่ให้ใครพบข้า ท่านคงไม่ลืมว่าข้าจัดการกับผู้เชี่ยวชาญชั้นสูงอย่างไรเพื่อหลบหลีกผู้เชี่ยวชาญระดับสูงจำนวนมากและความสามารถพิเศษทั้งหมดของพวกเขาบนที่ราบรกร้าง เห็นได้ชัดว่าพลังของข้าไม่ได้ยอดเยี่ยมเท่ากับพี่เยว่เฉา แต่ความสามารถในการซ่อนตัวของข้าก็มากกว่าพวกท่านคนอื่น ๆ ” เจี้ยนเฉินกล่าวอย่างมั่นใจ ไม่เพียงแต่เขามีหน้ากากจากโมเทียนหยุนซึ่งปกปิดพลังแห่งการมีอยู่ของเขาอย่างสมบูรณ์ เขายังมีจี้หยกจากองค์หญิงใหญ่ของพระราชวังสวรรค์แห่งบิเชิงซึ่งป้องกันผู้ที่มีความสามารถโดยกำเนิดเช่นผู้อาวุโสภูผามหานทีเองก็ไม่อาจหาเขาพบได้
ด้วยปัจจัยทั้งสองนี้ เขาสามารถเข้าถึงความสมบูรณ์แบบได้อย่างแท้จริงด้วยการปลอมตัวของเขา เว้นแต่ว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญที่ยิ่งใหญ่เช่นเดียวกับองค์หญิงใหญ่ของพระราชวังสวรรค์แห่งบิเชิง โดยทั่วไปแล้วไม่มีใครในโลกเซียนสามารถมองเห็นการปลอมตัวของเขาได้
วูบ !
เจี้ยนเฉินกลายเป็นริ้วแสงทันทีและพุ่งออกจากภูเขาวิญญาณนักรบด้วยความเร็วดุจสายฟ้า เขาหายไปในทะเลดวงดาวอันกว้างใหญ่ทันที
“เจี้ยนเฉินจากไปแล้ว ? ” หลังจากเจี้ยนเฉินจากไป จื่อหยุนผู้เศร้าโศกก็มาถึงเช่นกัน นางมองเชื้อสายนักรบวิญญาณด้วยสายตาที่ว่างเปล่า
ซูฉีถอนหายใจเมื่อนางเห็นจื่อหยุนปรากฏตัว นางพูดเบา ๆ “ศิษย์น้องแปดแค่ออกจากภูเขาวิญญาณนักรบชั่วคราวเท่านั้น เขาจะกลับมาในอีกไม่นาน”
จื่อหยุนไม่พูดอะไร นางหันกลับมาและจากไปอย่างเศร้าโศกและหายไปในพระราชวังศักดิ์สิทธิ์เนปจูน
ลำแสงพุ่งผ่านอวกาศดั่งดาวหางออกไปอย่างรวดเร็ว
ลำแสงนั้นคือเจี้ยนเฉิน เจี้ยนเฉินกำลังถือแผนภูมิดวงดาว เขาเดินทางไปด้วยความเร็วเต็มที่ของเขา
“ด้วยความเร็วตอนนี้ของข้า ข้าจะใช้เวลาเพียง 3 วันในการไปถึงค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ใกล้ที่สุด” เจี้ยนเฉินคิด เขาไม่ได้เคลื่อนย้ายไปยังที่ราบรกร้างด้วยพลังของภูเขาวิญญาณนักรบในครั้งนี้ เขาวางแผนที่จะใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายแทน
ทุกครั้งที่ภูเขาวิญญาณนักรบเคลื่อนย้ายใครบางคน มันจะใช้พลังมหาศาล ยิ่งไปกว่านั้นมันจะกลายเป็นเป้าหมายขนาดใหญ่ที่ซึ่งผู้คนจะสามารถค้นพบได้ง่ายดาย มันจึงไม่สะดวกเนื่องจากจุดประสงค์ที่เขาต้องมาเป็นความลับ หากเขาใช้ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างที่ราบ เขาจะสามารถหลีกเลี่ยงความสนใจใด ๆ ทั้งหมดได้อย่างแท้จริง
สามวันต่อมา เจี้ยนเฉินก็มาถึงดาวเคราะห์ดวงใหญ่ที่อยู่ใกล้เขามากที่สุด เขาจ่ายเหรียญผลึกห้าสีและก้าวเข้าสู่ค่ายกลเคลื่อนย้าย
“แม้ว่าข้าจะสูญเสียหอคอยอนัตตา แต่หน้ากากของผู้อาวุโสโมเทียนหยุนก็สามารถอำพรางโถงศักดิ์สิทธิ์ให้ข้าได้ เช่นเดียวกับการป้องกันค่ายกลตรวจสอบสิ่งมีชีวิตอย่างข้า” เจี้ยนเฉินกล่าว ทุกค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างดาวเคราะห์ห้ามให้ผู้คนถือวัตถุมิติที่มีชีวิตอยู่ภายใน นี่คือการป้องกันไม่ให้ผู้คนเคลื่อนย้ายคนจำนวนมากและส่งผลกระทบต่อกำไรของพวกเขา
ท้ายที่สุดค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่างดาวเคราะห์เป็นตัวสร้างรายได้ให้กับองค์ระดับสูง พวกเขาจะไม่ยอมสูญเสียกำไรแม้แต่จำนวนเล็กน้อย
แน่นอนว่ากฏนี้อาจจะถูกละเลยหากมีความแข็งแกร่งที่ทรงพลังหรือภูมิหลังที่ยอดเยี่ยม
รูปแบบค่ายกลเคลื่อนย้ายมากมายถูกจัดเรียงไว้ในจตุรัสขนาดใหญ่ใจกลางเมืองหลวงของจักรวรรดิวายุม่วง ค่ายกลนั้นกระพริบอยู่ตลอดเวลาเมื่อผู้บ่มเพาะเข้าและออก เห็นได้ชัดว่ามันยุ่งวุ่นวายเป็นอย่างมาก
Of course, the teleportation formations that constantly flickered could only take people across planes. The larger teleportation formations that could take people across planes were clearly much more quiet. They would normally go for around a dozen days or more without lighting up.
แน่นอนว่าค่ายกลเคลื่อนย้ายที่กระพริบตลอดเวลาสามารถพาผู้คนข้ามดวงดาวได้เท่านั้น ค่ายกลขนาดใหญ่ที่จะสามารถข้ามที่ราบนั้นเงียบกว่ามาก โดยปกติแล้วพวกเขาจะใช้เวลาประมาณ 12 วันหรือมากกว่านั้นถึงจะกระพริบสักที
ทหารหลายสิบนายประจำอยู่รอบ ๆ ค่ายกลระหว่างดาวเคราะห์ คนที่โดดเด่นที่สุดในบรรดาทหารคือชายที่ไร้พิษสงนอนเอนหลังบนเก้าอี้ไม้ ดูเหมือนว่าเขาจะทำตัวสบาย ๆ อย่างมาก
ในเวลานี้ ค่ายกลเคลื่อนย้ายระหว่าดาวเคราะห์อันหนึ่งสว่างขึ้นอย่างกะทันหัน เพียงแสงสีขาวที่สว่างวาบเข้ามา ชายกลางคนชุดขาวที่ดูไร้พิษสงก็ปรากฏตัวขึ้น
ชายกลางคนนี้คือเจี้ยนเฉินหลังจากที่เปลี่ยนรูปลักษณ์แล้ว
เจี้ยนเฉินได้เห็นชายชราที่ดูไร้พิษสงบนเก้าอี้ไม้ใกล้ ๆ สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป แต่เขาก็ถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์อยู่ภายใน “ข้าจากที่นี่ไปหลายสิบปีก่อน ข้าไม่คิดเลยว่าจะได้กลับมาในตอนนี้”
แม้ว่าชายชราผู้ไร้พิษสงจะแสดงความเมตตาต่อเขาในอดีต แต่เจี้ยนเฉินก็เข้าใจว่าตัวตนของเขาในตอนนี้คืออะไร เขาไม่สามารถแสดงออกว่ารู้จักชายชราผู้ไร้พิษสงคนนี้ได้ เขาจึงไม่ได้มองชายชรามากนัก เขาเดินออกจากค่ายกลและหายไปในฝูงชนหลังจากนี้ไม่นาน
อย่างไรก็ตามตอนนี้เขากำลังหายไปในฝูงชนนั้น ไม่มีใครรู้ว่าดวงตาของชายชราผู้ไร้พิษสงคนนี้ก็เปิดขึ้น เขาเหลือบมองไปที่เจี้ยนเฉินและสงสัย “ทำไมไอ้ตัวแสบถึงมาที่นี่อีก ? ไม่ว่าเด็กคนนี้จะไปที่ไหน มันก็ไม่มีวันสงบสุข เขาไปที่เป็นดั่งดาวที่เจิดจรัส แต่ท้ายที่สุดแม้แต่อัครสูงสุดก็ยังต้องตายโดยไร้เหตุผลและนำประกายดาวทั้งเก้าออกมา หลังจากนั้นเขาก็ไปยังที่ราบวารีและทำลายสำนักใหญ่ที่นั่น ตอนนี้เขากลับมาที่ที่ราบรกร้างแล้ว ข้าหวังว่าเขาจะไม่ทำให้ที่ราบรกร้างวุ่นวายเหมือนครั้งที่แล้ว…..”